‘โอกาสที่เราพกร่มไว้ในกระเป๋าแล้วฝนตก มีกี่เปอร์เซ็นต์’
คำตอบคือ....ไม่รู้ครับ....
แต่ทุกครั้งที่ผมพกร่มพับคันเล็กติดไว้ในกระเป๋าเป้วันนั้นท้องฟ้าจะแจ่มใสไม่มีเค้าลางว่าฝนจะตก แม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูฝนก็ตาม ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ยังพกร่มมาด้วยทุกวัน เพื่อหวังว่าซักวันผมอาจจะได้เดินร่วมทางกลับบ้านกับใครคนหนึ่งภายใต้ร่มคันเดียวกัน
“วันนี้อากาศดีนะอัณณ์ว่าไหม” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู ทำให้ผมสะดุ้งน้อยๆขาหยุดเดินทันที ผมหันไปมองเจ้าของเสียง
‘โย’ คือคนที่ผมกำลังพูดถึง เขาเป็นคนรูปร่างสูงเวลาคุยกับเขา ผมต้องแหงนหน้ามองเขาทุกทีสิ ช่วยไม่ได้นี่นะ! ผมเป็นพวกไม่โลภมากเอาขามาแค่พอเดินได้ก็เลยสูงได้แค่หัวไหล่ของโยแค่นั้น เราสองคนเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ต่างกันตรงที่ผมเรียนภาคปกติส่วนเขาเรียนภาคสองภาษาทำให้ตารางเรียนของเราไม่เคยตรงกัน แต่อย่างน้อยเราก็ยังได้เจอกันระหว่างทางไปโรงเรียนทุกเช้า
เราสองคนรู้จักกันมาได้เกือบสามปี เริ่มต้นเมื่อตอนผมขึ้นมัธยมศึกษาปีที่4 เราทั้งคู่อยู่ชุมนุมเดียวกันคือชุมนุมวรรณกรรม ทั้งผมและโยมีความฝันเหมือนกันคือการเป็นนักเขียน โยอยากเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนตาซี ส่วนผมอยากเป็นนักเขียนนิยายรัก ตลกไหมครับ เป็นผู้ชายแต่อยากแต่งนิยายรักมีคนหัวเราะเยาะจนชินแล้วล่ะครับแต่เด็กผู้ชายที่ยืนข้างกายคนนี้เขากลับไม่เคยหัวเราะเยาะผมสักครั้ง
ในตอนนั้นเมื่อสองปีก่อนเขาพูดบางสิ่งที่ผมเรียกมันว่า ‘กำลังใจ’
‘อัณณ์จะเขียนนิยายรักเหรอ เจ๋งเลยนะ! ผู้ชายที่เขียนนิยายรักได้เนี่ยจะต้องเป็นคนที่มีจิตใจสวยงามแน่ๆ ก็ความรักน่ะเป็นสิ่งสวยงาม อย่างอัณณ์น่ะทำได้ดีอยู่แล้ว’
อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกก็คือ ผมไม่ได้ชื่อ ‘อัณณ์’ ชื่อที่โยเรียกนั้นเป็นชื่อนามปากกาที่ผมใช้ตอนเขียนนิยายต่างหาก ไม่รู้ทำไมเขาถึงชอบเรียกชื่อนี้นัก
“เลิกเรียกนามปากกาฉันซักทีเหอะน่า” ผมพูดอย่างรำคาญ แต่เขากลับยิ้มตอบกลับมา
ผมมองดูรอยยิ้มของโยแล้วพลันนึกถึงเย็นวันศุกร์ มันดูเป็นรอยยิ้มที่สบายๆ อบอุ่น ผ่อนคลายและไม่มีกังวล ถ้ารอยยิ้มนี้ไว้ให้ผมคนเดียวก็ดีสิ
“ทำไมล่ะ ไม่เหมือนใครดี” เขาท้วงกลับมา “นายก็น่าจะเรียกฉันด้วยนามปากกาบ้างนะ” โยคะยั้นคะยอให้ผมเรียก ผมส่ายหน้าแล้วเดินต่อขืนต่อปากต่อคำมากกว่านี้คงไปโรงเรียนสายแน่ๆ โยเดินตามมาจนทัน
“เรียกเหอะนะ” เขายังตื๊อต่อ
“ทำไมฉันต้องเรียกนามปากกาของนายด้วย” ผมถามเขากลับ โยยิ้มทะเล้น
“เอาไว้เป็นโค้ดลับของเราสองคนไง”
บางครั้งการกระทำหรือคำพูดเล็กน้อยที่แสดงออกมาโดยไม่คิดอะไรของเขามันก็ทำให้ผมอดใจเต้นระรัวเมื่อได้ฟังไม่ได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้วแท้ๆ ว่าโยเป็นแค่เด็กผู้ชายขี้เล่นและชอบแหย่ก็แค่นั้น
“พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฝนจะตกล่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องพูดพร้อมๆ กับแหงนหน้ามองท้องฟ้า ใจของผมน่ะไม่เชื่อหรอกท้องฟ้ายามเช้าช่างสว่างจ้าและปลอดโปร่งขนาดนี้ ฝนตกเหรอ ไม่มีทางหรอก
“มะ ไม่ จริงน่า”โยพูดตะกุกตะกัก สีหน้าดูแตกตื่นเมื่อได้ยิน
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ได้พกร่มมาล่ะสิ” ผมพูดดักคอพลางยิ้มเยาะ อีกฝ่ายทำหน้ายุ่ง
“พกร่มมาทีไรฝนไม่เคยตกเลยนี่นา ไว้อาศัยคนอื่นกลับด้วยก็ได้ถ้าฝนตกจริงๆน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้วันนี้ฝนตกก็แล้วกัน”ผมพูดไปหัวเราะไปเมื่อเห็นสีหน้าแหยๆของอีกฝ่าย
“เฮ้ย! กวนประสาทว่ะอัณณ์” เขาโวยวายพร้อมกับขยี้หัวผมไปด้วย
กิจวัตรประจำวันยามเช้าของเราสองคนก็เป็นแบบนี้ เรามักจะพูดคุยด้วยประโยคธรรมดาหรือไม่ก็แลกเปลี่ยนเกร็ดความรู้เรื่องนิยายนิดๆ หน่อยๆ จนถึงหน้าประตูโรงเรียนเราสองคนก็ยุติบทสนทนา แล้วเดินแยกจากกันไปคนละทางตึกเรียนของผมอยู่ทางซ้ายมือส่วนของโยอยู่ทางขวามือ แล้วเราก็ไม่ได้เจอกันอีกจนกระทั่งจะถึงเวลาเลิกเรียนพวกราจะไปเจอกันที่ห้องชุมนุมวรรณกรรมซึ่งอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน เราทั้งคู่ได้ใช้เวลาอยู่ที่ชุมนุมวรรณกรรมแค่เพียงสองชั่วโมงเท่านั้นก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน
“ไว้เจอตอนเย็นนะอัณณ์ รีบมาล่ะห้ามมาสายด้วย” เขาสั่งก่อนเดินเลี้ยวไปทางตึกเรียน
ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังของเขาเงียบๆ อยากให้ถนนเส้นที่เดินมาโรงเรียนยืดยาวไม่ที่สิ้นสุดเพื่อที่ว่าเราสองคนจะได้เดินไปด้วยกันนานขึ้น
เสียงครืดๆ ของโทรศัพท์กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงหลังจากที่ผมกำลังจะเริ่มเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ผมหยิบขึ้นมาแอบเปิดดูใต้โต๊ะ
‘มองทางหน้าต่าง’
คิ้วของผมขมวดปมเมื่อเห็นว่าโยส่งข้อความมาหาผมในตอนที่กำลังเรียนหนังสือแถมเป็นประโยคที่แสนจะไม่กระจ่างเอาซะเลย แต่ผมก็ยอมหันไปมองนอกหน้าต่างแล้วพบว่าโยกำลังโบกมือยิ้มร่าอยู่ ให้ตายเถอะ! ทำไมเขาชอบยิ้มแบบนั้นกันนะ ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแล้วก็ใจเต้นตึกตักเวลาที่ต้องมองรอยยิ้มแบบนั้น รอยยิ้มที่ผมไม่อาจครอบครองไว้เพียงคนเดียวได้
ตึกเรียน 5 ชั้น ที่ผมนั่งเรียนอยู่นี้ตีคู่ขนานไปกับตึกเรียนของโย โดยมีลานอิฐตัวหนอนซึ่งใช้เป็นลานกิจกรรมของนักเรียนคั่นกลาง เราอยู่ชั้นเดียวกันและห้องตรงข้ามกันพอดิบพอดี ผมและโยนั่งเรียนที่โต๊ะริมหน้าต่างเหมือนกัน โยก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างไม่นานก็ปรากฏเป็นข้อความ
‘เรียนวิชาอะไร’
ผมไม่สนใจจะเล่นเกมตอบคำถามของเขาแต่ก็ลอบมองอีกฝ่ายเป็นระยะ เขาส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือผมอีกครั้ง
‘ตอบสิ’
ผมหันไปมองโยที่เอาหน้าแนบกระจกหน้าต่างพร้อมส่งสายตาละห้อยมาให้ ผมถอนหายใจพร้อมเหล่มองอาจารย์ประจำวิชาที่หน้าชั้นเรียนแวบหนึ่งก่อนจะหยิบสมุดขึ้นมาเขียนตอบเขาไป
‘คณิตศาสตร์ โยล่ะ’
‘ศิลปะ ฉันวาดรูปอาจารย์ที่สอนด้วยนะ’ โยชูป้ายพร้อมส่งยิ้มมาให้
‘ไหน โชว์หน่อยสิ’ ผมก้มหน้าเขียนตอบเขากลับ
แต่ยังไม่ทันที่โยจะแสดงอะไรให้ดู ตาของผมเบิกโตเมื่อพบว่าอาจารย์ประจำวิชาของโยมายืนอยู่ข้างหลังเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว ผมกลั้นขำเมื่อเห็นว่าอาจารย์ใช้ไม้เคาะหัวเขาจากนั้นโยก็ลุกเดินหายลับไปจากที่นั่ง เป็นอันว่าเกมของเราสองคนสิ้นสุดลง เมื่อหันกลับมาสิ่งที่รอคือ อาจารย์ที่กำลังยืนทำหน้าถมึงทึงมองตรงมาทางผม
“ไปวิ่งรอบสนามซะคิมหันต์!!” ผมเดินคอตกก้มหน้าออกจากห้องท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
ที่สนามฟุตบอลโยกำลังยืนอบอุ่นร่างกายอยู่ที่สนาม ที่แท้เขาหายไปเพราะแบบนี้นี่เอง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ โยก็หันมาพอดีสีหน้าเขาดูแปลกใจนิดหน่อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นการหัวเราะแทน
“ยังจะหัวเราะอีกนะ เพราะนายคนเดียวเลย” ผมต่อว่าเขา โยยักคิ้วไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั้น เขาเอียงคอมอง
“เหรอ แต่ฉันว่ามันคุ้มค่าดี”
“พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังโยพูดแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มไม่ได้พูดอะไรต่อ
โยออกตัววิ่งไปก่อน ส่วนผมค่อยๆวิ่งตามหลังเขาไป วันนี้เราอยู่ด้วยกันนานขึ้นกว่าเมื่อวานแม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อก็เหอะนะ แต่ว่ามันก็คุ้มค่าดี
เอ๊ะ!
‘คุ้มค่า’ ในความหมายของโยเหมือนกับความหมายของผมหรือเปล่านะ
หลังจากเราสองคนวิ่งรอบสนามตามคำสั่งของอาจารย์เสร็จ ผมและโยก็นอนแผ่หมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้นสนามหญ้า สายตาจับจ้องขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่ได้พูดอะไรสายตาเหลือบไปมองโยเขาเองก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นเดียวกัน
“ท้องฟ้าสวยดีเนอะ”โยเอ่ยขึ้น ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของเขา ผืนฟ้าสีครามกระจ่างไม่มีแม้แต่หมู่เมฆ ดูเหมือนว่ารายการพยากรณ์อากาศคงเชื่อไม่ได้ซะแล้วล่ะมั้ง “สงสัยวันนี้ฝนคงไม่ตก” เขาถอนหายใจออกมาน้ำเสียงฟังดูผิดหวัง
“ทำไมนายอยากให้ฝนตกหรือไง คนที่ไม่ได้พกร่มมาพูดแบบนั้นจะดีเหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจ โยพลิกตัวมานอนคว่ำและเอนตัวขึ้นมาเล็กน้อย เขายกมือเท้าคางแล้วเหลียวหน้ามายิ้มให้
“ฉันมีเหตุผลที่อยากให้ฝนตก”
“เหตุผลอะไร” ผมถามแต่เขาเอาแต่ยิ้ม รอยยิ้มที่มีเลศนัยนั้น มันทำให้ผมอึดอัดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เรามองหน้ากันอยู่อย่างนั้น กระทั่งโยโน้มตัวมาใกล้เรื่อยๆ ผมมองการกระทำของเขาแล้วเกิดประหม่าจนไม่กล้าขยับตัว ริมฝีปากของเขาขยับเข้ามาใกล้กับใบหน้ามากขึ้นผมแทบกลั้นหายใจแต่แล้วเขาก็เลื่อนตำแหน่งริมฝากของตัวเองขึ้นไปอีกนิดและสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดหน้าผากของตัวเอง เขาหัวเราะในลำคอแล้วถอยห่างจากผม
“นะ นายทำอะไรเนี่ย” ผมพยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุดรวมทั้งบังคับสีหน้าไม่ให้แสดงอาการใดๆ
“ก็เอาเศษหญ้าที่ติดผมของอัณณ์ออกไง”
“กะ ก็ เอามือหยิบออกสิ” ผมแทบจะเก็บอาการใจเต้นไม่เป็นส่ำนี้ไม่อยู่แล้วจึงรีบลุกขึ้นยืนทันที
“อ้าวเหรอ นั่นสินะ”เขาตอบกลับมาหน้าตาเฉย
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” ผมสบถด่าเขาแล้วเดินหนีออกมาเพราะไม่สามารถอยู่เผชิญหน้ากับโยในขณะที่อุณหภูมิบนใบหน้าสูงขึ้นเรื่อยๆได้ เสียงหัวเราะของเขาแว่วมาตามหลัง
“อากาศดีเกินไปแล้ว” ผมบ่นพึมพำอย่างท้อใจหลังจากที่เงยหน้ามองดูท้องฟ้าอีกครั้ง
แล้วหลังจากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เมื่อได้รู้จักกับโยผมรู้สึกเหมือนสายตาคอยแต่มองหาเขา แต่ไม่ว่าจะมองหาโยซักแค่ไหนผมก็ไม่เจอเขาโรงเรียนมันกว้างใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ข้อจำกัดมากมายที่มีทำให้ผมได้แต่เก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจและมันคงจะยาวนานเท่าชีวิตของผม
จู่ๆฝนเม็ดใหญ่สาดกระทบหน้าต่างห้องเรียนก่อนที่ออดเลิกเรียนจะดังขึ้น ผมมองออกไปนอกหน้าต่างและยิ้มออกมา ในที่สุดฝนก็ตกลงมาจนได้ ร่มพับที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าเป้จะได้ทำหน้าที่ของมันเสียที เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหน้าจอปรากฏหมายเลขรุ่นน้องในชุมนุมวรรณกรรมของผม
“ว่าไงลูกน้ำ” ผมกรอกเสียงไปตามสาย
‘พี่คิม วันนี้งดชุมนุมวรรณกรรมนะ แค่นี้แหละ’
ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็ตัดสายไปเสียแล้ว อารมณ์แช่มชื่นของผมเมื่อครู่ลดลงฮวบกลายเป็นความหมองหม่นเช่นเดียวกับท้องฟ้ายามนี้ไม่มีผิด เมื่อไม่ได้ไปเข้าชุมนุมวรรณกรรมก็เท่ากับว่าผมจะไม่ได้เจอโยและก็เท่ากับว่าร่มคันนี้ก็ไม่มีความหมายถ้าไม่ได้ใช้กับเขา ผมนั่งเท้าคางมองออกไปข้างนอกหน้าต่างมองดูเม็ดฝนที่เกาะพราวอยู่กับกระจกใส
ผมถอนหายใจออกมาแล้วนอนฟุบลงไปกับโต๊ะเรียนเพื่อนๆร่วมห้องต่างทยอยเดินออกนอกห้อง เมื่อพบว่าสิ่งที่วาดหวังหลุดลอยไปแล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบไปไหน ผมนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ฝนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตก สายตามองดูนาฬิกาที่หน้าจอโทรศัพท์มันบอกเวลาห้าโมงเย็น ผมถอนหายใจอีกครั้งแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องเรียนอย่างเหงาๆ เมื่อเดินลงบันไดมาหยุดที่หน้าตึกเรียน ใครคนหนึ่งที่แสนคุ้นตายืนอยู่ตรงนั้น
“โย!!!” ผมร้องเสียงดังอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เส้นผมของโยมีหยดน้ำเกาะอยู่และตามเนื้อตัวก็ดูจะเปียกชื้น
“อ้าว อัณณ์ยังไม่กลับเหรอ”เขาถามพร้อมกับปัดผมหน้าม้าของตัวเองไปมาเพื่อไล่หยดน้ำที่เกาะอยู่
“ทำไมเปียกแบบนี้ล่ะ นี่ตากฝนไปไหนมา”ผมถามอย่างสงสัยและพยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองไม่ให้สั่น
“อ๋อ! ก็วันนี้งดชุนนุมวรรณกรรมนี่นา ฉันกำลังจะกลับบ้านแต่ฝนดันเทลงมา เลยวิ่งมาหลบที่ใต้ตึกนี้ก่อน” คำพูดเขาฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเอาซะเลยเพราะตึกเรียนของฝั่งสองภาษาน่ะมันใกล้ประตูโรงเรียนกว่าตึกนี้ตั้งเยอะ
“แล้วทำไมไม่อาศัยร่มคนอื่นกลับล่ะ”ผมกลั้นใจถามออกไป
เขายิ้มแหยๆ
“เออ ลืมคิดอะ”
คำตอบประเภทไหนกันล่ะนั่น
“จริงๆเลยนะ” ผมบ่นออกมา
นี่เป็นโอกาสของผมแล้ว ชวนเขากลับดีไหมนะ มือกำสายสะพายกระเป๋าแน่น หัวใจเหมือนถูกบีบรัด เมื่อจะเอ่ยปากชวนเขาแต่โยกลับพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันว่าจะนั่งรอให้ฝนหยุดตกก่อนแล้วค่อยกลับ อัณณ์นั่งรอด้วยกันไหม”
ผมนิ่งเงียบไปครู่ ร่มที่นอนแน่นิ่งในกระเป๋าซึ่งหวังว่าซักวันจะได้ใช้มันกับโยเพื่อที่เราจะได้เดินกลับบ้านภายใต้ร่มคันเดียวกันแต่ทว่าการนั่งดูสายฝนโปรยปรายกับเขาอย่างไหนดีกว่ากันหรือบางทีผมอาจจะไม่ได้อยากใช้ร่มคันนี้...สิ่งที่ผมต้องการจริงๆอาจเป็นเรื่องที่อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับเขาให้นานกว่าทุกวันมากกว่า
“ได้สิ” ผมตอบรับคำชวนของเขา
เรานั่งอยู่ที่บันไดทางขึ้นหน้าตึกเรียนนั่งมองดูสายฝนที่ตกปรอยๆ เม็ดฝนตกกระทบกับแอ่งน้ำขังบนพื้นปูนซีเมนต์จนเกิดลอนคลื่นเล็กๆ ดอกไฮเดรนเยียสีม่วงอ่อนช่อกลมโตที่ปลูกอยู่ริมทางเดินหน้าตึกสั่นไหวเล็กน้อยยามโดนสายฝนสาด ผมลอบมองคนข้างๆ แวบหนึ่ง สมองก็พยายามประมวลผลเพื่อหาเรื่องคุยความเงียบทำให้เราสองคนมีช่องว่างมากเกินไป
“ในนิยายของอัณณ์มีฉากฝนตกไหม” กลายเป็นโยที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบนี้ก่อนผม เขานั่งขัดสมาธิพร้อมกอดกระเป๋าเป้ไว้ในอ้อมแขน ผมเดาว่าเขาคงจะหนาว
“มีสิ”
“บรรยายฉากนั้นให้ฟังหน่อยสิ” เขาส่งยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวที่มุมปาก สายตาหลุบต่ำลงเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ผมรู้สึกประหลาดใจทั้งที่อากาศเย็นฉ่ำเช่นนี้แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าว
“ไปอ่านในอินเตอร์เน็ตสิ ลงไว้ในนั้น”
“แต่ฉันอยากฟังเสียงอัณณ์บรรยายนี่นานะ” ปลายหางเสียงติดจะออดอ้อนอย่างไรชอบกล ผมเหล่มองอีกฝ่ายที่เอาแต่ยิ้มพร้อมกับส่งสายตาวิบวับมาให้ สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ต่อคำขอร้องของเขา
“สายฝนที่โปรยปรายลงมาราวกับน้ำตาลไอซิ่งที่ร่วงหล่นลงบนหน้าขนมเค้ก ฉันนั่งมองดูเม็ดฝนหยดแล้วหยดเล่ากับเขาเพียงสองคนในสถานที่ที่แสนคุ้นเคย บางครั้งเราก็เผลอมองสบตากันแล้วต่างฝ่ายก็เบือนหน้าไปคนละทาง เราพูดคุยกันด้วยเรื่องไร้สาระมากมาย แม้ระยะห่างของเราสองคนยังเท่าเดิม แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันก็หวัง...ว่าสักวันหัวใจของเราจะขยับใกล้คำว่า รัก ”
ผมเลือกบรรยาฉากนี้เพื่ออยากจะสื่อความหมายถึงเราสองคนในวันนี้ เราขยับเข้าใกล้กันขึ้นบ้างไหมนะ ผมยังสงสัย เราสองคนสบตากันเนิ่นนานก่อนที่โยจะเอ่ยออกมา
“10คะแนนเต็ม” ผมเลิกคิ้วมองเขา “ก็ที่อัณณ์บรรยายเมื่อตะกี้ไง สวยงามจับใจ”
ผมถอนหายใจ เฮ้อ! ส่งไปไม่ถึงนายจริงๆซะด้วย
“แล้วนิยายของโยล่ะ มีฉากฝนตกไหม”
“มีสิ เดี๋ยวจะบรรยายให้ฟัง ให้คะแนนด้วยนะ”
“เสียงกัมปนาทกึกก้องของอัสุนีบาตดังไปทั่วทั้งพื้นปฐพี สายฝนโปรยกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา ยามเม็ดฝนต้องผิวกายของนักรบทมิฬของกองทัพ ฉับพลันเสียงกรีดร้องดังขึ้นโหยหวนแล้วร่างกายของนักรบเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยน ผิวหนังสีขาวซีดนั้นค่อยๆหลุดร่อนจนเห็นเพียงมัดกล้ามเนื้อแลเส้นโลหิตสีแดงที่โยงใยประกอบร่างเท่านั้น ยิ่งร่างกายนั้นต้องเม็ดฝนมากเท่าไรเสียงกรีดร้องและความทรมานกลับทบทวีคูณ หญิงสาวในชุดราตรีสีดำเช่นเดียวกับสีผม นัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นมองดูความทรมานของผู้คนอย่างชอบใจราวกับกำลังดูมหรสพรื่นเริง เธอแสยะยิ้มแล้วเอ่ยออกมาว่า.........”
ผมนั่งฟังอย่างลุ้นระทึกกับการบรรยายฉากของโย แต่เขากลับหยุดบรรยายเสียเฉยๆ ใบหน้าของเขาโน้มเข้ามาใกล้ผม ผมหลบสายตาเขาทันที
“โย นะ นาย ยังบรรยายไม่จบ” ผมเตือนเขาเสียงสั่น โยยิ้มให้ผมใบหน้าที่ค่อยๆโน้มเข้าหาหยุดลง
“หญิงสาวในชุดราตรีสีดำเช่นเดียวกับสีผม นัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นมองดูความทรมานของผู้คนอย่างชอบใจราวกับกำลังดูมหรสพรื่นเริง เธอแสยะยิ้มแล้วเอ่ยออกมาว่า...........เอ่อ ลืมไปแล้วอะ......”
หา!!! ผมอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึงเมื่ออารมณ์ลุ้นระทึกของผมถูกทำให้กระเจิดกระเจิงไปจนหมดด้วยฝีมือของคนที่เอาแต่นั่งหัวเราะอย่างชอบใจที่หลอกให้ผมตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ
“อะไรของนายเนี่ยโย” ผมร้องออกมา
“สรุปฉันได้กี่คะแนน”
เขายังมีหน้ามาทวงคะแนนอีกเหรอ ทุเรศจริงๆ ผมหน้ามุ่ย
“เอาไป0 คะแนน ไม่ใช่สิ! ติดลบสิบไปเลย”
“ฮ่าๆ ก็เห็นอัณณ์ทำหน้าจริงจังเลยอยากแกล้งเล่น ฮ่าๆ”
ผมล่ะโมโหเขาจริงๆเลย ให้ตายเถอะ! แต่พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่หัวเราะทำให้ผมพลอยหัวเราะตามไปด้วย
“ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้กันนะ” ผมบ่นอุบ โยหยุดหัวเราะเขาจ้องมองหน้าผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่
“อะไร” ผมถามเขา น้ำเสียงเริ่มสั่นเพราะสายตาของโย เขายิ้ม
“แฟนตาซีของฉันมันไม่โรแมนติกนี่นา”
“เหอะ!”
เราสองคนต่างไม่ได้พูดอะไรออกมา ความเงียบกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ผมเหลือบมองโยที่นั่งกอดกระเป๋าอยู่ท่าเดิมสายตาของเขาจับจ้องไปยังสายฝนเบื้องหน้า
“เหมือนเราสองคนเลยนะ” เขาพึมพำราวกระซิบ
“หืม”
“หืม” เขาทำเสียงล้อเลียนผมแล้วหัวเราะออกมาก “ก็ที่อัณณ์บรรยายเมื่อกี้ไงล่ะ ฉากฝนตกน่ะ”
ผมร้องอ๋อในใจก่อนจะชะงัก มันสื่อถึงนายได้อย่างนั้นเหรอ! ผมพยายามเก็บอาการตื่นเต้นนั้นไว้อย่างสุดความสามารถเพราะบางทีผมอาจคิดไปเอง
“นายคิดไปเอง” ผมบอกเสียงแผ่ว โยยักไหล่แล้วขยับตัวมานั่งใกล้กับผม ผมมองเขาอย่างประหลาดใจ เราขยับมาใกล้กันจนผมสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบจากแขนของเขาดูเหมือนร่างของเขาจะสั่นน้อยๆ
“ดีจังเลยนะที่วันนี้ฝนตก แล้วได้นั่งรอให้ฝนหยุดกับอัณณ์” เขาบอกผม
........บางครั้งเราสองคนก็เผลอสบตากันและเบนสายตากลับไปมองสายฝนที่โปรยปรายลงมา......
“ฉันชอบนายนะ” เขาบอก ผมผงะถอยเล็กน้อย
“หา!!!!” ผมร้องอย่าตกใจ
‘นะ นี่ จะล้อเล่นอะไรกันล่ะเนี่ย’
“ฉันหมายถึง นิยายของอัณณ์น่ะ”
ผมสูดสมหายใจเข้าออกยาวๆเพื่อปรับอารมณ์ โยก็คือโย ล่ะนะ นิสัยขี้เล่นของเขาชวนโมโหจริงๆ เขาเอนตัวมาพิงไหล่ผมไว้ใบหน้าเราใกล้กันแค่คืบ เขายิ้มออกมา
“ฉัน ชอบ จริงๆ นะ”เสียงทุ้มที่ค่อยๆ เน้นย้ำทีละคำอย่างเนิบนาบชวนให้ผมเผลอใจเต้นรัวราวกับใครกำลังตีกลองอยู่ในอก
.........แม้ระยะห่างของเราสองคนยังเท่าเดิม แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็หวัง...ว่าสักวันหัวใจของเราจะขยับใกล้คำว่า ‘รัก’........
‘โอกาสที่เราพกร่มไว้ในกระเป๋าแล้วฝนตก มีกี่เปอร์เซ็นต์’
คำตอบคือ....ไม่รู้ครับ....
แล้ว
‘โอกาสที่เราจะได้ใช้ร่มคันนั้นกับใครบางคนที่เราแอบชอบมีกี่เปอร์เซ็นต์’
คำตอบคือ.....ศูนย์เปอร์เซ็นต์หรือเปล่านะ..........
จบบริบูรณ์