บทที่ 6
กำแพงหนา (พังครืน)
“แม่ฝันว่าอะไรนะฮะ !”
เด็กหนุ่มทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาบอกชัดเจนเต็มสองหู โดยไม่มีทางผิดเพี้ยนแน่นอน
“อาทิตย์หน้าแม่จะไปงานแต่งเพื่อนที่โรม ประเทศอิตาลีจ่ะ”
คนเป็นแม่บอกด้วยความขบขันกับความตกใจเกินเหตุของบุตรชาย โดยไม่คิดแปลกใจแต่อย่างใด เพราะซีโน่มักเป็นแบบนี้อยู่เสมอยามที่มีเรื่องเซอร์ไพรส์
“แม่ฝันจะมาโรม ! แม่ฝันจะมาอิตาลี !”
ซีโน่ทวนคำตอบของมารดาอีกครั้ง
“หลังเสร็จธุระแม่จะแวะไปหาภัทรที่อังกฤษนะลูก”
นิรดาบอกตามแผนที่ตนวางไว้ แม้เด็กชายณภัทรเพิ่งจะบินอังกฤษได้ไม่นาน ทว่าความคิดถึงที่มีต่อลูกชายคนเดียวก็ทำให้หญิงสาวอยากพบหน้าลูกโดยไว พอดีกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยกำลังจะแต่งงานกับหนุ่มชาวอิตาลี ซึ่งจะจัดงานขึ้นที่บ้านเกิดของฝ่ายชายจึงถือเป็นโอกาสดีที่จะแวะไปเยี่ยมลูกชายด้วย
“แม่ฝันจะแวะมาหาภัทรที่อังกฤษ !”
เด็กหนุ่มตะโกนดังเสียยิ่งกว่าประโยคแรก เริ่มหนักใจขึ้นมาเมื่อมารดามีแพลนจะไปเยี่ยมตนที่อังกฤษ แต่ถึงท่านไปก็ไม่เจอใครอยู่ดี เพราะคนที่ท่านตั้งใจจะไปหานั้นอยู่ที่โรมต่างหาก
“ภัทรนี่ก็แปลกนะลูก ตกใจเป็นเด็กๆ ไปได้กะอีแค่ที่แม่จะไปเยี่ยม หนูไม่ดีใจรึที่แม่จะไปหา” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนัก คิดว่าลูกชายคงจะตื่นเต้นจนออกอาการแบบนี้
“อ่ะ...เอ่อ...ดีใจสิฮะ ภัทรคิดถึงแม่ฝันจะตาย อยากกอดแม่ฝันที่สุดด้วย” คนร้อนตัวรีบอ้อน ก่อนที่มารดาจะจับสังเกตได้
“ป้ามุกสบายดีหรือเปล่าลูก แม่โทรไปหาก็ไม่ค่อยติด” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุยและถามถึงเพื่อนต่างวัยของตนเองที่ติดต่อไม่ค่อยได้เลย
“เอ่อ...ป้ามุกสบายดีฮะ พอดีช่วงนี้ท่านไปเที่ยวกับสามีในที่อับสัญญาณฮะ จอร์นยังติดต่อท่านไม่ค่อยได้เลยฮะ”
เด็กหนุ่มได้แต่นึกขอโทษมารดาในใจกับคำโกหกคำโตนี้ แต่มันก็ไม่มีทางเลือก ถ้าหากถูกมารดาจับได้เมื่อไหร่คงได้กลับบ้านเมื่อนั้น และโอกาสที่จะใกล้ชิดบิดาก็จะจบลงด้วย
“งั้นภัทรไปนอนเถอะลูก ที่นั่นคงดึกมากแล้ว” หญิงสาวบอกกล่าวเพราะไม่อยากให้ลูกนอนดึก เนื่องจากเวลาที่เมืองไทยกับอังกฤษต่างกันอยู่หลายชั่วโมง
“ฮะแม่ฝัน”
หลังจากคุยกับมารดาอีกหลายประโยคก่อนวางสาย ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังเดินติดจั่นจนทั่วห้องใหญ่ เนื่องจากคิดหนักกับโปรแกรมที่มารดาบอกล่วงหน้าเมื่อครู่
“จะทำยังไงดีเนี่ยซีโน่”
คนกลัวถูกจับได้เดินไปมาอย่างใช้ความคิด จนคนที่นั่งสังเกตอาการนี้มานานเอ่ยขึ้น
“นายน้อยหยุดเดินก่อนเถอะครับ ผมชักจะเวียนหัว”
เด็กหนุ่มหันไปมองคนพูดอย่างมีความหวังขึ้นมา พร้อมกับเดินไปนั่งข้างๆ คนหน้าขรึมอย่างประจบประแจง ก่อนจะเอ่ยขอความช่วยเหลือเสียงออดอ้อนอย่างที่เคยทำอยู่เป็นประจำ
“ไมลีย์...ลุงช่วยผมคิดหน่อยสิฮะ”
“นายน้อยจะให้ผมช่วยอะไรก็ว่ามาเถอะครับ” คนหน้านิ่งไม่ปฏิเสธ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยความใจดีขัดกับหน้านิ่งๆ ของตน
“แม่ฝันจะมาโรมอาทิตย์หน้า” เด็กหนุ่มบอกปัญหาของตน
“นายน้อยจะให้ผมช่วยทำให้คุณแม่คิดว่านายน้อยอยู่อังกฤษ”
คนมากประสบการณ์เอ่ยอย่างมองเกมขาด เนื่องจากพอจะจับใจความที่นายน้อยคุยกับมารดาได้ และนั่นทำให้คนถูกรู้ทันยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เมื่อคิดว่ามือขวาของบิดาสามารถช่วยตนได้
“ไมลีย์จะช่วยผมใช่ไหมฮะ” ซีโน่เอ่ยถามอย่างมีความหวัง
“ถ้านายน้อยต้องการ” ชายหนุ่มตอบรับ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและมองลูกชายของเจ้านายหนุ่มด้วยความเอ็นดู “นายน้อยเข้านอนเถอะครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณแม่ เดี๋ยวผมจะจัดการให้”
“ขอบคุณฮะ”
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ด้วยความขอบคุณ ก่อนจะเดินไปยังห้องนอนของตนเองภายในตึกแฝดสำนักงานใหญ่ของคิงส์ตัน
ซีโน่เดินไปหยุดยืนริมกระจกบานใหญ่ของผนังห้อง มองดูทิวทัศน์ของกรุงโรม เมืองหลวงของแคว้นลาซีโอ ประเทศอิตาลี ความสวยงามที่มองจากมุมสูงได้ 360 องศาไม่สามารถดึงความสนใจของหนุ่มน้อยให้ลืมนึกถึงผู้เป็นบิดาได้
ทุกถ้อยคำที่พ่อผู้ให้กำเนิดต่อว่าหรือกล่าวหามันช่างเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเหมือนเข็มนับพันวิ่งมารุมทึ้งที่หัวใจดวงน้อยนี้เหลือเกิน
มีห้วงหนึ่งของความคิดที่นึกอยากจะยอมแพ้และกลับไปใช้ชีวิตกับมารดาผู้เป็นที่รักอันหนึ่งเดียวเช่นเดิมที่เคยเป็นมา ทว่าเสียงอันอ่อนโยนของใครคนหนึ่งกลับทำให้เด็กหนุ่มผู้จากบ้านมาไกลฮึดสู้อีกครั้ง แม้ผลลัพธ์อาจจะไม่แตกต่างจากครั้งก่อนนัก แต่อย่างน้อยก็ยังได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อผู้ให้กำเนิดถึงจะเป็นเวลาน้อยนิดก็ตาม
เมื่อนึกถึงใครคนนั้นก็พาลทำให้คิดถึง ทันเท่าความคิดเด็กหนุ่มเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงและต่อสายไปหาใครคนนั้นทันที
“สวัสดีครับคุณย่า...”
******************
ผ่านมาหลายวันแล้วที่นิคาโอไม่เจอเด็กหนุ่มลูกครึ่งมาคอยกวนใจ แม้อยากให้เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ทว่าเมื่อเจ้าเด็กนั่นไม่มาเสนอหน้าให้เห็นเช่นเมื่อก่อนก็พลอยรู้สึกไม่สบายใจจนพาลทำให้เกิดความไม่พอใจแทน
“ไหนว่าขอเวลาสองเดือนไงล่ะ ที่แท้ก็ขี้ขลาด”
คนไม่พอใจเอ็ดถึงใครบางคนที่หายหน้าไปหลายวัน ขณะกำลังนั่งรถกลับยังเพนท์เฮ้าส์หรูของตน โดยมีเลขาหนุ่มเป็นสารถี โดยลืมคิดไปว่าตนเองเป็นคนเอ่ยปากไล่เขาไปด้วยตัวเอง แถมยังทำร้ายจิตใจไปสารพัด
ไมเคิลขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เนื่องจากช่วงหลังมานี้เจ้านายหนุ่มมักจะนั่งเหม่อคุยกับตัวเองเป็นประจำ หรือตั้งแต่มีเจ้าเด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนั้นเข้ามา มาเฟียหนุ่มผู้เคร่งขรึมก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ปากบอกไม่สนใจ แต่ก็ยังคิดถึงเค้า” สารถีหนุ่มเอ่ยลอยๆ ด้วยความหมั่นไส้คนปากแข็ง
“แกคิดว่าฉันไม่ได้ยินรึไงไมเคิล”
ชายหนุ่มวัยสามสิบสองปีเอ่ยสวนขึ้นทันควันกลบเกลื่อนความผิดปกติบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตน
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับนาย”
ไมเคิลเองก็ไม่ได้เกรงกลัวกับเสียงคำรามนั่น ถึงแม้นิคาโอจะเป็นเจ้านายเหนือหัว แต่เมื่ออยู่กันตามลำพังก็เหมือนเพื่อนหรือพี่น้องที่เติบโตขึ้นมาด้วยกัน ถึงเขาจะมีอายุมากกว่ามาเฟียหนุ่มอยู่สามปีทว่าก็มีการหยอกล้อกันเล่นอยู่เสมอ แม้อีกคนจะเคร่งขรึมตลอดเวลาเช่นกับพี่ชายฝาแฝดของเขาก็ตาม
แต่เมื่อเห็นคนที่เปรียบเสมือนน้องชายนั่งนิ่งอย่างต้องการใช้ความคิดจึงเงียบเสียงลง ด้วยรู้ว่านิคาโอคงอยากนั่งคิดอะไรเงียบๆ มากกว่า
นิคาโอนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมวันนั้น ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เขาได้เห็นหน้าหนุ่มลูกครึ่ง ไม่คิดว่าซีโน่จะยอมแพ้ในที่สุด
ทั้งที่ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเข้ามาวอแวใกล้ๆ เขามักจะบริภาษไปเสียเจ้าเด็กนั่นท้อแท้ หรือแม้กระทั่งเสียน้ำตา แต่มันก็มักจะไม่ยอมแพ้ ยังคงตามตอแยเขาอยู่เหมือนเดิม จนเกิดเรื่องในวันนั้น
หลังจากเขาพูดประโยคนั้นจบแสนเจ็บปวดนั่น หนุ่มลูกครึ่งก็วิ่งหายออกไป และเขาเองก็ไม่ทันเห็นว่าเจ้าตัววิ่งไปทางไหน
เพียงไม่นานจากนั้นเขาเองก็กลับลงมาชั้นล่างที่มีลูกน้องรออยู่ ก่อนจะออกรถกลับไปยังที่พักทันที โดยหาคิดสนแม่สองสาวที่ได้หิ้วกลับมาด้วยไม่
‘ขอให้นายเจอพ่ออย่างที่นายต้องการ...ซีโน่’
ชายหนุ่มเอ่ยอวยพรในใจ หวังว่าคำปรารถนาของเขาจะช่วยให้เด็กหนุ่มเจอพ่อในเร็ววัน
แต่แล้ว...
เอี๊ยดดด!!!
เสียงยางรถยนต์ที่แบรกกะทันหันจนได้กลิ่นไหม้ของยางรถ เพราะคนขับเหยียบแบรกกะทันหัน ไม่เช่นนั้นคงได้เป็นฆาตกรขับรถชนคนตายแน่ซึ่งการเหยียบเบรกกะทันหันแบบนี้ทำให้รถบอดี้การ์ดที่ขับตามหลังมาเกือบจะชนท้ายอย่างเฉียดฉิว
“แกกะจะฆ่าฉันให้ตายรึยังไงไมเคิล บาร์คลี่ย์!”
คนหน้าคะมำเพราะไม่ได้ตั้งตัวสบถเสียงดังลั่นรถ
คนถูกเรียกชื่อและนามสกุลเต็มยศหันมายิ้มแหๆ ให้ผู้เป็นนาย พร้อมกับเอ่ยอย่างขอโทษขอโพย “ผมขอโทษครับนาย แต่มีคนวิ่งมาตัดหน้ารถเรา ผมเลยต้องเหยียบแบรกกะทันหันครับ”
“อยากตายมากใช่ไหม ! ได้...”
มาเฟียหนุ่มเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป โดยที่เลขาหนุ่มเองห้ามไม่ทัน
“อย่าเอาถึงตายนะครับนาย”
ไมเคิลได้แต่พูดไล่หลังเจ้านายหนุ่ม เพราะรู้ว่าหากนิคาโอโกรธเมื่อไหร่ หมายความว่าพายุทอร์นาโดกำลังจะมาเยือนถึงที่และมันจะกวาดล้างทุกอย่างตรงหน้าจนสิ้นซาก โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
ทางด้านคนที่ไม่พอใจเปิดประตูลงมาจากรถ เพื่อจะเอาเรื่องกับคนที่กระโดดตัดหน้ารถตนก็ต้องขมวดคิ้ว เนื่องจากหาตัวการของเรื่องไม่พบ
“หายไปไหนแล้ว”
ชายหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองพร้อมกับมองไปรอบๆ กาย ก่อนจะรู้สึกถึงแรงสะกิดจากทางด้านหลัง และหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ จนได้พบกับตัวตนเหตุ
“Hi Daddy. How are you?”
ตัวต้นเหตุกล่าวทักทายเสียงระรื่น พร้อมกับรอยยิ้มแสนหวานจนดวงตากลมโตเรียวรีเป็นเส้นตรง
“หนอย...ย... เจ้าเด็กเวร !!! นี่อยากตายมากถึงขนาดวิ่งตัดหน้ารถเลยรึไง !”
คนโมโหตวาดใส่เสียงดังลั่น โดยไม่สนใจสรรพนามที่เด็กหนุ่มใช้เรียกที่ตนไม่ชอบแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเองเลยว่าที่ตนต้องขึ้นเสียงใส่คนตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงเพราะโมโหที่เด็กหนุ่มเกือบทำให้เขาเกือบกลายเป็นฆาตกร
แต่ส่วนลึกใครจะรู้ที่โมโหก็เพราะเป็นห่วงกลัวมันจะตายขึ้นมาจริงๆ แล้วไม่มีคนเจ้าเล่ห์มายิ้มหน้าทะเล้นใส่เช่นนี้ อีกอย่างก็ดีใจที่มันไม่ยอมถอดใจง่ายๆ ยังคงไม่กลัวที่จะได้ยินคำด่าจากเขา
“ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ ผมจะได้คุยกับแด๊ดไหมล่ะ”
เด็กหนุ่มอ้างอย่างไม่เกรงกลัวเสียงตวาดนั่นเลย และสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นพ่อมากกว่าเดิม
“รับผมกลับบ้านด้วยคนนะฮะ ผมไม่มีเงินจะซื้อข้าวกินแล้วนะฮะ” เด็กหนุ่มอ้อน พร้อมกับไขว้นิ้วชี้และนิ้วกลางไปทางด้านหลัง กันมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่สังเกตเห็น
แม้นิคาโอไม่เห็นในสิ่งที่หนุ่มลูกครึ่งกำลังทำ ทว่าสารถีหนุ่มที่เพิ่งตามลงมาสมทบกลับเห็นมันชัดเจนเสียยิ่งกว่าหนังสี่มิติเสี่ยอีก จึงอดจะขำกับความเจ้าเล่ห์นี้ไม่ได้ แต่ก็ต้องเก็บเสียงสุดฤทธิ์ เพราะกลัวเจ้านายหนุ่มได้ยินมันเข้าแล้วเงาหัวเขาจะไม่อยู่ เพราะไปเที่ยวสุสาน
“ไม่มีเงินก็กลับบ้านไปซะ ฉันไม่ได้ใจดีขนาดนั้น”
นิคาโอเอ่ยเสียงอ่อนลง เมื่อเห็นรอยยิ้มหวานประดับอยู่บนหน้าหล่อตรงหน้า นึกสะดุดใจที่มันบอกว่าไม่มีเงินจะซื้อข้าวกิน แล้วหลายวันที่ผ่านเจ้าเด็กนี่ผ่านอะไรมาบ้างเนี่ย
“ขอบคุณครับแด๊ด” เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณอย่างยินดี
“อือ ไม่เป็นไร”
ชายหนุ่มรับคำ ก่อนจะเอะใจว่ามันมาขอบคุณทำไมแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อคนที่ขอบคุณตอนนี้เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว
“ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะซีโน่!”
“ก็แด๊ดเป็นคนบอกเองว่าไม่มีเงินก็กลับบ้านไปซะ” ซีโน่ทวนคำพูดของบิดาด้วยหน้าตาใสซื่อแต่สายตาเจ้าเล่ห์นั่นไม่ได้ใสซื่อตามหน้าตาเลย
“ฉันหมายความถึงบ้านของนาย ไม่ใช่บ้านของฉัน” นิคาโอแก้ความเข้าใจผิด แต่ดูเหมือนมันจะช้าไป เพราะคนหน้ามึนยังทำท่าไม่เดือดไม่ร้อน
“บ้านของแด๊ดก็บ้านของผมนั่นแหละฮะ” เด็กหนุ่มบอกด้วยท่าทีรำคาญเล็กน้อย ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับลูกน้องของบิดาราวกับตนเป็นเจ้านายเสียเอง
“ไมเคิลเรากลับบ้านกันเถอะฮะ”
“เอ่อ...ครับ”
คนถูกออกคำสั่งเริ่มลังเลมองหน้าเจ้านายที่แท้จริงไปด้วย ก่อนจะตอบตกลงโดยไม่สนความไม่พอใจของมาเฟียหนุ่ม
‘ทำแบบนี้ก็น่าสนุกดีนะครับนาย’
ชายหนุ่มเอ่ยกับตนเองในใจขณะเดินไปประจำที่นั่งของตนเอง พร้อมกับอมยิ้มไปด้วยเมื่อนึกถึงสีหน้าของผู้เป็นนาย
“นายครับ ไม่กลับแล้วหรือครับ” ไมเคิลตะโกนถามอย่างล้อเลียนมาจากในรถ และนั่นทำให้ผู้เป็นได้ได้แต่สาปแช่งลูกน้องเป็นพัลวัน
“ตกลงใครเป็นนายมันกันแน่วะ”
คนถูกเรียกกลับยืนบ่นพึมพำ แต่ก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน จนได้ยินเสียงของคนหน้าด้านตะโกนถามออกมานอกรถอีกครั้ง
“แด๊ดไม่กลับบ้านเราหรือฮะ งั้นผมไปกับไมเคิลสองคนนะฮะ” เด็กหนุ่มเอ่ยเร่งและหันไปหัวเราะกับสารถีหนุ่มด้วยความขบขัน
“เข้ากันดีจริงจรี๊ง” ชายหนุ่มเอ่ยประชด
“แด๊ดไม่กลับ ?”
เด็กหนุ่มตั้งคำถามอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มขันกับคำตอบของบิดา
“กลับ !”
มาเฟียหนุ่มตะโกนตอบกลับอย่างทันควัน และก้าวขึ้นรถไปนั่งยังที่ตนเอง ทว่าวันนี้กลับแตกต่างจากทุกครั้ง เนื่องจากตอนนี้มีคนหน้าด้านนั่งมาด้วยกัน
“ออกรถไมเคิล!”
คนไม่สบอารมณ์ออกคำสั่ง ซึ่งมันมาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักของสองหนุ่มต่างวัย
“ฉันจะหักเงินเดือนแกไมเคิล” ชายหนุ่มขู่แต่คนถูกขู่กลับไม่สะทกสะท้าน คนไม่มีพวกจึงหันไปเล่นงานตัวปัญหาอีกคน
“ส่วนนายซีโน่ อย่าหวังว่าฉันจะตามใจนาย จำไว้!”