01-1
พ.ศ. 2544
ชุมชนหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจของเมืองหลวง มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างแออัด บ้านเรือนเป็นตึกแถวกันเสียส่วนใหญ่
หากรวยเข้าขั้นมหาเศรษฐีก็จะปลูกบ้านเดี่ยวอยู่ในอาณาเขตของตนซึ่งมีกำแพงสูงล้อมรอบ ทั้งนี้ก็เพื่อความเป็นส่วนตัว แต่บางคนหรือบางครอบครัวก็เลือกอาศัยอยู่บนตึกสูงระฟ้าอย่างคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ หรือไม่ก็แฟลต
นอกจากที่อยู่อาศัยยังมีอาคารพาณิชย์และตึกสูงขึ้นแซม
ย่านนี้จึงเป็นแหล่งรวมของคนหลายชนชั้น หลายอาชีพ และหลายเชื้อชาติ
จากถนนใหญ่อันคับคั่งไปด้วยรถราที่สัญจรไปมาตั้งแต่เช้ามืดยันดึกดื่น ลึกเข้าไปประมาณกลางซอยมีตึกแถวหกคูหาตั้งอยู่ มันเป็นตึกเก่ามีอายุหลายสิบปี สภาพภายนอกดูโทรมและเก่า ทว่าภายในกลับมีสภาพต่างกันลิบลับ ดูสะอาดตาและน่าอยู่
สองคูหาฝั่งซ้ายสุดเป็นบ้านของครอบครัวชนชั้นกลางสองครอบครัวซึ่งสนิทสนมกันมาเกือบสิบปี
ครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูกชายวัยรุ่นอาศัยอยู่คูหาริมสุด อีกหนึ่งเป็นครอบครัวของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสาวสองคน อาศัยในคูหาถัดมา
“ปุ๊ ขอออกไปเล่นข้างนอกได้ไหม” หมูฝอยในวัยสี่ขวบที่กำลังยืนเกาะประตูกระจก เหลียวหน้ามาทางพี่ชายข้างบ้านตาละห้อย
“ไม่ได้” หนุ่มน้อยร่างสูงนามว่าปุริมที่นั่งอยู่บนโซฟาบุนวมผ้าสักหลาดสีกาแฟช้อนสายตาขึ้นจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องโปรด มองคนแก้มยุ้ยด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย
เขาควรจะได้ใช้เวลาอันสงบสุขในช่วงบ่ายวันเสาร์ไปกับการทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบ แต่ต้องมาติดแหง็กอยู่กับไอ้หมูฝอยตัวอวบ ที่มีแขนขาป้อมและยังเต่งตึงด้วยก้อนไขมันซึ่งสะสมอยู่ภายใต้ผิวหนัง แถมพุงยังป่องจนยื่นออกมาข้างหน้าเหมือนลูกบอลกลมๆ
‘หมูฝอย’ ไม่ใช่ชื่อของเด็กคนนี้หรอก ยายเด็กนี่มีชื่อที่แม่ตั้งให้ว่า...กุลสตรี
ส่วนหมูฝอยนั้นเป็นเพียงฉายา หากจะเล่าถึงที่มาก็ต้องย้อนกลับไปในวันที่ยายเด็กนี่ลืมตาขึ้นมาดูโลก หมูฝอยเกิดมาพร้อมกับผิวขาวอมชมพูเหมือนลูกหมู จึงได้รับฉายาว่า ‘หมูน้อย’ แต่ต่อมามันถูกเปลี่ยนเป็นหมูฝอย เพราะกาลครั้งหนึ่งในตอนที่เด็กนี่อายุได้สองขวบ เด็กตะกละคนนี้กินหมูฝอยแล้วสำลัก จนมันหลุดออกมาทางจมูกพร้อมน้ำมูกใสยืดๆ เขาจึงตั้งสมญานามให้ใหม่
ใช่แล้วฉายา ‘หมูฝอย’ ปุริมเป็นคนตั้งให้
“แต่ขิมเบื่อนี่ปุ๊” ทว่าหมูฝอยชอบแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นมากกว่า
หนูน้อยส่งสายตาน่าสงสารเรียกความเห็นใจจากพี่ชายต่างสายเลือดที่อายุห่างกันหลายปี
เธออ่อนกว่าเขาตั้งสิบปี แต่หมูฝอยไม่เคยเรียกปุริมว่าพี่เลย ทั้งนี้เพราะเขาทำตัวไม่น่านับถือ
“บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ” ถ้าเขาอนุญาต นั่นหมายความว่าเขาต้องตามไปเฝ้ายายหมูฝอยด้วย มันเป็นคำสั่งจากแม่ ที่สั่งห้ามเด็ดขาดว่าไม่ให้หมูฝอยไปไหนคนเดียว “ฉันสั่ง เธอต้องฟัง ถ้าไม่ฟังจะขังไว้ในห้องครัวคนเดียว” ปุริมขู่ด้วยไม้ตาย
เขาเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นก็อยู่บ้านด้วยกันสองคนแบบนี้เลย หมูฝอยงอแงให้พาไปซื้อนมถั่วเหลืองแช่เย็นที่ร้านขายของชำของอากงซึ่งอยู่ตึกแถวล็อกถัดไป แต่ปุริมกำลังติดพันกับการเล่นเครื่องเล่นวิดีโอเกมอย่างเพลย์สเตชันทูในห้องนอนของตัวเอง จึงไม่สนใจเสียงเล็กน่ารำคาญนั่น
หมูฝอยเลยเรียกร้องความสนใจโดยการเดินไปถอดปลั๊กไฟ เด็กนั่นคงจำมาจากแม่ของเขา
เมื่อหน้าจอโทรทัศน์เปลี่ยนเป็นสีดำ คงไม่ต้องบอกว่าปุริมเกรี้ยวกราดแค่ไหน เขาลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าถมึงทึง เดินเข้าไปหิ้วหมูฝอยโดยใช้แขนข้างเดียวโอบร่างอวบๆ จากทางด้านหลัง ยายตัวป้อมพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขน สองขาสั้นๆ เตะอยู่กลางอากาศไปมา แต่ก็ดิ้นไม่หลุด เพราะปุริมมีความเป็นต่อด้านพละกำลัง
ขายาวๆ ของเด็กหนุ่มก้าวออกจากห้องนอน เดินลงบันไดมาชั้นล่าง ก่อนจะเปิดประตูครัวหลังบ้านแล้วยัดร่างกลมป้อมเข้าไปไว้ในนั้นคนเดียว หมูฝอยกรีดร้องเสียงดังลั่นบ้านด้วยอารามตกใจกลัว เพราะไม่ชอบอยู่คนเดียวในห้องแคบ
ผ่านไปประมาณห้านาทีอุณหภูมิภายในใจของเด็กหนุ่มจึงเย็นลง เขาเปิดประตูออก เห็นเด็กนั่นนั่งคุดคู้อยู่บนพื้น ร้องไห้จนหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลอาบแก้มจนดูมอมแมม พอเห็นหน้าเขา หมูฝอยก็เบ้ปากจะร้องไห้อีกครั้ง ปุริมจึงสั่งเสียงเข้มให้หยุดและสั่งไม่ให้รบกวนเขา ไม่เช่นนั้นจะจับมาขังอีก
หมูฝอยจึงงับปากฉับพลัน แล้วดึงคอเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตา ก่อนจะเดินตามร่างสูงกลับไปยังห้องนอนของเขา
ปุริมนั่งลงบนพื้นตรงหน้าจอทีวีแล้วเปิดเครื่องเล่นวิดีโอเกมอีกครั้ง ส่วนหมูฝอยก็นั่งลงด้านหลังเขา แล้วเล่นตุ๊กตากระดาษไปเงียบๆ ในโลกของตัวเอง
จากวันนั้น...ยายเด็กนั่นคงจะเข็ด เพราะไม่กล้ากวนเขาอีกเลย หรือหากหมูฝอยเริ่มจะทำตัวเป็นปัญหา ปุริมก็ขู่ว่าจะขังไว้ในห้องครัว ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“อยากจะไปอยู่ห้องครัวคนเดียวใช่ไหม” เขาถามย้ำเมื่อยายแก้มยุ้ยยังคงมองหน้าไม่เลิก
หมูฝอยก็ย่นจมูกให้คนบ้าอำนาจ ก่อนจะหันกลับไปทางประตูแล้วแนบใบหน้ากลมๆ กับกระจกใสจนปากและจมูกบี้แบน นัยน์ตากลมโตสีคาราเมลทอดมองผ่านประตูเหล็กยืดซึ่งเป็นปราการชั้นแรกของบ้านออกไป ฝั่งตรงข้ามบ้านซึ่งเยื้องไปทางขวามีซอยเล็กๆ หมูฝอยเห็นเพื่อนรุ่นพี่ประมาณสี่ห้าคนกำลังเล่น ‘โมราเรียกชื่อ’ อยู่ในซอยนั้น
พวกเขาคงสนุกสนานกันน่าดู วิ่งไปก็หัวเราะไป ส่วนเจ้าตัวอวบก็ได้แต่มองเพื่อนๆ เล่นกันด้วยสายตาหงอยเหงา
ปุ๊ใจร้ายชะมัดเลย! ขอออกไปเล่นหน่อยก็ไม่ได้
ผ่านไปสักพักเริ่มรู้สึกว่าขาดอากาศหายใจก็ค่อยดึงหน้าออกจากประตูกระจก มันมีน้ำลายยืดๆ ติดอยู่บนนั้นด้วย
เจ้าหมูฝอยเลยเขยิบไปทางขวาอีกนิด แล้วก็แนบหน้าลงไปอีกครั้งและทำแบบเดิม สายตายังคงจับจ้องกลุ่มเพื่อนที่ตอนนี้วิ่งไปล้อมรถเข็นไอศกรีมกะทิ
น่ากินจังเลย แต่ปุริมก็คงไม่ให้ออกไปซื้อ เขาบอกว่าพุงเธอป่องต้องงดทานของหวาน
-----
ไม่ใช่นิยายพีเรียดนะคะ แค่เปิดเรื่องมาในตอนที่พระนางยังเป็นเด็กเฉยๆ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น