รักข้ามภพ
1
ตอน
2.86K
เข้าชม
43
ถูกใจ
4
ความคิดเห็น
27
เพิ่มลงคลัง

 

จิ่งหยู – โจวโจว – พี่รุต

........ตอนที่ 1.......

 

เว่ยโจวรู้สึกตัวอีกทีก็มานั่งกึ่งสลบอยู่หลังปางพระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานเรียงรายกว่า 120 องค์ที่ ระเบียงคด ส่วนเชื่อมต่อระหว่างพระเมรุ แต่ละเมรุเป็นแนวกำแพงก่ออิฐปูน 2 ชั้น ล้อมรอบพระปรางค์ประธานและเจดีย์สี่ทิศ.....นี่เขาฝันหรือตายเป็นวิญญาณแล้วหรือไรถึงได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ตอนกลางคืนคนเดียว.....เว่ยโจวกอดเข่าทั้งสองข้างของตัวเองไว้ ร่างกายสั่นเทาราวกับว่าเขาได้ประจักษ์กับความกลัวและความเดียวดายสุดจะพรรณนา ใบหน้าหวานต้องแสงจันทร์กวาดสายตามองไปรอบๆเห็นคบไฟแบบโบราณทำด้วยไม้ตั้งเรียงรายอยู่ตามจุดต่างๆในโบราณสถานแห่งนี้ เขาจำได้เพียงแต่ว่าเขากับคนรัก ‘หวงจิ่งหยู’ แอบมาเที่ยวเป็นการส่วนตัวในประเทศไทย หนีจากการตามของเหล่าแฟนคลับที่สนามบินและที่โรงแรม โดยในยามดึกให้ผู้ติดตามที่ไว้ใจได้ขับรถมุ่งไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขาจำได้ว่าวันที่สองของการเดินชม ‘เมืองเก่า’ จิ่งหยูสวมหมากแก๊ปสีดำเสื้อแขนกุดและกางเกงขาสั้นสีดำตัวโปรด ส่วนเขาใส่เชื้อเชิ้ตตัวบางสีขาว กางเกงยีนส์แฟชั่นขายาวตัวโปรด ถือผ้าเช็ดหน้าคอยซับเหงื่อให้ตัวเองคนรักที่ตอนนี้กำลังหลงใหลกับการสำรวจซากปรักหักพังและความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาซึ่งแตกต่างจากพระราชวังต้องห้ามที่เขาเคยรู้จัก แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยสถานที่เหล่านี้ดี กลิ่นอายดินผ่านสายลมก่อนฝนตกทำให้เขาหลับตาพริ้ม ซึมซับความสุข ความหวนคำนึง ความคิดถึง และ ความพลัดพรากโดยไม่รู้ตัว...น่าแปลก...มือสวยจับแขนคนรักและกำลังจะถามว่ามีความรู้สึกแรงกล้าอะไรเหมือนตนบ้างไหมขณะยืนอยู่ที่โบราณสถาณที่คนไทยเรียกว่า ‘วัดเก่า’ แห่งนี้ จู่ๆ ลมฝนก็พัดกระหน่ำตกลงบนร่างทั้งสอง ร่างใหญ่โอบร่างบางให้วิ่งเขาไปหลบอยู่ในประตูหรือห้องรูปสี่เหลี่ยมตั้งฉากก็ไม่เชิง แต่พอให้ทั้งสองเขาไปอยู่ข้างในโบราณสถาน ด้านหลังเป็นช่องประตูเปิดโล่ง หากก้าวเพียงสองก้าวก็จะไปสู่สนามหญ้าสีเขียวอีกฝั่งของโบรารณสถานแห่งนี้ ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องครึกโครม ฝนเทสาดเข้ามาพร้อมกับลมพายุทำเอาร่างบางของเว่ยโจเซทรงตัวไม่ได้ และกำลังจะหงายหลังออกจากประตูโล่ง จิ่งหยูเห็นเว่ยโจกำลังจะหงายหลังลมฟาดออกจากประตูรูปสี่เหลี่ยมที่ทะลุไปอีกฝั่งได้ วินาทีที่เขายื่นสองมือใหญ่จะประคองเอวบางกลับมาหาเขา เขาได้คว้าธาตุอากาศเสียแล้ว! “โจวโจว!!!!” จิ่งหยูตะลึงงันร่างของคนอันเป็นที่รักหายวับไปกับตา ช่างเหมือนฝันไม่ผิดเพี้ยน หน้าคมเกือบล้มคะมำและตัวนั้นแทบจะกระโจนออกจากประตูที่เปิดโล่งแต่สามาถยั้งตัวไว้ได้ทัน

 

เขาแทบบ้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตบหน้าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนดีๆจะหายวับไปกับตาอย่างกับผีหลอกอย่างนี้ได้ยังไง จิ่งหยูวิ่งตามหาเว่ยโจวท่ามกลางสายฝน ล้มลุกคลุกคลานถามนักท่องเที่ยวรอบข้างที่กำลังวิ่งหลบฝนเป็นพลันละวันเป็นภาษาจีนว่าเห็นร่างบางวิ่งผ่านมาทางนี้หรือไม่ นี่มันในประเทศไทยคนไทยฟังภาษาจีนที่จิ่งหยูพูดไม่ออกแม้สักคนเดียว.......จิ่งหยูวิ่งและตะโกนเรียกชื่อโจวโจวไปทั่ว สะดุดล้มลงบนพื้นดินท่ามกลางสายฝน......ชายหญิงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ช่วยกันประคองร่างใหญ่ที่กำลังตกใจราวกับว่าใครสักคนที่เขามาด้วยหายตัวไป “โจวโจว นายอยู่ไหน ฮึกก........” จิ่งหยูสะอื้นไห้กำหมัดแกร่งและทาบไว้ตรงหัวใจแน่น นี่มันเหตุการณ์เหนือธรรมชาติหรือมิติอันใดได้พรากสุดที่รักของเขาให้หายไปในวับตาเดียว อกสั่นขวัญหายแต่ก็หาคำตอบไม่ได้....ในตอนนี้เสียงฝนไม่สามารถกลบเสียงร้องลั่นเพรียกหาอันแสนเจ็บปวดภายในหัวใจจิ่งหยูที่มีต่อโจวโจวได้เลย

 

~ ใกล้กันแค่มือคว้าแต่ว่าไกลกันจนลับตา....แม้ใจจะอ่อนล้าอย่าท้อ....ขอเธอจงเข้มแข็งและอดทนเพื่อรอ รอวันที่เราเคียงคู่กัน ~

 

เหมือนมีคนมาฉายหนังให้เว่ยโจวเห็นอยู่ตรงนั้นเอง สิ่งหนึ่งที่เรียกสติของเขากลับมาก็ตรงที่ มีเสียงพลุ คล้ายเสียงปืนดังมาแต่ไกล นี่ไม่ใช่โลกวิญญาณ...เขายังไม่ตาย... ที่แห่งนี้มีทั้งรูปรสกลิ่นเสียงและสัมผัสเหมือนจริงทุกประการ เว่ยโจวพยายามจะลุกขึ้น.....ทว่ามีชายฉกรรจ์ 3 คนไกลๆกำลังเดินมาตรงที่เขาหลบซ่อนตัวอยู่ที่หลังพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสำริจ เขาเห็นชายสองคน...คนซ้ายและคนขวาติดตามชายคนกลางไม่ใส่เสื้อ.....ส่วนชายคนกลางสวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะสีน้ำตาลอ่อน แขนยาวเกือบจรดศอกมีผ้าผืนยาวคล้องคอแล้วตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง  ถือดาบสวมปลอกไม้ ด้ามดาบทำด้วยไม้สักรัดด้วยปลอกหวายที่ถักเป็นปล้องๆ คล้ายเดินสำรวจเวรยามแต่ทว่ามุ่งตรงมาที่เว่ยโจวอย่างฉับไว อนิจจา....เขาหาที่หลบซ่อนร่างบอบบางของตัวเองได้ไม่มิดเสียแล้ว ชายสองคนกระชากเว่ยโจวให้ออกมาจากหลังพระพุทธรูปปางสมาธิอย่างไม่ใยดี....พวกเขาถึงกับผงะ เมื่อเห็นหน้าตาผิวพรรณและการแต่งตัวของเว่ยโจวที่แตกต่างไปจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง!

 

“อี...เอ๊ย ไอ้คนนี้คงเป็นเชลยหรือไม่ก็ไส้สึกแน่แท้เลยขอรับท่านขุน” ทหารหนุ่มเลือดร้อนผู้มีรอยสักคาถาอาคมบนหน้าอกแกร่ง กล่าวร้ายเว่ยโจวก่อนสอบถามชื่อเสียงเรียงนาม มิหนาซ้ำยังผลักเว่ยโจวให้ก้มต่ำลงคุกเข่าอย่างทุลักทุเลจนเข่านวลนั้นถลอกจนเลือดซิบ....เว่ยโจวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ นัยน์ตาสั่นคลอน ....นี่มันโลกอดีตหรือโลกหน้ากันแน่ นี่มันไม่ใช่บรรพบุรุษชนชาติจีนของเขา ทำไมเขาถึงฟังภาษาของคนพวกนี้เข้าใจ โดยไม่มีประสาทการรับรู้ทางภาษามาขวางกั้นเลยสักนิด??

 

“เอ็งเป็นใคร....เป็นคนของคุ้มของพระยาที่กำลังทรยศต่อกรุงศรีอย่างนั้นรึ” ไวกว่าความความคิด ขุนไกรชักดาบและชี้ปลายดาบคมกริบไปที่ขอหอยของเว่ยโจว เว่ยโจวน้ำตาไหลพรากปากสั่นเทา ได้แต่พึมพำแต่คำว่า…พะ พี่จิ่งหยู.. ปะป๊า...มะม๊า ชะ ช่วยผมที.... เหมือนจะเป็นลมล้มพับแทบเท้าคนตรงหน้า ขุนไกรรู้สึกเวทนาสงสาร หนุ่มน้อยรูปงามผู้นี้ขึ้นมาทันใด

 

“ไอ้มั่น ไอ้สิงห์! เอาตัวอ้ายหนุ่มผู้นี้ไปให้หลวงศักดิรุตพิไชยวานิช พิจารณาเถิด…”

 

เว่ยโจวเข้ามาอยู่ในเรือนไม้ทรงไทยตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ตัว  สภาพบ้านใหญ่โตและมีบริวารทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขมักขเม้น บ้างก็นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อย บ้างก็นั่งหัวเราะคิกคักหยอกเล่นกันฉันเพื่อน สะดุดตาเข้ากับแจกันจีนโบราณอันใหญ่ที่ตั้งใกล้หญิงวัยกลางคนรุ่นแม่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาจากถ้วยจีนลายครามอย่างช้าๆ

 

หลวงศักดิรุตพิไชยวานิช นั่งอยู่บนตั่งขนาดใหญ่ใจกลางเรือนไม้หลังงามแห่งนี้ แปลกที่เว่ยโจวไม่รู้สึกกลัวหรือตกใจกับการเห็นหลวงศักดิรุตพิไชยวานิชตัวเป็นๆอย่างนี้เลย แม้จะมีดาบที่น่าเกรงขามวางไว้ข้างกายสูงใหญ่กำยำ หากแต่ปลอกของดาบสลักอย่างวิจิตรงดงามสมกับใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาที่ดูน่าเกรงขามและอบอ่นในคนๆเดียวกัน หลวงศักดิรุตอยู่ในโจงกระเบนสีน้ำตาล  สวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะสีขาวแขนยาวเกือบจรดศอก ทรงผมมหาดไทยแต่ตัดคล้ายรองทรงเหมือนคนยุคปัจจุบันแล้วไถสั้นเกรียนสามด้าน

 

“มาหาข้าถึงเรือนยามวิกาลแบบนี้ มีธุระกระไรหรือขุนไกร....”

 

“หลวงศักดิรุตขอรับ กระผมไปพบอ้ายคนหนึ่งแต่งตัวประหลาดแอบซ่อนตัวอยู่หลังพระพุทธรูปปรางสมาธิท้ายวัดขอรับ” ขุนไกรกล่าวอยางใจร้อน “อ้าว ไอ้มั่น ไอ้สิงห์ ทำตัวจดๆจ้องๆอยู่ได้พาตัวอ้ายหนุ่มหน้าขาวนั่นมาใกล้ๆซี” ว่าแล้วก็กวักมือให้นายทหารสองคนพาตัวเว่ยโจวเข้ามาข้างใน

 

เว่ยโจวถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าลงอยู่ตรงหน้าหลวงศักดิรุตพิไชยวานิช ดวงตากลมโตก้มต่ำ น้ำตาเจ้ากรรมหยดลงพื้น หลวงศักดิรุตพิไชยวานิชจ้องมองร่างงดงามตรงหน้า ใบหน้าขาวนวลเนียนนั้นช่างเพิ่มความโดดเด่นให้กับปากอวบอิ่มสีชมพู เขารู้เลยว่าคนคนนี้เป็นลูกจีน....เขาสนิทชิดเชื้อกับคนจีนมาตั้งแต่เด็กเพราะบิดาเป็นถึงพระยาคลัง เป็นฑูตสยามเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณการไปยังเมืองจีน รัฐบาลสยามได้มีการค้าขายกับราชวงค์ชิงอย่างเป็นล่ำเป็นสันมานานโข กรุงศรีอยุธยาได้รับผลกำไรมากมายจากการค้าข้าวกับจีน แม้ว่าในสมัยรัฐบาลชิงจะห้ามนำทองเหลืองและเหล็กส่งออกขายต่างประเทศ แต่เมื่อฑูตไทยได้ขอร้องสินค้าพวกทองเหลืองจึงได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิเฉียนหลงเป็นพิเศษให้ขายแก่สยามได้

 

“เจ้าชื่ออะไรรึ เหตุใดถึงแต่งตัวประหลาดอย่างกับไม่ใช่คนสยาม แม้แต่คนจีนก็ไม่แต่งตัวเช่นเจ้า” คุณหลวงหนุ่มทำเสียงเข้มแต่แฝงความเอ็นดูอยู่ในที

 

“ชะ ชื่อสวี่เว่ยโจว....ผมหลงทางแล้วก็ไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน ผมไม่ได้อยู่ในยุคของคุณ” ปากขยับจะพูดภาษาจีนแต่ไม่รู้ปาฏิหาริย์อะไรเล่นตลกให้เขาพูดภาษาไทยได้ชัดไม่ผิดเพี้ยน คุณหลวงหนุ่มประหลาดใจเมื่อคนที่เขาคาดว่าจะมาจากจีนกลับพูดไทยได้ชัดแจ๋ว ถึงสำนวนจะพิลึกพิลั่นน่าขันก็ตามที แม้ผิวพรรณจะขาวนวลเนียนบอบบางราวกับไม่เคยทำงานหนักมาตลอดชีวิตแต่ก็ยังดูเป็นผู้ชายที่แข็งแรง คุณหลวงหนุ่มพิจารณาคนตรงหน้าอย่างไม่วางตาก็พบว่าแม้เว่ยโจวจะไม่หล่อเข้มเหมือนตัวคุณหลวงเองซึ่งเป็นคนไทยแท้ๆ หากแต่หนุ่มจีนผู้นี้ก็มีเสน่ห์ตรึงใจ จมูกโด่งเป็นสัน หน้าตาหวานน่ารักไม่ต่างจากสตรีไทยและสาวงามจีนที่เขาเคยพบเห็น หากแต่เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงพวกนั้นเพราะชีวิตในวัยหนุ่มมุ่งมั่นกับการทำศึกสงครามและแสวงหาความรู้ด้านการการต่างประเทศ

 

“พ่อรุตลูกแม่...สืบสวนใคร่รู้อะไรอยู่นานสองนาน มานี่แม่จะให้บ่าวไพร่มันพาหนุ่มน้อยผู้นี้ไปอาบน้ำขัดตัว แล้วแต่งตัวเสียใหม่ เห็นแล้วขัดตาจะเป็นตัวละครจากอุปรากรจีนก็หาไม่ จะเป็นฝรั่งมังค่าก็ไม่เชิง” ท้าวนวลจันทร์ มารดาของหลวงศักดิรุตพิไชยวานิชเดินเข้ามาขัดความตะลึงงันของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนต่อหนุ่มจีนที่ใส่เสื้อคอปกสีขาวและกางเกงขายาวเนื้อหยาบสีฟ้าอ่อน...เนื้อผ้าอะไรกันหางามเทียบผ้าแพรไม่ เห็นแล้วขัดหูขัดตาเสียจริง

 

“ประคองน้องให้เขาลุกขึ้นซี พ่อรุต” เมื่อมารดาออกคำสั่ง ท่าทางน่าเกรงขามของชายชาติทหารอย่างคุณหลวงศักดิรุตก็ลดไปกึ่งหนึ่ง ย่อตัวลงเอื้อมมือแกร่งแต่อบอุ่นประคองร่างเย็นเฉียบของเว่ยโจวให้ยืนขึ้น เว่ยโจวหลบสายตาหลวงศักดิรุตพิไชยวานิช เบี่ยงตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อให้คุณหลวงหนุ่มรู้ว่าเขาไม่ชินกับการที่จะถูกผู้ชายคนอื่นจับตัว......นอกจากชายอันเป็นที่รักของเขาเท่านั้น.....หวงจิ่งหยู....พลันคิดถึงจับใจ ใจก็ตกลงไปถึงตาตุ่ม ป่านนี้จะเป็นอย่างไร ตามหาเขาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับใช่หรือไม่ ขอเพียงพี่จิ่งหยูมีชิวิตอยู่แม้ตัวจะต้องตาย ขอเพียงให้ได้รู้ว่าพี่ปลอดภัย เว่ยโจวคนนี้ก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว.....

 

 

หลวงศักดิรุตพิไชยวานิช มองตามเว่ยโจวที่เดินไปพร้อมกับมารดาของเขาและบ่าวไพร่ไม่วางตา เขาต้องหาความจริงให้ได้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นใคร ชาติตระกูลอะไร เป็นไส้ศึกให้พวกพม่าหรือพวกพระยาทรยศชาติกันแน่ แม้ว่าความครุ่นคิดรุมเร้า......เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเพื่อนสนิทของเขาที่เคยเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งราชสำนักจีน องค์ชาย 8 หรือองค์ชายเจ้าสำราญนามว่า “จิ่งอวี๋” ถึงได้หลงใหลในรสบุรุษเพศด้วยกัน มีข้ารับใช้เป็นชายหน้าตางดงามล้อมหน้าล้อมหลังทั้งกลางคืนและกลางวัน องค์ชายจิ่งอวี๋เป็นรัชทายาทองค์โปรดของจักรพรรดิเฉียนหลงเพราะเป็นผู้มีความสามารถด้านการรบอีกทั้งยังมีมักษะทางการฑูตสร้างคุณประโยชน์มากมายให้กับแผ่นดินแมนจู แต่น่าเสียดายต้องถูกปลดออกจากการเป็นองค์รัชทายาทเพราะไม่สามารถร่วมหอกับสนมเพื่อสืบราชสันติวงค์แห่งราชบัลลังก์ต้าชิงได้......

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว