ทหารวิ่งมารายงานว่าจับหนูสกปรกชาวซ่งหนูได้ มันกำลังถูกลากตัวไปหาท่านแม่ทัพ อี้เหวินเฉียงกำลังใช้มีดค่อยๆ ขูดไล้บริเวณเหนือริมฝีปาก นายทหารหนุ่มรำคาญไรหนวดที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นทุกเช้า วันนี้ว่าจะปล่อยมันไป แต่จิตใต้สำนึกนำพาให้เขาเผลอยกมือขึ้นลูบคลำเหนือริมฝีปากอยู่เป็นครั้งคราว อาเฟิ่งชอบจับจ้องดูเหนือริมฝีปากนี้นัก หนุ่มน้อยจะหัวเราะทุกคราวที่เหนือริมฝีปากเขาเริ่มมีรอยครึ้มเขียว กล่าวว่ามันดูตลกยิ่งนัก เมื่อนึกถึงคำของอาเฟิ่งนายกองหนุ่มก็ส่งเสียงดังเหอะ เหมือนไม่พอใจออกมา นายทหารที่มารายงานได้ยินเสียง เหอะ ก็คิดว่าเขาไม่พอใจ
"ท่านนายกองสั่งไว้ว่า หากมีใครพบเห็นเด็กหนุ่มนอกด่านให้รายงานท่าน" เขารีบชี้แจง อี้เหวินเฉียงวางมีด
"เด็กหนุ่มรึ" เขาหันมาถามนายทหารผู้น้อย
"ขอรับ อายุน่าจะประมาณสิบห้าสิบหกเท่านั้น ดูการแต่งตัวแล้วน่าจะมีฐานะในเผ่าไม่เบา" นายทหารประสานมือรายงานไม่ทันจบความ อี้เหวินเฉียงก็หมุนตัวเดินจากไปแล้ว เขาได้แต่รีบตามไป
อี้เหวินเฉียงปราดเข้าขวางแถวทหารเดินยามที่กำลังฉุดลากเด็กหนุ่มนอกด่านผู้หนึ่งอยู่ ทหารทั้งหมดรีบยืนตรงเพื่อทำความเคารพเขา เมื่อสบตาอี้เหวินเฉียง เด็กหนุ่มนอกด่านผู้นั้นก็ชะงักแล้วหยุดดิ้นรน
โกว้หลีจองหน้านายกองร่างสูงผู้นั้น เขาจำอี้เหวินเฉียงได้ดี เจ้านี่เองที่อุ้มอาเฟิ่งของเขาไป โกว้หลีคำรามใส่อี้เหวินเฉียงที่จ้องหน้าเขาตอบ
เด็กหนุ่มผู้นี้หน้าตาดียิ่งนัก นัยน์ตาสาดประกายดุดันข่มคิ้วหนาที่ขึ้นอย่างเป็นระเบียบ สันจมูกที่รับพอเหมาะพอเจาะกับโหนกแก้ม ริมฝีปากสีแดงระเรื่อที่บอกถึงความมีสุขภาพดี อี้เหวินเฉียงที่ชมชอบบุรุษมากกว่าสตรีปฏิเสธไม่ได้ว่าชายวัยเยาว์ชาวซ่งหนูผู้นี้จักเติบโตขึ้นเป็นนักรบรูปงามผู้หนึ่ง
"อาเฟิ่งอยู่ไหน" โกว้หลีตะคอกเป็นภาษาฮั่น อี้เหวินเฉียงแสยะยิ้มให้เป็นคำตอบ
"ลากมันไปที่กระโจมข้า ข้าจะจัดการเอง" เขาสั่ง แล้วหมุนตัวเดินนำแถวทหารที่กึ่งผลักกึ่งลากโกว้หลีตามมา
"เจ้าเรียกว่าอะไร" อี้เหวินเฉียงถามด้วยภาษาของชาวซ่งหนู
"เจ้าเรียกว่าอะไร" โกว้หลีสวนกลับ
"อี้เหวินเฉียง หัวหน้านักรบชาวฮั่น" อี้เหวินเฉียงตอบ
"โกว้หลีหูเสียน..."*
"... ข้าก็จะเป็นนักรบผู้กล้าของเผ่ามั่วตูเหมือนกัน" โกว้หลีกอดอกเชิดหน้า ท้าทาย
"มั่วตูรึ เจ้าเป็นอันใดกับมั่วตู...."
"ข้าเป็นบุตรคนโตของข่านแห่งมั่วตู" โกว้หลีกระชากเสียงตอบก่อนที่อี้เหวินเฉียงจะถามจบ
อี้เหวินเฉียงขมวดคิ้ว ลูกชายคนโตของข่านมั่วตูน่าจะอายุมากกว่านี้มากนัก ถ้าเขาจำไม่ผิด
"เหลวไหล บุตรคนโตของข่านมั่วตู ชนะการประลองที่.... ตอนนั้นข้าก็อยู่ เจ้ามาแอบอ้างอันใด"
"เจ้าต่างหากที่เหลวไหล ข้าองค์ชายโกว้หลีหูเสียน บุตรชายคนเดียวของพระชายา....แห่งข่านมั่วตู..." โกว้หลีเชิดหน้า
อ้อ เจ้านักรบแข็งแกร่งที่เขาเจอเมื่อปีที่แล้วคงเป็นองค์ชายที่เกิดจากสนมแล้ว อี้เหวินเฉียงคิด
"ใครจะนึกว่าองค์ชายจะมาเยือนเยี่ยงโจรเช่นนี้"
"เจ้าต่างหากที่เป็นโจร เอาอาเฟิ่งของข้าคืนมานะ"
"ข้าขโมยนกของเจ้าไปเมื่อใดกัน"
"นกอันใด"
"เจ้ามิใช่ตามหานกเฟิ่งหวงรึ"
"พูดไม่รู้ภาษา"
"ข้าพูดซ่งหนูอยู่ เป็นเจ้าต่างหากที่ไม่รู้ภาษา"
"ข้าเห็นแก่ที่เจ้าเป็นราชนิกุลแล้วยังมีอายุน้อย อีกทั้งตอนนี้ฮั่นกับซ่งหนูหาได้มีศึกกันไม่ ข้าจักส่งเจ้าลงไปยังตีนเขา ขอให้เจ้ามุ่งหน้ากลับ .... เสียเถิด ที่นี่ไม่มีนกเฟิ่งหวงที่เจ้าตามหานั่นดอก มันเป็นเพียงนกในตำนาน หาได้มีจริง เจ้าเข้าใจหรือไม่ มันหามีจริงไม่ มันจะมีก็แต่เพียงในความฝันของเจ้าเท่านั้น"
ถึงแม้เขาอยากจะผิดคำสัตย์สัญญาที่ให้กับฉีอี้ไว้ ว่าจะไม่ทำร้ายเด็กหนุ่มชาวซงหนูผู้นั้น เขาก็มิอาจแตะต้องเจ้าหนุ่มน้อยหน้าสวยคนนี้ได้อยู่ดี เพราะดูท่ามันจะเป็นบุตรเพียงคนเดียวของข่านมั่วตูและพระชายาจริงๆ
"เห็นแกความสัมพันธ์ฮั่นกับซ่งหนู ข้าจะไม่ถือสาหาความที่เจ้าลอบเข้ามายังค่ายทหาร จักให้คนส่งเจ้าลงเขาไป" กล่าวจบอี้เหวินเฉียงก็ส่งเสียงทุ้มต่ำเรียกทหารที่อยู่หน้ากระโจมนายกอง
"เจ้าเอามันผู้นี้ไปส่งยังตีนเขาด้านซ่งหนู ดูให้แน่ใจว่ามันกลับเข้าเขตแดนมันไปแล้ว หากมันคิดปีนป่ายกลับขึ้นมาอีก ก็บั่นหัวมันเสีย" เขาสั่งนายทหารที่มายืนระวังตรงรับคำสั่งอยู่เบื้องหน้า เมื่อจบคำก็ตระหวัดสายตาดูเด็กหนุ่มหน้าหวานที่มีผมหนักศกยาวเป็นคลื่นสยายคลุมแผ่นหลังคล้ายผืนผ้าไหมสีดำ
"ได้ยินหรือไม่ หากเจ้าย้อนกลับมาอีกทหารของฆ่าจักบั่นหัวของเจ้าเสีย" อี้เหวินเฉียงตะคอกเป็นภาษาซ่งหนู
"เชอะ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าบอกทหารของเจ้าว่าเยี่ยงไร" โกว้หลีเชิดคางแล้วกระแทกตัวลงนั่งขัดสมาธิกับพื้น
"ข้ามารับเมียข้ากลับบ้าน เจ้าแค่มอบคนออกมาข้าก็จะไปแล้ว มีอันใดที่มันเข้าใจยากหรือ" โกว้หลีแหงนหน้าขึ้นมอง แต่ยังไม่ทันได้สบตาอี้เหวินเฉียงก็ถูกฝ่าเท้าในรองเท้าหนังทั้งหนาและหนักถีบเปรี้ยงเข้าเต็มหน้า ร่างบางกระเด็นหงายหลัง เลือดกำเดาไหลทะลักลงมากลบริมฝีปากบนที่แตกปริออกพร้อมๆ กัน
"เจ้าโจรถ่อยฮั่น เจ้าลักเมียของข้า เจ้าพรากพร่าเมียของผู้อื่น....." โกว้หลีไม่ยอมแพ้ ยันตัวนั่งชันเข่าข้างหนึ่งบริภาษนายกองอี้เหวินเฉียงด้วยภาษาซ่งหนูและฮั่นปนเปกันไป ก่อนจะโดนนายทหารสองคนฉุดลากตัวออกมาจากกระโจมนายกอง น้ำลายปนเลือดกระเด็นเป็นฟองฟอด น้ำตาก็พาลไหลจนกลบหน้า โกว้หลีทั้งเตะทั้งถีบปากก็ก่นด่าโจรฮั่นไปไม่หยุด
"เจ้าเด็กบัดซบ ในค่ายนี่ไม่มีสตรีซ่งหนูแม้แต่ครึ่งคน ใครมันไปเอาเมียของเจ้ามากัน หญิงซ่งหนูเหม็นสาบสางไขมันสัตว์ถึงเพียงนั้น...."
"หากมิเคยใกล้ชิด เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกนางมีแต่กลิ่นไขมันสัตว์.." ทหารอีกคนกล่าวหยอกเย้า แล้วทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นพลางลากโกว้หลีถูลู่ถูกังไปตามถนนกลางค่าย
...
อี้เหวินเฉียงเรียกหาเด็กรับใช้ให้เอาน้ำมาให้เขาล้างมือล้างหน้า
"ข้าจะไปยังจวนท่านแม่ทัพที่ด้านบน เจ้าไม่ต้องตามไป" เขาสั่งพลางวักน้ำในอ่างไม้ขึ้นมาล้างหน้า
"เจ้าเด็กหนุ่มซ่งหนูนั่นใช่มาตามหาคุณชายฉีอี้หรือไม่ขอรับ" เด็กรับใช้ถามคล้ายอยากได้หน้า
"บัดซบ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร อย่าให้ข้าได้ยินคำพูดพล่อยๆ นี่อีก" อี้เหวินเฉียงกลับกระชากเสียง นัยน์ตาวาวอย่างโกรธขึ้ง
"บ่าวผิดไปแล้ว คงเพราะบ่าวฟังภาษาซ่งหนูไม่ค่อยเข้าใจ" เด็กรับใช้รีบละล่ำละลักแก้ตัว ในใจนึกอยากทุบถองศีรษะตนเอง ว่าช่างเบาปัญญาเหลือเกิน
"หากเจ้าไม่อยากถูกตัดลิ้นก็อย่าได้พูดอันใดที่ทำให้คุณชายฉีเสียหาย"
"บ่าวทราบแล้ว บ่าวทราบแล้ว เป็นบ่าวที่เลอะเลือนไปเอง"
.....
.....
เมื่ออำมาตย์ฉีมานั่งในศาลาสดับธรรมของวัด.... ได้เพียงครู่ฮูหยินใหญ่แห่งจวนแม่ทัพปราบพายัพก็มาถึง อำมาตย์ฉีรีบลุกขึ้นประสานมือคารวะ ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวอันใด ฮูหยินแม่ทัพอี้เหวินที่โบกมือไล่ทุกคนให้ถอยออกไปแต่แรกแล้วก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
"ข้าต้องการพบท่านก็ด้วยเรื่องถุงผ้าใบนั้น" อำมาตย์ฉีได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดกลับลงบนม้าที่นั่งอยู่เมื่อครู่
"เป็นถุงผ้าของอาเฉียงจริงหรือไม่" ฮูหยินท่านแม่ทัพถาม ฉีหย่งเหลียนผงกศีรษะ
"ของสิ่งนั้นมาอยู่กับบุตรชายท่านได้อย่างไร" นางถามต่อ
"เป็นนายกองอี้เหวินเฉียงมอบให้แก่ฉีอี้เอง" อำมาตย์ฉีตอบ
"เหลวไหล ของพระราชทานจากพระพันปี จักมอบให้ผู้อื่นได้อย่างไร อาเฉียงมิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา" ฮูหยินท่านแม่ทัพกล่าวตัดความรับผิดชอบอย่างไร้เยื่อใย แล้วลุกขึ้น นางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่หลบอยู่ห่างออกไป พากันกรูเข้ามาห้อมล้อมนำนางเดินลงจากศาลา จากไปโดยมิได้หันมามองอำมาตย์ฉีอีกเลย
ที่แท้ นางเรียกเขามาก็เพราะอยากจะรู้ว่ามันใช่ถุงเงินที่พระพันปีพระราชทานให้อี้เหวินเฉียงจริงหรือไม่ นางคงได้ยินมา แต่ไม่ได้เห็นถุงเงินด้วยตนเอง จึงมิอาจบอกได้ว่าถุงหอมที่ฉีอี้พกติดตัวแล้วกล่าวว่าเป็นนายกองอี้เหวินเฉียงมอบแกเขานั้น เป็นถุงเงินใบนั้นจริงๆ หรือไม่
แล้วนางยังกล่าวว่าเหลวไหล นี่คิดจะให้อาเฟิ่งเป็นโจรที่ขโมยของของผู้อื่นมาหรืออย่างไร .... อำมาตย์ฉียกแขนขึ้นใช้ชายแขนเสื้อซับเหงื่อบนหน้าผาก ใบหน้าหมองคล้ำ ใจนึกหวังเพียงว่านายกองอี้เหวินเฉียงจักไม่ใจร้ายใจดำผลักไสฉีอี้ออกไปเป็นโจรลักถุงเงินเหมือนดั่งมารดาของเขาก็เท่านั้น ....แต่ความหวังนั้นช่างริบหรี่เสียเหลือเกิน ใครที่ไหนจะรับเคราะห์มาใส่ตัว ต่อให้เป็นพระญาติก็เถิด ใครจะอยากให้พระพันปีเกลียดชังน้ำหน้ากันเล่า
.....
.....
ฮูหยินแม่ทัพปราบพายัพก้าวเดินเนิบช้า ปล่อยแขนข้างหนึ่งให้สาวใช้คนสนิทหนุนประคอง แขนอีกข้างวางทาบบนหน้าท้อง แม้นางจะสำรวมกิริยา แต่ในใจกลับร้อนรุ่ม ในที่สุดก็อดรนทนเก็บกิริยาไม่ไหว โบกมือข้างที่วางทาบกลางลำตัวออกไป นายกองทหารองครักษ์ที่เดินระวังอยู่ห่างๆ พลิ้วตัวเข้ามาก้มคารวะ สองมือประสาน รอรับฟังคำสั่ง
"ให้ใครไปดูทีว่าฉีอี้ บัณฑิตซิ่วไฉผู้นี้ เป็นคนอย่างไร..." นางไม่เอ่ยอันใดให้มากความอีก สะบัดแขนเสื้อแล้วเชิดหน้าขึ้นแย้มรอยยิ้มให้แก่ภิกษุวัยกลางคนที่ยืนประนมมือรอรับอยู่หน้าอาคารหลักของตัวอาราม นายกององครักษ์น้อมรับคำสั่งแล้วถอยออกไป ทั้งรวดเร็วและเงียบงัน คล้ายดั่งเมื่อครู่นี้ เขามิได้อยู่ตรงนั้น
"คารวะท่านเต้าเหยิน" นางยกมือขึ้นประนม
"เจริญพร ประสกหลิว ท่านเจ้าอาวาสได้สั่งให้อาตมาเตรียมประทีปไว้ให้แล้ว ประสกขึ้นมาจุดประทีปทั้งหมดก่อนแล้วจึงเข้าพบท่านเจ้าอาวาสเถิด"
"ท่านเจ้าอาวาสคงมิได้กำลังมีแขกอยู่กระมัง" นางเอ่ยถามตามมารยาท
"มิใช่ใครที่ไหน เป็นนักพรตจากอารามเต๋าใกล้ๆ นี่เอง" ภิกษุผู้นั้นกล่าวตอบยิ้มๆ ฮูหยินแม่ทัพปราบพายัพเลิกคิ้วขึ้นสูง
"ข้าคิดว่าพวกท่านไม่มีการคบหาสมาคมกันเสียอีก" นางกล่าว นึกฉงนด้วยใจจริง
"อารามของเราอายุยังน้อย จะปักหลักลงในใจผู้คน ยังคงต้องอาศัยความรู้จากผู้ที่อยู่มาก่อนแล้ว หลิวฮูหยิน ท่านว่าจริงหรือไม่" ได้ยินภิกษุผู้นั้นเอ่ยนามเดิมซ้ำอีกครั้ง มุมปากของนางก็กระตุกน้อยๆ แต่ยังคงผงกศีรษะรับคำ
ดูท่า การเป็นฮูหยินของแม่ทัพปราบพายัพ จักไม่สำคัญเท่ากับการเป็นพระประยูรญาติกระมัง....
ความคิดคำนึงนี้ ยิ่งทำให้กลัดกลุ้ม ภาพของพระพันปีที่น้อยครั้งจะแย้มยิ้มให้แก่นาง ทำให้นางหวาดวิตกแทนบุตรชายคนสุดท้องจนยกเท้าก้าวไม่ถึงขั้นบันได ปลายรองเท้ากระแทกครูดกับหิน จนนางต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด สาวใช้ทั้งซ้ายขวารีบเข้ามาพยุง แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นหยาดน้ำใสเอ่อล้นนัยน์ตาทั้งสองข้างของนาง
"กลับเถิด ข้าเจ็บจริงๆ ทิ้งใครไว้ให้จุดประทีปแทนข้าก็แล้วกัน....."
นี่ข้าจะมาจุดประทีปเพื่ออะไรกัน ข้าควรรีบไปเข้าเฝ้าพระพันปีถึงจะถูก.....
.....