ตอนที่ 2 อย่าจับกดคนแปลกหน้าสิคะ (ฉันบอกตัวเอง)
ปวดหัวจัง
ความรู้สึกเจ็บหน่วงแล่นพล่านไปหมด ถึงหลับตาแต่ฉันรู้สึกได้ว่าประสาทการรับรู้ของตัวเองกำลังเหวี่ยงไปมา มันอึงอลคล้ายกับว่าไม่รู้ทิศ ปวดเมื่อยตามตัวและไร้เรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะลืมตา
ผิวกายของฉันสะบัดร้อนสะบัดหนาวคล้ายคนเป็นไข้ พยายามเพ่งความรับรู้ไปยังแอพฯ ที่นำส่งมายังอีกมิติซึ่งผสานรวมกับหัวสมองในระหว่างที่อยู่ต่างโลก เสียงเตือนบางอย่างดังในหัวแต่จับใจความไม่ค่อยได้...ทำให้ฉันยิ่งต้องเร่งสมาธิอันน้อยนิดให้กลับมาอีก จากประสบการณ์ทำงานฉันรู้ดีว่าถ้ารู้ตัวช้าแม้เพียงนิดเดียวมีสิทธิจอดไม่ต้องแจว และจากนี้ฉันสาบานจะบันทึกลงในเมมโมรี่สมองว่าห้ามรับภารกิจตอนดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด!
“อือ” ฉันได้ยินเสียงตัวเองคราง ดูเหมือนร่างกายจะเริ่มตอบสนองการสั่งการจากสมองเพิ่มมาอีกหน่อย ในลำคอของฉันแห้งจนแสบไปหมด อยากดื่มน้ำใจจะขาด
เหมือนรับรู้ความต้องการทันใจ มีใครบางคนยกฉันขึ้นแล้วดันแก้วน้ำเข้ามาใกล้ ขอบแก้วกระทบกับฟันดังกึก ฉันรีบสูบนำลงคออย่างเอาเป็นเอาตายทั้งที่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ จนกระทั่งกลิ่นหอมแปลกๆ ทำให้ฉันฝืนตัวเองฉับพลัน รีบหาคำตอบทันทีว่าน้ำที่มีกลิ่นแบบนี้คืออะไร
พรวด!
“อ๊ะ” ฉันที่ฝืนตัวลุกพรวดจนกระดูกดังกร๊อบพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ภาพตรงหน้ามันคืออะไรกันเนี่ย...ผู้ชายพวกนี้เป็นใครกัน?
ยังไม่ทันได้ถามออกไปอย่างที่คิดสายตาของฉันก็เริ่มโฟกัส สมองประมวลผลช้าๆ...นั่นมัน ซิกแพ็ค! ซิกแพ็คใช้มั้ย? โอ๊ย ทำไมงานดีเว่อร์ขนาดนี้
น้ำลายของฉันเริ่มไหลย้อย แล้วไอ้คนที่อยู่ใกล้ที่สุดที่กำลังถือแก้วน้ำป้อนฉันเมื่อครู่มันอะไรกันค้า...ผิวขาวเปล่งออร่าจนทิ่มตา ดวงตาสีฟ้าซีดเรืองแสงจางๆ รับกับผมสีเงินยาวที่รวบครึ่งศีรษะ...เหมือนเจ้าชายในนิทานสุดๆ แล้วก็ขอวกเข้ามาเรื่องเดิม...ทำไมไม่ใส่เสื้อกัน เปลือยอกทำม้าย? ใจคอยิ่งไม่คอยดี
“ท่านหญิง?” ไม่ใช่แค่หน้าหล่อ แม้แต่เสียงก็ยังหล่อ ฉันสรรเสริญความเพอร์เฟ็คต์ของผู้ชายคนนี้ “ท่านน้ำลายไหล”
ฉันที่ไร้ยางอายไปแล้วยังคงเหม่อมองเขาเลื่อนลอย ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ผ้าเช็ดหน้าซับให้ตามใจชอบ
“หึ...พวกงี่เง่า” เสียงเยาะเย้ยดังแทรกขึ้นมาทำเอาฉันเดือดในใจ กำลังจะอ้าปากสวนแต่กลายเป็นว่าอ้าค้างเพราะความหน้าตาดีเล่นงานจนแทบน็อค...หนุ่มคนนั้นมันอารายกั๊น...มีคนหน้าตาดีเยอะแยะขนาดนี้อยู่ในจักรวาลจริงๆ ใช่มั้ย อยากจะร้องไห้
ผู้ชายคนนั้นตัวสูงมากพวกกับที่เจ้าตัวมีเขายาวโค้งขึ้นไปสองข้างจึงทำให้ดูเกือบเต็มกรอบประตูที่เอนหลังพิงอยู่ เส้นผมสีดำสนิทประบ่า กลิ่นอายความมืดลอยวน ยิ่งส่งให้ดวงตาสีแดงเปล่งแสงโดดเด่นเหมือนกำลังติดเชื้อไฟ
ฉันเป็นใบ้ไปแล้ว ล้มเลิกความคิดจะพูดกับคนอื่นชั่วครู่ก่อนหันมาให้ความสนใจกับแอพฯ พระเจ้าที่กำลังส่งข้อมูลเข้าสู่สมอง
ชื่อ : แพนโดร่าเผ่า : อยู่ในสถานะถูกผนึก
เลเวล : อยู่ในสถานะถูกผนึก ชนชั้น : อยู่ในสถานะถูกผนึก อาชีพ : อยู่ในสถานะถูกผนึก
“แพนโดร่า?” ฉันทวนชื่อตัวเองเบาๆ
“นามของท่านหรือ...เช่นนั้นเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้รู้จักท่านหญิงแพนโดร่า” เจ้าชายในฝันคนเดิมเพิ่มเติมคือขยับเข้ามาใกล้ฉันพร้อมกับจับหลังมือขึ้นจูบ ข้อมูลที่เจ้าตัวเต็มใจเปิดเผยให้รู้บางส่วนปรากฏในหัวของฉันทันที
ชื่อ : ซิกฟรีด อิจ-บราราห์ เผ่า : เหมันต์
ฉันเคลิ้มอีกรอบ ที่แท้สุดหล่อที่ฉันตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นชื่อซิกฟรีดนี่เอง...บันทึกลงหัวด่วนๆ
“เหอะ...ยิ่งอยู่นานยิ่งปัญญาอ่อน ข้าคงไม่มานั่งแนะนำตัวกับพวกเจ้าหรอก บาย”
ได้ฟังแบบนั้นฉันก็ยั๊วะขึ้นมาอีกรอบ นายนี่มันปากเสียจนเสียดายหน้าหล่อๆ จริงๆ “ใครอยากให้นายยะ...” คำว่าอยู่ยังไม่ทันพูดออกมาพระเอกในดวงใจของฉันก็ปกป้องสวนกลับทันควัน
“เจ้าเสียมารยาทเกินไปแล้วฮาเดส นางกำลังไม่สบายก็เห็นอยู่”
“ไม่สบาย?...ถ้าอ่อนแอถึงเพียงนั้นก็คงไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการหรอก พิธีผิดพลาดก็ทำใหม่ ใครจะเอายัยนี่ไปเป็นตัวถ่วงก็เอาไป” นายนั่นแสยะปากอย่างรำคาญแล้วเดินออกไป ทิ้งเสียงประตูปิดดังปังตามหลัง
“เป็นอะไรของเค้า” ฉันไม่พอใจสุดๆ หรือว่าตอนที่ออกจากวงเวทอัญเชิญจะอ้วกใส่ตาบ้านั่นกัน...ฉันคิดในแง่ร้ายแล้วสั่นศีรษะ...ไม่ๆๆ ถึงจะเมามากแต่พอจำได้ว่าฉันล้มของฉันคนเดียวไม่ได้ล้มใส่ใคร คิดแล้วยังเจ็บตูดไม่หาย
“อย่าโกรธฮาเดสเลยนะ เขาก็เป็นแบบนั้นเอง ไม่ค่อยเข้าสังคมเท่าไหร่” ซิกฟรีดส่งยิ้มพิมพ์ใจให้จนฉันเปลี่ยนอารมณ์ทันควัน ยิ่งเห็นซิกแพ็คแบบนี้ใกล้ๆ จากน้ำลายไหลจะเปลี่ยนเป็นเลือดกำไหลแทน....ม่าย...ฉันไม่ได้บ้าผู้ชายยยย...ฉันกรีดร้องในใจ “ท่านหญิงรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
“เรียกแค่ชื่อเถอะค่ะ” ฉันบอก รู้สึกกระดากเกินถ้าให้คนหล่อขนาดนี้มาปรนนิบัติ
“เช่นนั้นแพนโดร่า...ท่านพอจะลุกไหวหรือไม่” ฉันขมวดคิ้วให้กับท่าทางเร่งเร้าของเขาผิดกับสีหน้าอ่อนโยน “คืออย่างนี้...ท่านไม่ได้สติมาสักระยะแล้ว แล้วเราก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ตามลำพังได้นานนัก หากท่านค่อยยังชั่วแล้วฝืนอีกสักนิดเถอะ เดี๋ยวข้าจะช่วยพยุงออกไป”
ฉันหน้าแดงตั้งแต่คำว่าตามลำพังแล้วค่ะ อยู่กันสองต่อสองแบบนี้ฉันก็ต้องตั้งสติเหมือนกัน...ท่องเอาไว้ว่าอย่ากดผู้ชายแปลกหน้าเป็นอันขาด!
พอซิกฟรีดเห็นฉันพยักหน้าเขาก็พยุงฉันขึ้นจากเตียงทันที ผิวของเขาเย็นมากจนน่าซบ...เอ๊ย...อย่าคิดๆ ยุบหนอ พองหนอ เดินหนอ ตั้งใจเดินๆ ออกจากห้องแล้วก็ถือโอกาสนี้เช็คภารกิจ
ดวงดาว : เอเธอน่า
คำอธิบาย : เอเธอน่าประกอบไปด้วยกระแสเวทมนต์เข้มข้นที่สุดในจักรวาลจึงทำให้ดวงดวงนี้เต็มไปสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติและกระแสเวทเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับมนต์ในกายของนักเดินทางอย่างรุนแรง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยนักเดินทางจากต่างโลกต้องถูกจำกัดความสามารถอย่างเข้มงวด ค่าสถานะทุกประเภทของท่านจะถูกผนึกและปลดปล่อยในอัตรา 1/10,000
เห้ย...ไม่จริงใช่มั้ย มิน่า ทำไมถึงว่ามันเล่นผนึกหมดแบบนี้แล้วฉันจะใช้ความสามารถอะไรไปขวนขวายหาเควสปลดผนึกล่ะเนี่ย...ปลดปล่อยในอัตรา 1/10,000 นี่ตรูต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้พลังคืนจนครบ
ฉันเริ่มมองเห็นเค้าลางความซวยของตัวเอง เป็นที่ชัดเจนว่าตัวฉันในตอนนี้กากสุดๆ แม้แต่เผ่าตัวเองยังไม่รู้...นี่ฉันเป็นตัวอะไร
ใสเจียเสียใจได้ไม่นานซิกฟรีดก็ลากฉันออกมากลางกลุ่มคน ทันทีที่ฉันกวาดสายตาจนครบฉันก็ช็อคอีกหน...หนุ่มล่ำพวกนี้มันอะไรกัน...หนึ่ง...สอง...สาม...สี่....สิบ...ฮว้ากกก! ไม่นับแล้ว ดาวดวงนี้มันมีแต่ผู้ชายรึเปล๊า?
ฉันส่ายหัวอย่างบ้าคลั่ง เหมือนซิกฟรีดจะรู้ว่าฉันสับสนในชีวิตอย่างหนักสุดหล่อเลยรีบอธิบายให้ฉันโล่งใจ “สภาผู้เฒ่าเป็นผู้อัญเชิญท่านมา...มาทางนี้สิ ข้าจะพาไปพบ”
เมื่อสติของฉันกลับมาจึงเห็นว่าพวกเราทั้งหมดกำลังอยู่ในห้องโถงของวิหารสีขาว เสาหินอ่อนทอดตัวเป็นโดมโค้งจรดเพดานสูงที่เต็มไปด้วยภาพวาดต่างๆ ฉันเดาว่าน่าจะเป็นภาพวาดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพวกเขา ทุกคนในห้องต่างมองมาที่ฉันแล้วหันไปพูดคุยอะไรบางอย่าง ฉันงัดสกิลผู้กล้าดีเด่นออกมาใช้...ยังกับว่าฉันไม่เคยตกเป็นจุดสนใจอย่างนั้นแน่ะ
ผู้เฒ่าสี่คนรออยู่กลางวงเวท ท่าทีของพวกเขาอ่อนน้อมอย่างที่เคยเห็นทุกครั้งจากผู้ที่อัญเชิญฉัน แล้วผู้เฒ่าหลังค่อมที่ท่าทางใจดีที่สุดก็เปิดปากพูดกับฉันก่อน ฉันรีบตั้งสติ...รอฟังคำขอร้องที่กำลังมา
“อา...ท่านเทพีผู้ยิ่งใหญ่” เขากล่าว “เป็นพวกเราสี่ผู้เฒ่าเองที่ประกอบพิธีอัญเชิญท่าน”
แล้วผู้เฒ่าร่างท้วมอีกคนก็เสริม “เป็นเกียรติยศยิ่งนักที่ได้มีโอกาสประกอบพิธีกรรมในยุคสมัยของพวกข้า ท่านคงเห็นดวงจันทร์สีเงินเบื้องบนนั้นแล้ว ทุกรอบสามหมื่นปี ตำนานว่าไว้ว่าชาวเราสามารถวอนขออาวุธวิเศษมาเป็นมิ่งขวัญแผ่นดินได้หนึ่งอย่าง...ครั้งก่อนนั้น...”
“อาวุธ?” ฉันโพล่ง ฉันไม่ใช่อาวุธซักหน่อย “แล้วท่านเรียกข้ามาทำไม”
“องค์เทพี...องค์เทพีอย่าทรงกริ้ว” พวกผู้เฒ่ารีบคุกเข่า และเพราะอย่างนั้นคนทั้งห้องจึงรีบยอบตัวลงไม่ต่างกัน ไม่เว้นแม้แต่ซิกฟรีดที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉัน “ขอให้ข้าได้อธิบาย”
พวกเขาเห็นฉันยังเงียบ และเพราะบรรยากาศกดดันนั่นเองพวกเขาจึงเร่งอธิบายเหตุผล “ชาวเอเธอน่าต่างชื่นชมผู้มีพลังอำนาจ สำหรับพวกเรานอกจากความสามารถแล้วอาวุธถือเป็นทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า ทุกสามหมื่นปีเรามีประเพณีที่สืบต่อกันมาคือการขอแลกเปลี่ยนอาวุธองค์เทพจากดินแดนนิรันดร์” เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ฉันเริ่มรู้แล้วว่า ‘ดินแดนนิรันดร์’ ต้องหมายถึงดวงดาวของฉันแน่ๆ จะว่าไปก็น่าภาคภูมิใจอยู่หรอก เพราะชาวฮิสตอเรียเป็นกลุ่มคนเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถสร้างมนต์อันทรงพลังและก้าวหน้าขนาดนั้น “ทุกครั้งที่เราได้รับอาวุธมา พวกเราจะทำการเฟ้าหาผู้ครอบครองตามความเชื่อว่าผู้ใดได้ครอบครองอาวุธแห่งนิรันดร์ผู้นั้นก็จะสามารถเป็นใหญ่ ปกครองทั้งหกทวีปในเอเธอน่า”
ฉันหรี่ตาลง...นี่อย่าบอกนะว่า
“แต่เพราะครั้งนี้เมื่อประกอบพิธีอัญเชิญกลับกลายเป็นองค์เทพีปรากฏออกมา”
ความอับอายเล่นงานฉันแล้ว...ขอโทษที่อ้วก ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ!!
ติ๊ง!!
เสียงกวนประสาทที่ดังขึ้นทุกครั้งเมื่อมีเควสดังในหัว พร้อมข้อความที่ทำให้ฉันอยากกลับดาวตัวเองแล้วเขวี้ยงพระเจ้าในโทรศัพท์ลงพื้นให้แตกยับ
เควสต์ : ตำนานแห่งเอเธอน่า
สำหรับชาวเอเธอน่าที่แสวงหาความแข็งแกร่งและเกียรติยศอันโชติช่วงชั่วนิรันดร์พวกเขานั้นต้องผ่านการต่อสู้เพื่อครอบครองอาวุธอย่างเข้มข้น ประวัติศาสตร์ของพวกเขาเต็มไปด้วยการนองเลือดและสงคราม...แม้จะเกิดความผิดพลาด แต่ในฐานะที่ท่านเป็นเทพีแห่งพลังโปรดเลือกผู้เหมาะสมให้ครอบครองอำนาจ
รายละเอียด : วีรบุรุษทั้ง 6 ทวีปต่างแย่งชิงอาวุธล้ำค่า ทว่าตอนนี้สิ่งล้ำค่าคือท่าน กรุณาเลือกผู้ที่เหมาะสมและมอบพลังอำนาจให้เขาโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ดวงดาวแห่งนี้บอบช้ำจากสงครามมามากเกินไปแล้ว
ฉันคิดว่ามันชักจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมอบอำนาจให้ใครคนใดคนหนึ่งโดยที่คนที่เหลือไม่คัดค้าน พลันพระเจ้าก็ส่งข้อความแปลกๆ ไม่คุ้นตาแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนให้
“หรือถ้าจะให้ดี...สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดินีพร้อมเลือกสมาชิกในฮาเร็ม...เมคเลิฟ โนวอร์ จุ๊บๆ...จากพระเจ้า”
วอท เดอะ ฟัค!!!
ฉันอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แล้วสายตาเป็นประกายวิ้งวับแสดงความคาดหวังจากพวกตาแก่นี่อีกคืออะไร
“องค์เทพีไม่ทรงกริ้วพวกข้าแล้วใช่หรือไม่”
เออ...ตรูไม่กริ้ว แต่ตรู เกรียดดด ย้ำว่า เกรียด!
“ข้าคงต้องคิดดูก่อนในระหว่างที่กลับไปนอนเล่นที่บ้านซักคืน” ฉันเดินเนียนๆ ไปยังวงเวท แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อพวกผู้เฒ่าส่งเสียงแหกปาก
“โฮๆๆๆๆๆๆๆๆ...องค์เทพีท่านจะกลับแดนนิรันดร์แล้ว”
“ไม่นะ ข้าทำสิ่งใดผิด ข้าจะรับความอัปยศนี้ได้อย่างไร ฮือออๆๆๆๆ”
“ฮือๆๆๆๆ ตระกูลของข้าคงถูกสาปแน่แท้”
“แงงงงงๆๆๆๆ แก่จนปูนนี้แล้วไม่ท่ไหร่ ลูกหลานข้าเล่า ต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตรแน่นอน”
“องค์เทพีทรงกริ้วพวกเราแล้ว...”
ฉันกริ้วมาก
“ไม่นะ...องค์เทพีได้โปรดกลับมา”
“นางคงไม่อยากเลือกวีรบุรุษของพวกเราแน่นอน”
“ใช่...ข้าได้ข่าวว่าท่านฮาเดสเป็นพวกบ่มีไก๊”
เหอๆ...ฉันไม่ได้ว่านะ คนของนายพูดเอง...แต่เอ นายนั่นก็เป็นหนึ่งในคนที่เราต้องเลือกด้วยเหรอ
ปัง!
เสียงทุบผนังจนหินปูนแตกละเอียดบุบลงไปพร้อมกับการปรากฏของซิกแพ็ค...เอ๊ย ฮาเดสผู้ถูกนินทาซึ่งๆ หน้าเดินอาดๆ เข้ามาในห้องโถง ใบหน้าที่เย็นชาอยู่แล้วพอเปล่งรัศมีความดุออกมายิ่งชวนให้สยดสยองเข้าไปอีก อยากถามเหลือเกินว่าพ่อแม่เลี้ยงมายังไงโตมาลูกถึงหน้าบอกบุญไม่รับขนาดนี้
“นางกลับไปพวกเจ้าก็ทำพิธีใหม่ จะฟูมฟายเพื่ออะไร” เจ้าตัวกัดฟันกรอด แถมสายตาที่จ้องฉันยังเหี้ยมเกรียม...ฉันไม่ได้ขอร้องให้อัญเชิญมานะ...ทำไมต้องมองเค้าแบบนั่นล่วยยย...เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฮือๆ
ฉันที่กำลังจะเออออเห็นตัวกับฮาเดสแล้วทำตัวลีบเดินลงวงเวทไป แต่เจ้าผู้เฒ่าไหวดีก็สวนทันควัน
“ไม่ได้หรอกพะย่ะค่ะ มนตร์บทนี้จะทรงพลังที่สุดเมื่ออาศัยแสงแรกจากจันทราสีเงิน หากพลาดไปแล้วแม้หนที่สองจะเรียกอาวุธออกมาได้ก็เกรงว่าจะไม่ทรงพลังเท่า ‘หัวใจอนธกาล’ ที่ท่านบรรพชนอัญเชิญไว้ในครั้งก่อน”
“อาวุธๆๆ คำก็อาวุธ สองคำก็อาวุธ ข้าหาใช้พวกอ่อนแอจนต้องอาศัยอาวุธในการครองแผ่นดิน” นายนั่นกระแทกเสียงทำเอาทุกคนเงียบกริบกับท่าทีเหมือนประกาศสงคราม
“หืม...ดินแดนอื่นคงไม่ได้เคี้ยวง่ายอย่างที่ใจเจ้านึกกระมัง” ซิกฟรีดพูดทั้งที่ตีหน้ายิ้ม ทำไมฉันรู้สึกขนลุก “ถึงได้อาวุธมา...ก็ไม่แน่ว่าอาวุธชิ้นนั้นจะเลือกเจ้า”
ความมืดรอบตัวของฮาเดสเข้มขึ้น ขณะที่ผู้ชายอีกคนกระโจนลงมาจากเพดาน...เหย ไปซ่อนตรงไหนมาเนี่ย “โอ๊ย...ใจเย็นๆ น่าองค์เทพีไม่เลือกพวกเจ้าหรอก” น้ำเสียงทะเล้นดังขึ้นพร้อมร่างสูงของชายเจ้าของเรือนผมสีแดงเข้ม ดวงตาสีทองเป็นประกายระริกเหมือนกำลังสนุกสนานกับเรื่องตรงหน้า “เป็นเกียรติยิ่งนักที่ท่านเยือนแผ่นดินเอเธอน่า...ข้าดราคาเรียส...อย่างน้อยก็ดีกว่าได้ดาบล่ะนะ ของพรรค์นั้นจะไปมีค่ากว่าคนงามได้เช่นไร”
ดราคาเรียสคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วดึงมือของฉันไปจูบอีกแล้ว พร้อมๆ กับที่ข้อมูลของเขาปรากฏขึ้นมาหมดแบบไม่มีกั๊ก
ชื่อ : ดราคาเรียส ดราโกนอส เผ่า : มังกร
เลเวล : 54 ชนชั้น : เจ้าชาย อาชีพ : อัศวินศักดิ์สิทธิ์
ฉันเบิกตา...เจ้าชาย เลเวล 54 อื้อหือ...ขนาดเจ้าชายที่มีออร่าพลังปกคลุมขนาดนี้เลเวล 54 การที่ฉันจะเก็บเวลได้แต่ละทีต้องโหดหินแน่นอน
“พอได้แล้วดราคาเรียส ให้เกียรติท่านหญิงด้วย” ซิกฟรีดบอกเสียงเย็น
คงเพราะฉันมัวแต่จ้องดราคาเรียสอย่างสนอกสนใจเกินไป คนรอบข้างเลยเข้าใจว่าฉันอาจเลือกดราคาเรียสเป็นผู้ครอบครองพลังก็ได้บรรยากาศรอบข้างเลยมาคุไปกันใหญ่
“เฮ้...ออกนอกหน้าไปแล้วมั้ง องค์เทพียังไม่ได้กล่าวว่าข้าสักคำ”
ฉันพยักหน้าเนิบๆ เป็นเชิงให้หยุดเรื่องปวดหัวพรรค์นี้ไว้ก่อน “แล้วข้าต้องเลือกเช่นไร” เดี๋ยวแม่จับโอน้อยออก จบภารกิจ กลับบ้านแบบสวยๆ ซะเลย แค่นี้ก็ไม่นองเลือดแล้ว ฉลาดสมเป็นผู้กล้าดีเด่นเลยเรา
“เอ่อ...ปกติแล้วถ้าเป็นอาวุธพวกเราก็จะมีการจัดประลอง...” ท่านผู้เฒ่าเกริ่น
“แต่ผลออกมาไม่เคยมีใครยอมรับและจบด้วยการทำสงครามทุกครั้ง” ตาบ้าฮาเดสสรุป โอ๊ย...นายคนนี้จะหาเรื่องฆ่าคนให้ได้เลยใช่มั้ย ตอบ!!...ฉันว่าฉันเข้าใจสถานการณ์แล้วล่ะว่าทำไมหนุ่มๆ พวกนี้ถึงได้แต่งตัวโชว์ซิกแพ็ค เพราะกลัวคนแบบตานี่พกอาวุธเข้ามาฟันคนอื่นหัวแบะยังไงล่ะ
เมื่อเห็นเพื่อนรักโดนตัดบทไปอย่างน่าสงสาร ท่านผู้เฒ่าอีกท่านจึงรีบอธิบายต่อ “แต่ครั้งนี้องค์เทพีกรุณามาเยือนดินแดนของเรา...ก็คงต้อง...” เขาดูตะขิดตะขวงใจที่จะพูด ฉันจึงกระดิกนิ้วยิกๆ ให้เข้ามากระซิบบอกแทน “เอ้อ...ด้วยการแต่งงาน”
“แต่งงาน?” ฉันทวนเสียงแผ่ว...สรุปไม่มีปัญญาหาเมียกันหรือไง ดูๆ รูปร่างภายนอกแล้วยังจะมีปัญหาอะไรอีกเหรอ
ผู้เฒ่าที่เห็นฉันยังไม่เข้าใจยิ่งเหงื่อตกไปอีก
“ว่าไงล่ะ” ฉันยังกระซิบเร่งต่อเพราะเห็นผู้เฒ่าเงียบไปแล้ว
แต่ผีห่าซาตานอะไรไม่รู้ดลใจให้คนขี้รำคาญอย่างฮาเดสสำทับขึ้นมา “รีบพูดออกมาสิ อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่อยากมีลิ้นแล้วหรือไง”
แค่ประโยคนั้นแหละ...ชะตาชีวิตของฉันพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันที
“ด้วยการเสพสังวาสพะย่ะค่ะ!!”
ชัดเจน...
เงียบกริบครับพี่น้อง
ฉันไม่กล้าหันไปสบตาใคร ถึงจะบ้าห้าร้อยดมกาวมาจนดีดกว่านี้ก็ไม่มีวันหันไปสบตาใครเด็ดขาด! รอบข้างเงียบฉี่เหมือนป่าช้า ฉันทำการเดินเนียนๆ ต่อเพื่อเอาตัวเองกลับไปอยู่กลางวงเวทกลับบ้าน...จะภารกิจล้มเหลวอะไรก็ช่างมัน ตรูไม่สนแล้วโว้ยยยย
อยากจะส่งยิ้มพิมพ์ใจบอกลาให้เป็นครั้งสุดท้าย ขณะควานหาคำสั่งกลับบ้านในหัว นรกก็มาเยือนตัวฉันอีก...
ไม่สามารกใช้คาถาได้ กรุณาทำเควสเพื่อปลดผนึก MP
ไอ้แอพฯ เส็งเคร็ง...แม้แต่ HP/MP ของฉันก็ถูกผนึก!!
ฉันอยากจะร้องไห้สติแตกซะเดี๋ยวนี้...ได้แต่มองเรียงตัวทีละคนอีกครั้งพร้อมประกาศในใจ...ไม่ๆๆๆ ฉันจะไม่กดผู้ชายแปลกหน้าพวกนี้เด็ดขาด!!