ทางเดิน
0
ตอน
769
เข้าชม
112
ถูกใจ
0
ความคิดเห็น
0
เพิ่มลงคลัง

เรื่อง ทางเดิน

เมื่อตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า เหล่าผู้คนที่เลิกกลับมาจากการทำงานต่างก็เข้ามาจับจ่าย หากับข้าวไปเป็นมื้อเย็น ซึ่งในเวลานี้ที่คนกลุ่มเลิกงานก็ยังจะมีคนอีกกลุ่มที่กำลังเริ่มจะทำงานของตัวเองเช่นกันเสียงผู้คนพูดคุยกันเลดูวุ่นวายอีกทั้งยังผสมปนเปไปกับเสียงรถราที่ขับเคลื่อนไปอย่างติดขัดบนท้องถนน เสียงที่ฟังเลดูวุ่นวายนั้นบ่งบอกถึงสภาพความเป็นไปของสถานที่นี้พอสมควร

มืดแล้วแต่ทว่ามันยังเป็นแค่การเริ่มต้น สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยรถเข็นขายอาหารที่มีทั้งของคาว หวาน หลากหลาย แล้วที่แต่ละร้านก็มีการจับจองในการวางโตะเพื่อเป็นการจองพื้นที่ให้กับลูกค้าของตนเอง เสียงการทำอาหารกับเสียงตะโกนสั่งออเดอร์ดังขึ้นไม่หยุดจนฟังไปก็เป็นเรื่องราวที่แสนปกติที่เกิดขึ้นทุกวันในยามค่ำคืน ณ ที่แห่งนี้ ตลาดโต้รุ่ง ที่ประตูช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่

“โต๊ะ 4 หมี่เกี๊ยว 2 พ่อ” เสียงเล็กดังขึ้นขณะมือของเจ้าของเสียงนั้นยืนกระดาษเมนูใบเล็กให้กับผู้เป็นพ่อ ก่อนจะรับชามบะหมี่จากผู้เป็นพ่อเดินไปเสริฟ

“ถือระวังหน่อยนะแก้วตา” ผู้เป็นพ่อว่าขณะมองตามลูกสาวตัวเล็กของตัวเองไป

“จ้า”

สิ้นเสียงตอบรับของลูกสาว ตัวของชายหนุ่มก็เริ่มหันกลับมาใส่ใจออเดอร์ที่ยังทำไม่เสร็จของตัวเองอีกครั้ง มือทั้งสองข้างจัดการลวกเส้น ผัก แล้วจัดเจงเครื่องเคียงต่างๆลงชามอย่างรวดเร็ว ซึ่งด้วยท่าทีคล่องแคล่วนี้ดูขัดกับรูปร่างลักษณะภายนอกของเขาอย่าสิ้นเชิง ด้วยรูปร่างที่ค่อนข้างเตี้ย บอกกับการมีพุงย้อยนิดๆทำให้ตัวเขาดูเป็นคนที่อ้วนถ้วนสมบูรณ์ ที่เมื่อมองภายนอกแล้วจะดูเป็นคนที่น่าจะทำอะไรดูเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย

“สำเริง” คือชื่อของเขา สำเริงเป็นพ่อค้าขายบะหมี่ในย่านนี้มาหลายปีแล้ว ซึ่งร้านบะหมี่ที่เขากำลังขายนั้นเป็นร้านที่ซื้อเฟรนชายมาจากร้านบะหมี่เจ้าดังที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งจากที่ผ่านมาตัวสำเริงก็ได้ผลกำไรจากการทำอาชีพนี้จนมีเงินเก็บอยู่พอสมควร สำเริงธุรกิจนี้สองคนกับภรรยา และมีผู้ช่วยเป็นลูกสาวในวัยกำลังน่ารักอีกหนึ่งคนซึ่งที่ผ่านมาสำเริงและครอบครัวก็ดำเนินชีวิตไปอย่างเรีบยง่ายและสงบสุขพอสมควร

จนกระทั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอยู่ภรรยาของเขาก็ล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง ทำให้ต้องเข้าไปรักษาและติดตามการรักษาเพื่อเข้ารับการผ่าตัด ฉายแสง และ ทำคลีโมที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้สำเริงต้องหยุดขายของเพื่อไปดูแลภรรยา ซึ่งการหยุดขายของสำเริงทำให้ทางครอบครัวของสำเริงต้องรับภาระในการออกค่าใช้จ่ายมากขึ้นซึ่งสวนทางกับรายรับที่ได้เท่าเดิมหรือน้อยลง ซึ่งในการจ่ายค่ารักษาภรรยาของเขานั้น ในแต่ละครั้งก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าหลักหมื่น จึงเป็นผลทำให้เงินเก็บที่มีอยู่ของครอบครัวสำเริงหร่อยหรอและหมดลง

ในช่วงที่กำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินเนื่องจากการจ่ายค่ารักษา ธุรกิจของสำเริงก็เริ่มมีปัญหาเนื่องจากขาดเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในการซื้อวัตถุดิบ จนทำให้ไม่อาจขายของต่อไปได้สำเริงจึงได้แต่ขบคิดถึงวิธีที่จะแก้ปัญหานี้ เขาตัดสินใจที่จะไปหยิบยืมเงินจากคนที่รู้จักแต่ก็ไม่มีใครที่จะให้ยืมเงินจำนวนมากๆได้เลย สุดท้ายแล้วเพื่อให้ได้เงินจำนวนมากเพื่อไปจ่ายค่ารักษาของภรรยาที่ตัวเองของผ่อนผันไว้กับโรงพยาบาล และเพื่อเงินใช้จ่ายหมุนเวียนในบ้าน กับ เงินที่ใช้ในการทธุรกิจ ทำให้สำเริงตัดสินใจหยิงยืมเงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบที่ทำให้สามารถได้เงินมาอย่างรวดเร็วแต่ก็แลกกับการยืมเงินภายใต้เงื่อนไขที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แพงมหาโหด แต่สำเริงที่คิดว่าตัวเองนั้นไม่มีทางเลือกแล้วก็ได้แต่ทำใจยอมรับเงื่อนไขที่แสนจะเอาเปรียบของเจ้าหนี้อย่างไม่มีท่างเลือกโดยใช้บ้านที่เขาอาศัยอยู่เป็นตัวค้ำประกัน

สำเริง กลับมาขายของอีกครั้ง แต่ทว่าเงินที่ได้มาจากการขายของนั้นเมื่อหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่างๆแล้ว ตัวของสำเริงกลับพบว่า จำนวนนั้นกลับไม่เหลือมากพอที่จะจ่ายเงินดอกเบี้ยรวมถึงเงินต้นได้ ทำให้เขาทำได้เพียงแต่ขอพลัดผ่อนไปเรื่อยๆจนในที่สุด ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยที่เพิ่มก็มากเสียจนตัวเขาไม่อาจหาเงินมาจ่ายได้อีกต่อไป สำเริงเริ่มที่รู้สึกอับจนหนทางอีกครั้ง

สำเริงที่เครียดกับสถาณการณ์ทางการเงินในครอบครัวที่เลวร้ายลงกว่าเดิมอีกครั้งซึ่งครั้งนี้กลับร้ายแรงกว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้มากนัก จนไม่รู้จะหาทางออกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร จนบางครั้งสำเริงก็เครียดจนเผลอต่อว่าภรรยาที่ป่วยอยู่ จนตัวสำเริงที่เครียดหนักขึ้นจึงคิดหาทางระบายความเครียดของตัวเอง โดยการดื่มเหล้าเพื่อปลอบใจตัวเอง จากวันละเล็กละน้อยก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นจนตัวสำเริงติดเหล้าไปในที่สุด ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขาก็เริ่มแย่ลง  สำเริงที่เมื่อกินเหล้าจนเมา ก็จะต่อว่าด่าทอ และทะเลาะกับภรรยากับลูกของตัวเอง รวมถึงการเมาแล้วเริ่มทำลายข้าวของในบ้าน จนภรรยาและลูกของเขาไม่อาจทนอยู่กับสำเริงได้อีกจึงพากันไปอยู่ที่บ้านของญาติชั่วคราว

 

การขอผ่อนจ่ายเป็นระยะเวลานานของสำเริงทำให้เจ้าหนี้ที่ไม่ได้รับเงินดอกมาตามกำหนดเริ่มส่งคนมาทวงหนี้ทุกวัน ซึ่งทุกครั้งของการทวงหนี้ของเจ้าหนี้ก็เริ่มใช้วิธีที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงทำลายข้าวของ แล้วเริ่มยึดของต่างๆภายในบ้าน เพราะการทวงหนี้ที่หนักหน่วงทำให้สำเริงที่ถูกปัญหารุมเร้าคิดว่าตัวเองหมดปัญญาที่จะหาเงินมาใช้หนี้ และจ่ายค่ารักษาพยาบาลของภรรยาได้อีกต่อไป

ท่ามกลางสถานการณ์แห่งความสิ้นหวังนั้น สำเริงก็เกิดความคิดที่เล็กเสี้ยวหนึ่งออกมา ในตอนนั้นความคิดเล็กที่ว่าของเขานั้นคือ “ถ้าตายไปก็คงดี เพราะจะได้ไม่ต้องเจอกับปัญหาอีกต่อไป” แล้วความคิดเล็กๆที่ผุดขึ้นมานั้นก็ทำให้สำเริงที่ดื่มแอลกอฮอร์ไม่จำนวนมากนั้นทำให้ตัวสำเริงขาดความคิดไตร่ตรองใดๆ ทำให้ไม่อาจคำนึงถึงผลที่ตามมา ก่อนที่จะตัดสินใจทำ สำเริงจึงตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา

สำเริงที่ถูกความคิดที่จะฆ่าตัวตายครอบงำนั้นก็เดินไปหาเชือกไนลอนที่อยู่ภายในบ้านมา ก่อนจะเดินไปหาเก้าอี้มาเพื่อเป็นฐานเหยียบ ให้ตัวเขาขึ้นไปผูกเชือกบนคานบ้านได้ สำเริงขึ้นไปมัดเชือกที่บนคานบ้าน ก่อนจะยิ้มให้กับเชือกเบาๆ เมื่อตนเองมัดเสร็จ เขามองภาพเชือกนั้นอยู่นานก่อนจะกรอกเหล้าเข้าปาก ก่อนจะทิ้งขวดเหล้าไปแล้วเอื้อมมือไปจับที่เชือกแล้วยืนคอไปที่บ่วงเชือก และถีบขาเก้าอี้ทิ้ง

ทันทีที่เก้าอี้ล้มลงร่างทั้งร่างก็ร่วงลงความว่างเปล่าเบื้องล่างก่อนที่เชือกบริเวณคอจะผูกรั้งร่างการไว้กลางอากาศ สำเริงเมื่อถูกเชือกรัดคอ และความตายได้เข้ามาเยือนมาให้สติและสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดได้ตื่นขึ้น เขาพยายามตีขาอย่างรุนแรง และพยายามใช้มือจักเชือกที่พันอยู่ที่คอออกแต่ทว่าเขากลับไม่สามารถทำได้ ท่างกลางความเป็นความตาย ตัวสำเริงที่เลิกที่เริ่มจะหมดอากาศหายใจก็ได้หมดแรงดิ้นรน แล้วภาพทั้งหมดก็ค่อยๆพล่ามัวลง

ท่ามกลางความมืดมิดสำเริงรู้สึกอึดอัดจนแทบขาดใจ ตัวเขาพยายามหายใจเอาอากาศเข้าปอดแต่ทว่าไม่สามารถทำได้ ในตอนที่เขาเกือบจะยอมแพ้ให้กับความเจ็บปวดทรมาณนั้น เขาได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยที่กรีดร้องออกมาอย่างตกใจ ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าร่างทั้งร่างร่วงกระทบกับพื้นเบื้องล่างอย่างแรงในตอนนั้นตัวสำเริงก็กลับมาเอาลมหายใจเข้าปอดได้อีกครั้ง เข้าหายข้าอย่างตระกระตะกราม จนสำลักอากาศ

สำเริงเมื่อพ้นวินาทีแห่งความตายก็ได้ลืมตาขึ้นและรู้สึกตัว ตรงหน้าของเขานั้นคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขากำลังกอดเขาและร้องไห้อยู่ ลูกสาวและภรรยาร้องไห้ขอร้องไห้สำเริงอย่าคิดสั้น บอกสำเริงว่า ไม่ได้อยู่คนเดียว บอกกับเขาว่าปัญหาจะช่วยกันแก้ และบอกเขาว่าอย่าทิ้งพวกเธอไป

สำเริงที่ได้คืนสติกลับมาครบถ้วนแล้วก็ไม่อาจจะเอ่ยกล่าวถ้อยคำใดในหัวของเขามีเพียงเสียงคำพูดของทั้งภรรยาและลูกสาวของเขาดังก้องไปมาเพียงเท่านั้น สำเริงน้ำตาไหลออกมาอย่างรู้สึกผิดในใจที่ตัวเองบังอาจที่จะทิ้งคนสำคัญของตัวเองไป ตัวสำเริงในตอนนั้นทำได้เพียงแค่ยกสองมือขึ้นกอดภรรยาและลูกสาวของเขาแน่นๆแล้วเอ่ยคำขอโทษออกไปเพียงแผ่วเบา

 

หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไป ได้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ครอบครัวตัวเองเสียใจอีก และสำเริงก็ได้ตัดสินใจขายบ้านเพื่อใช้หนี้ ก่อนจะพาตัวเองและครอบครัวไปอยู่ที่อื่นเพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว