ตอนที่ 6 ออกผจญภัยกับฮาเดส
ฉันลุกจากเตียงตั้งแต่เช้า คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาในหัวถึงวิธีการที่จะได้พลังคืนมาฉันก็พบพิรุธข้อหนึ่ง
ทำไมเผ่าพันธุ์ของฉันถึงติดล็อค...ทั้งที่ก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าฉันเป็นเทพ? นึกๆ ไปแล้วฉันยังลังเลเลยว่าไอ้เรื่องเลือดสีทองนี่สมควรปิดบังคนอื่นไว้มั้ย...เลือดเทพก็สีแบบนี้รึเปล่านะ? บอกไม่ได้แหะ คือไม่เคยเจอเผ่าเทพของเอเธอน่ามาก่อน
ฉันรีบแต่งตัวแล้วพาเจ้าครอสออกไปนอกเมืองยังสถานที่เดิมที่เคยนั่งสมาธิ เช้าตรู่แบบนี้คงไม่มีใครแอบตามมาหรอกนะ
โล่งใจได้ไม่นานฉันกลับเจอความซวยรออยู่ที่ประตูเมืองเฉยเลย
“จะรีบไปไหนแต่เช้า”
ฮาเดส...เป็นฮาเดสครับพี่น้อง ฉันยิ้มทั้งน้ำตาที่ตาบ้านี่สามารถตามหาตัวฉันเจอได้ยิ่งกว่าเหาฉลาม สัมภเวสีขี่คอ เห็บหมาตามเกาะหมา...พอๆ ฉันเลิกเปรียบเทียบดีกว่า
“วันนี้อากาศไม่ค่อยดี อย่าออกนอกเมืองจะดีกว่ายัยโง่”
นั่น...เฮียแกด่าฉันปิดประโยคแทนเครื่องหมายฟูลสต็อปอีกละ
แต่ก็ถูกอย่างที่เขาว่า ฤดูใบไม้ผลิแบบนี้อากาศไม่ได้ดีเสมอไป ดูอย่างวันนี้แม้จะเช้ามากแต่ท้องฟ้ายังไม่เปิด เมฆเป็นสีเทาดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนไม่น่าไว้วางใจ
แต่ภารกิจของฉันก็สำคัญนะ!
ฉันยักไหล่ กระตุกบังเหียนเจ้าครอสให้เดินผ่านไปแบบไม่สนใจเสียงนกเสียงกา ฉันมองเห็นว่าฮาเดสกัดฟันกรอด ชั่วพริบตาเขาก็คว้าอานแล้วกระโดดขึ้นนั่งซ้อนหลังฉันซะอย่างนั้น
“นายจะทำอะไร” ฉันตวาดแวด พอกันทีไม่คงไม่คุณมันแล้ว
“จะไปไหนก็ไป”
ได้ยินแบบนั้นฉันก็เอ๋อแดก แปลคำพูดให้เป็นภาษาที่ฉันเข้าใจได้อีกที นี่คงไม่ได้กำลังจะบอกว่า ‘ไปด้วย’ หรอกนะ
ฉันนึกอยากจะสะบัดฮาเดสลงจากหลังม้า แต่ให้ตายยักษ์ปักหลั่นนั่นก็ไม่สะทกสะท้าน เป็นฉันซะอีกที่เริ่มจะสำเหนียกได้ว่าชักจะเป็นจุดสนใจมากเกินไปแล้ว ทั้งทหารยาม ทั้งชาวเมืองที่สัญจรไปมาแถวนั้นเริ่มกรระซิบกระซาบ บางคนถึงขั้นหัวเราะคิกคักชี้ชวนกัน
แล้วก็เป็นฉันตามเคยที่แพ้ภัยตัวเอง แทบอยากเอาปี๊บคลุมหัวตอนที่บังคับให้เจ้าครอสออกวิ่งให้พ้นจากบริเวณประตูเมืองให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ แถมเส้นเลือดที่ขมับยังปูดเพราะความยัวะที่เจ้าบ้าด้านหลังยังส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ให้ฉันได้ยินตลอดทาง
“ถึงแล้ว รีบลงไปซะทีสิ” ฉันกระแทกเสียงใส่คนที่ยังนั่งเกาะเอวนิ่ง มือสองข้างบีบเอวของฉันไว้จนแทบจะจิกลงไปอยู่แล้ว
ฮาเดสทำตัวหูทวนลมเล็กน้อยจนฉันต้องย้ำรอบที่สองเจ้านั่นถึงพาตัวเองลงไป พอฉันลงถึงพื้นบ้างก็เลยรีบจูงพาเจ้าครอสเดินแบบไม่สนใจใครอีก
ฉันเดินนำเข้ามาในป่าลึกประมาณ จัดการมัดเชือกเจ้าครอสยังจุดเดิมใกล้กับที่เคยนั่งสมาธิ ส่วนฮาเดสก็ปลดผ้าคลุมพาดไว้บนอานของมัน แล้วก็มีสิ่งหนึ่งแปลกไปเรียกความสนใจขึ้นมา
ต้นไม้สีทอง!
ครั้งก่อนยังไม่มีเลยนี่นา
ฉันรีบเดินเข้าไปดู ต้นไม้ต้นนี้ยังเป็นต้นอ่อนสูงประมาณหนึ่งฟุตเท่านั้น ทั้งใบและลำต้นของมันเป็นสีทองอร่าม ฉันรู้สึกคุ้นๆ ขึ้นมาในใจตงิดๆ อย่าบอกนะว่า…
“นั่นอะไร?” ฮาเดสถามขึ้น ฉันว่าสีหน้าเขาแปลกๆ เล็กน้อย ถึงจะเย็นชาเหมือนเดิมแต่ให้ความรู้สึกแปลกไป
ฉันไม่ตอบ ได้แต่นึกลำดับเรื่องราวในสมอง สีทองเหมือนกับเลือดของฉัน...เป็นไปได้ไหมว่ามันเกิดมาจากเลือดกำเดาที่ฉันฝังกลบเอาไว้ตรงนี้...แต่นั่นก็พึ่งวันเดียวเองนะ โตเร็วไปมั้ยเนี่ย
“ข้าถามว่าอะไร” ฮาเดสย้ำอีกครั้งเหมือนจะหมดความอดทน ฉันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทำไมเขาถึงทำหน้าทำตาประหลาดแบบนั้น ไม่เคยเห็นต้นไม้สีทองหรือไงกัน!
“ก็แค่ต้นไม้ มันคงโตมาจากลูกไม้แถวๆ นี้แหละ”
“ไม่จริง” เขาสวนทันควันจนฉันเหวอ
อย่ามาทำรู้ดีกว่าฉันนะยะ “เห้ย แค่ต้นไม้ มันจะเปลี่ยนฤดูก็งี้แหละ นายจะโวยฉันให้ได้อะไรเนี่ย”
ดวงตาสีแดงเพลิงหรี่ลง “ไม่จริง...เจ้าเป็นคนปลูก”
ตานี่มีพรายกระซิบหรือไงทำไมถึงได้ทำเหมือนรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม ก็แค่ต้นไม้” ฉันยังเถียงหัวชนฝา มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดแน่นอน
ฉันว่าฉันเห็นความลังเลปรากฏแวบหนึ่งในดวงตาของเขา ก่อนที่จะผลักฉันให้หลีกไปด้านข้าง
“เฮ้ นาย” ฉันเตรียมจะโวยคืนบ้าง ทว่าร่างสูงกลับทรุดลงหน้าต้นไม้แล้วใช้มือเปล่าๆ พยายามขุดเอามันขึ้นมา “จะทำอะไรน่ะ”
เอาเป็นว่าฉันไม่รู้ล่ะว่าฮาเดสจะทำอะไร แต่ตามลางสังหรณ์ฉันต้องขัดขวางเอาไว้ก่อน
ฉันยื้อแขนอีกฝ่ายให้หยุด ทั้งกอด ทั้งดึง ส่วนเจ้าบ้านั่นก็พยายามจะขุดให้ได้จนกระทั่งเจอหลักฐานบางอย่าง
นั่นไงล่ะ ใบไม้แห้งที่ฉันใช้เช็ดเลือดยังพันอยู่กับรากแก้วเล็กๆ นั่นอยู่เลย แถมคราบสีทองๆ บางส่วนก็ยังจางไม่หมด จนทำฉันงงว่าปกติแล้วเลือดมันควรจะซึมหายไปในดินนี่นา
“เจ้าปลูกมันขึ้นมาจากอะไร” ฮาเดสไม่นิ่งอีกต่อไปแล้ว ฝ่ามือใหญ่คว้าคอฉันไว้เป็นเชิงบังคับให้ตอบ ฉันดิ้นรน พยายามแกะมือของเขาที่รัดเอาไว้
เขายิ่งบีบแน่น ฉันก็ยิ่งไอค่อกแค่ก ฉันไม่แน่ใจว่าควรเปิดเผยมั้ยว่าเป็นเลือดของฉันเอง...อย่างน้อยฉันก็แน่ใจแล้วว่าสำหรับเขาต้นไม้สีทองต้องไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน
“แพนโดร่า...ตอบข้ามา” เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อของฉัน ส่วนฉันน่ะหรอ...หายใจไม่ออกจนน้ำตาเล็ดไงล่ะ เข้าใจมั้ยว่าค่าสถานะทุกอย่างถูกผนึก ความสามารถต่ำเตี้ยสุดๆ
“แค่ก...ปล่อย”
เขาไม่คลายมือออกเลยให้ตายเถอะ
“นาย...บีบคอ...จะ...ให้ฉัน...พูด...ไง”
ในที่สุดฮาเดสก็ยอมคลายมือนิดหนึ่ง ย้ำว่านิดหนึ่งจริงๆ ฉันได้แต่มองผ่านม่านน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาเล็กๆ ตามประสาคนเกือบขาดอากาศตาย “ละ...เลือด...ของฉันเอง”
เขาปล่อยฉันกะทันหัน ฉันที่ถูกยกขึ้นกึ่งนั่งเล็กน้อยก็ทรุดฮวบ ใช้มือยันพื้นไว้ทัน ได้แต่อ้าปากหอบหายใจเอาอากาศกักตุนเข้าไปในปอดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เผื่อเฮียแกผีเข้าอีก
“เลือด?” ฮาเดสถามฉันอีกรอบเหมือนยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ถึงฉันอยากจะตะแบงกรอกหูตานี่ว่าฉันพูดจริงมากแค่ไหนแต่เพื่อสวัสดิภาพในชีวิตแล้วฉันควรสงบปากสงบคำ
“ใช่...เลือดของฉัน...โอ๊ยยย”
ตาบ้านั่นเอามีดสะกิดผิวที่แขนฉันแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว เลือดสีทองไหลลงมาสดๆ ต่อหน้าต่อตาทันที ฉันงี้อยากจะร้องไห้แรงๆ เจ้าบ้านี่จะฆ่าฉันจริงๆ ใช่มั้ย
ร่างสูงเมื่อเห็นของเหลวสีทองตำตาก็รีบร่ายคาถาสมานแผลให้โดยอัตโนมัติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถหลบสายตาคาดโทษจากเจ้าของแขนได้ “เป็นเลือดจริงๆ ด้วย”
ก็เออน่ะสิ...แกคิดว่าฉันจะทะลึ่งเอาทองไปฝังดินโดยไม่ใช้หรือไง
เขาหันไปขุดต้นไม้ของฉันต่อแล้วกอบเอาดินบริเวณนั้นขึ้นมา ก่อนหาภาชนะในแหวนมิติมารองรับแล้วยื่นให้ฉัน “เก็บไว้กับตัว ห้ามบอกใครเด็ดขาด”
แน่นอนว่าฉันงงที่คุณพี่เปลี่ยนท่าที แต่ฉันก็ถือว่าคงไม่ได้คิดร้ายกับฉันแล้ว...มั้งนะ ฉันรับกระถางต้นไม้มาถือไว้ย่างไม่มั่นใจ “ฉันไม่มีกระเป๋ามิติ” พูดไปงั้นแหละ เกิดฉันเก็บเข้าระบบแอพฯ พระเจ้าต่อหน้าฮาเดสรับรองว่าฉันต้องอธิบายยาวกว่าเรื่องเลือดสีทองนี่แน่นอน
ริมฝีปากหนาเม้มลงเป็นเชิงคิด ก่อนจะปลดแหวนวงหนึ่งในบรรดาสิบๆ วงที่สวมอยู่ให้ฉัน “เอาไปซะ แล้วอย่าสร้างปัญหาอีก”
ใครสร้างปัญหา...ถึงจะขัดใจแต่ฉันก็รับไว้เพราะฉันชอบของฟรี ไอเทมส์ของเจ้าชายทั้งทีบอกเลยว่าต้องเป็นของชั้นเลิศแน่นอน
แหวนกักวารี : ระดับ A
รายละเอียด : แหวนที่ถูกสร้างขึ้นโดยสมาคมช่างฝีมือชั้นยอดแห่งจักรวรรดิเฮเลียส หนึ่งในซีรีย์กักธาตุ(เมื่อสวมใส่ทั้งซีรีย์ได้รับโบนัสพิเศษ)
ความจุ : 3,000 ช่อง
คุณสมบัติ : ป้องกันธาตุน้ำ 10% โจมตีธาตุน้ำ 10% เพิ่มค่าเสน่ห์เมื่อเผชิญสัตว์อสูรธาตุน้ำ 10%
เมื่อสวมใส่ : เพิ่มขีดจำกัดมาน่า 10%
“ขอบคุณ” ฉันยิ้มแป้น ถึงฉันจะยังไม่ได้ใช้ธาตุน้ำก็เถอะแต่ฉันว่าคุณสมบัติที่เพิ่มความสามารถเป็น % ถึง 10% นี่มันดีเอามากๆ เหลือบมองฮาเดสใส่ครบทุกนิ้วขนาดนั้นฉันสยองเลยเมื่อคิดว่าเฮียแกจะโหดขนาดไหน...แต่เอ...โบนัสซีรีย์ “เอาอันนี้มาให้ฉันใส่ นายก็อดได้พลังพิเศษของแหวนเซ็ตนี้สิ” ฉันมองอควอมารีนสีฟ้าที่ส่องประกายล่อตาสลับกับอัญมณีธาตุอื่นๆ ที่เหลือบนนิ้วของฮาเดส
“ไม่เป็นไร แค่จิตสื่อธาตุ ข้ามีอยู่แล้ว” เขาตอบเรียบๆ
ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ....เห้ย...เดี๋ยวก่อน...จิตสื่อธาตุนี่มันไม่เรียกว่าแค่นะ บางคนฝึกแทบตายกว่าจะเข้าถึงแก่นแท้ของพลังตัวเองได้สมบูรณ์แบบ
ฉันได้แต่มองหน้านิ่งๆ อย่างหมั่นไส้แล้วสวมแหวนลงบนนิ้วชี้ มันค่อยๆ หดลงเข้ากับนิ้วมือของฉันพอดิบพอดี เท่านี้ฉันก็ทำการ ‘เก็บ’ ต้นไม้ของฉันเอาไว้ข้างใน สงสัยฮาเดสคงไม่ค่อยสนใจของพวกนี้มากมายจริงๆ ด้วย เพราะแหวนวงนี้ช่องเก็บของว่างสนิททุกช่อง
“ฉันว่าเรากลับกันเถอะ ออกมาข้างนอกนานแล้ว” ฉันบอก หนนี้ฮาเดสพยักหน้าเห็นด้วย เราทั้งคู่ไปเอาเจ้าครอส ถึงฉันมีเรื่องต้นไม้สีทองที่อยากถาม แต่ไม่กล้าถามออกมาตอนนี้หรอกนะ
เหมือนฉันจะสงบศึกกับฮาเดสได้ชั่วคราว ขณะเดินออกมาใกล้ถึงชายป่าฝนก็เทลงมาจากฟ้าซะอย่างนั้น
ว่าแล้วเชียว ที่เห็นเมฆตั้งเค้าเมื่อเช้าส่อแววว่าจะซวยจริงๆ ด้วย แต่ไหนๆ ก็เริ่มเปียกแล้ว ฉันก็พร้อมลุย “ตากฝนกลับไปแบบนี้นายไม่ถือใช่มั้ย” ฉันถามหยั่งเชิง ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะยอมฝ่าฝนไปหรือเปล่า
“ไม่ได้หรอก” เขาตอบ
ฉันขมวดคิ้ว...อย่าบอกนะว่าฮาเดสก็เป็นเจ้าชายเจ้าสำอางกับเขาด้วย มาดนายโหดเกินกว่าจะกลัวฝนนะ!
สงสัยเขาเห็นฉันกำลังจะรั้น เขาเลยรีบจับไหล่ฉันพลิกกลับให้หันออกไปทางทุ่งก่อนถึงประตูเมือง
“ดูนั่น”
ฮาเดสบอกอย่างนั้นแล้วไม่นานเกินรอสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาเป็นสิบๆ สาย แทบไม่ขาดตอน ฉันได้กลิ่นทั้งดินทั้งหญ้าไหม้โชยผสานกลิ่นฝน...ถ้าฉันมาคนเดียวไม่มีฮาเดสเตือนได้เดี้ยงแน่นอน
“เข้าใจแล้วนะ” เขาบอกอย่างเซ็งๆ พลางหันหลังกลับเข้าป่าไปตามเดิม
ฉันรีบวิ่งตาม อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงไม่เอ่ยปากถามฮาเดสก็บอกเพราะมั่นใจว่าฉันกำลังสงสัยสุดๆ แน่นอน
“จำเอาไว้เลยเวลาฝนตกที่ซาเพนธอส อย่าไปอยู่กลางทุ่งหญ้าเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ” ฉันไม่เข้าใจจริงๆ นะว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
“ที่นี่เป็นเกาะลอยฟ้าที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่เกาะธรรมชาติ สร้างจากมนตราของเหล่าจอมเวทย์จากแต่ละทวีปนานมาแล้วโดยธาตุโลหะและธาตุ ดินเป็นหลัก การจะทำให้สิ่งก่อสร้างจากเวทมนต์คงอยู่ตลอดไปได้ต้องทำให้มันมีคุณสมบัติหล่อเลี้ยงตัวเองได้ ก็อย่างที่เธอเห็น มันจะแลกเปลี่ยนประจุกับธรรมชาติโดยรอบมากผิดปกติเกินกว่าพื้นดินบนดวงดาวธรรมดาที่โดนฟ้าผ่า”
ฉันเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง “แต่ทำไมในป่านี้...”
“เพราะต้นไม้พวกนี้ไง ธาตุไม้หักล้างประจุธาตุสายฟ้า ต่างจากส่วนทุ่งหญ้าด้านนอกที่มีธาตุโลหะอยู่เป็นปฏิปักษ์กับธาตุสายฟ้าโดยตรง ส่วนธาตุดินถือว่าเป็นกลาง ไม่ได้ช่วยอะไรมาก”
“แล้วเราจะทำยังไง” ฉันใจคอไม่ดี ขืนออกไปโดนย่างสดแน่นอน
“รอจนกว่าจะหยุด”
ง่ะ...ฉันได้แต่ปลงตก เดินเข้าไปกอดเจ้าครอสให้หยุดสั่น
“ตามมานี่” ร่างสูงยิ่งเดินลึกเข้าไปในป่า ส่วนฉันถึงจะเริ่มหนาวตัวสั่นงันงกเพราะฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ข่มใจแล้วเพ่งมองไม่ให้อีกฝ่ายคลาดสายตา ไม่งั้นฉันหลงแน่นอน
ฉันถอนหายใจ...ฉันต้องอยู่กับฮาเดสจนกว่าฝนจะหยุดตกจริงๆ สินะ