บทที่ 3 ยอดยุทธ์หัวซาน(2)
อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเยว่ปู๊ซินก็เกือบจะหายเป็นปกติแล้ว แม้ว่าจะยังไม่สามารถเคลื่อนไหวผาดโผนเช่นการฝึกกระบี่ได้ แต่การฝึกกำลังภายในเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีปัญหาร้ายแรงใด ต้องขอบคุณเจ้าของร่างเดิมที่ทิ้งความทรงจำอย่างสมบูรณ์ไว้ให้เขา ชายหนุ่มจึงรู้ว่าร่างใหม่ของตนนับเป็นผู้มากพรสวรรค์ทีเดียว
ในฐานะที่เป็นศิษย์คนโตของปรมาจารย์ชั้นหนึ่งที่มีชื่อเสียง ไม่ต้องสงสัยในความสามารถของเขา กุญแจสำคัญคือการมีรากฐานที่แข็งแกร่งและกำลังภายในหนาแน่น
หลังจากฝึกฝนมาสิบกว่าปี เจ้าของร่างนี้ก็สำเร็จวิชากระบี่หัวซานอย่างสมบูรณ์แบบ และยังฝึกเคล็ดวิชาหัวใจแห่งหัวซานจนสำเร็จขั้นที่เก้าแล้ว
ต่างจากลูกศิษย์ชั้นยอดคนอื่นๆ ในหัวซาน เจ้าของร่างเดิมได้ปรับเปลี่ยนวิธีการโคจรกำลังภายในให้ดีขึ้นจากในตำราจากการชี้แนะของอาจารย์ตั้งแต่ที่เขาสำเร็จเคล็ดวิชาหัวใจแห่งหัวซานขั้นที่หก เพื่อให้เขาสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วและส่งเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้น
เวลาสิบปีประดุจหนึ่งวัน การฝึกฝนเคล็ดวิชาหัวใจแห่งหัวซานซึ่งเป็นเคล็ดกำลังภายในพื้นฐานที่สุดของหัวซานเป็นการวางรากฐานและปรับปรุงความแข็งแกร่งของเส้นลมปรานเพื่อการฝึกฝนเคล็ดเมฆม่วงในอนาคต หากไม่สำเร็จเคล็ดหัวใจหัวซานก็ไม่อาจฝึกฝนเคล็ดเมฆม่วงได้
การตัดสินใจปิดภูเขาห้าปีของอาจารย์อดีตเจ้าสำนักนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างไรจุดหมาย แต่เขาเชื่อมั่นว่าเจ้าของร่างเดิมจะสามารถเข้าสู่ปรมาจารย์ชั้นหนึ่งได้ภายในเวลาห้าปี มีแต่ต้องมีกำลังความสามารถเช่นนี้เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ในการพูดจา ซึ่งจะสามารถรักษารากฐานของสำนักหัวซานไว้ได้ และเขาเชื่อว่าลูกศิษย์จะต้องพัฒนาหัวซานให้กลับมารุ่งโรจน์ได้แน่
น่าเสียดายที่อดีตเจ้าสำนักจากไปแล้ว แม้ศิษย์น้องของเขาจะมีความกล้าหาญและมีวรยุทธ์สูง แต่ก็ทำได้เพียงรักษาชื่อเสียงของหัวซานในอดีตไว้เท่านั้น เขาไม่มีความกล้ามากพอที่จะส่งเสริมความแข็งแกร่งของสำนักหัวซานอย่างก้าวกระโดด เพราะกลัวว่าจะไปกระตุ้นความสนใจจากนิกายสุริยันจันทราและสำนักซงซานเข้า
ท้ายที่สุดการต่อสู้ก็ล้มเหลว และฝ่ายหัวซานต่างบาดเจ็บล้มตายและอ่อนแอลงมาก ในตอนสุดท้ายศิษย์สาวกของหัวซานก็ตายอย่างอนาถ นับเป็นตอนจบที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง
สาเหตุมาจากขาดความมั่นคงภายในอย่างถึงที่สุด!
ผู้ที่มีพละกำลังไม่มากพอมักชอบโชว์หมัดกางกรงเล็บ แสดงให้ผู้คนเห็นการมีอยู่ของตน เพราะกลัวว่าจะถูกผู้อื่นดูหมิ่นและถูกโจมตี
อันที่จริงหัวซานในอดีตเคยเป็นเช่นกัน!
เยว่ปู๊ซินเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง มุมปากของเขามีรอยยิ้มน้อยๆ หากแววตาไร้รอยยิ้ม
แล้วจะทำอย่างไรได้ ใครที่ไม่เห็นด้วย ดาบหนึ่งเล่มจะสอนให้คนรู้จักทำตัวดีๆ
ชายชราผู้นั้นอาจเย่อหยิ่งและจะยิ่งไร้ตัวตนมากขึ้นไปอีก ฮ่า เขาควรจะเป็นคุณลุงวัยกลางคนแล้ว และวันหนึ่งเขาจะก้าวออกจากภูเขา
แม้ว่าอนาคตจะวุ่นวาย แต่เยว่ปู๊ซินก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
วันนี้เยว่ปู๊ซินตื่นตั้งแต่ยามเหม่า เขาอาบน้ำและแต่งตัวด้วยชุดฝึกที่ค่องตัว เดินไปที่ยอดเขาเฉาหยางโดยมีหนิงจงเซ่อติดตามมาด้วย
ความจริงเยว่ปู๊ซินไม่คิดจะให้นางมาด้วย แต่เด็กสาวไม่ยินยอมรับฟัง
หนิงจงเซ่อไม่ยอมแพ้และพยายามเกลี้ยกล่อม “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส สมควรพักผ่อนให้มากๆ เหตุใดต้องรีบร้อนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อฝึกวิชาตั้งแต่เช้าเช่นนี้ หิมะบนเขาเพิ่งจะละลาย การเดินเขายามนี้ยังอันตรายอยู่มาก”
“อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว ในช่วงสองวันนี้ฉางอันและคนอื่นๆ ได้ทำความสะอาดถนนบนภูเขาแล้ว ไม่มีหิมะบนถนนหรอก”
เยว่ปู๊ซินโบกไม้โบกมือพูดกับหนิงจงเซ่อ แต่เขาไม่ได้หยุดเดินเลยสักนิด
หนิงจงเซ่อเห็นแบบนั้นก็ได้แต่เดินตามไปติดๆ ด้วยกลัวว่าศิษย์พี่ใหญ่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลิวฉางอันถือคบเพลิงเดินอยู่ข้างหน้าเพื่อนำทาง กัวซานสุ่ยเดินตามหลังด้วยคบเพลิง กลุ่มคนสี่คนเดินทางอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามกว่าก็มาถึงยอดเขาเฉาหยาง
ยอดเขาเฉาหยางมีขอบเขตการมองเห็นที่กว้างมาก แต่น่าเสียดายที่ตอนที่ฟ้ายังคงมืดทำให้มองไม่เห็นทิวทัศน์อันงดงาม
เยว่ปู๊ซินรำหมัดมวยกว่าสิบรอบให้ร่างกายทุกส่วนได้ออกกำลังอย่างเต็มที่ก่อนพักหายใจและนั่งสมาธิปรับลมหายใจ
เขาเริ่มต้นจากการโคจรกำลังภายในจากขั้นแรกของเคล็ดหัวใจแห่งหัวซานไปจนถึงขั้นที่เก้า หลังจากโคจรกำลังภายในไปยี่สิบกว่ารอบวิถีการโคจรพลังก็ยิ่งไหลรื่นมากขึ้น ไม่ติดคัดเมื่อตอนแรกๆ ยิ่งนานยิ่งสามารถโคจรพลังได้รวดเร็วขึ้น เยว่ปู๊ซินรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังภายในที่ปั่นป่วนมากขึ้น ราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวราวกับคลื่นยักษ์ถาโถม
เยว่ปู๊ซินสูดหายใจเข้าลึกหายใจออกยาวๆ ปรับลมหายใจเพื่อชะลอการโคจรของพลัง หลังจากโคจรพลังสู่เส้นลมปรานกรุ่ยทางไปสู่จุดชีพจรทั้งสามสิบหกจุดหลายรอบ กำลังภายในร่างของเขาก็เริ่มสงบนิ่ง เหมือนกับแม่น้ำสายเล็กๆ หลายสิบสายไหลลงสู่ทะเลสาบชั้นใน ให้ความรู้สึกสงบนิ่ง
เยว่ปู๊ซินลืมตาขึ้นและมองไปทางทิศตะวันออก
พระอาทิตย์กำลังโพล่พ้นของฟ้า แสงสว่างทำให้หมอกในทะเลมอกเริ่มจางลง แสงแรกของวันเข้าปกคลุมทั่วทั้งยอดเขาเฉาหยางในทันที ไม่รู้ว่าเพราะความงามของธรรมชาติหรือเพราะตัวเยว่ปู๊ซินตาพร่า เขารู้สึกว่าแสงแรกของวันที่ปกคลุมยอดเขาเฉาหยางมีประกายสีม่วงอ่อนจางเหมือนมีเหมือนไม่มี เพียงพริบตาก็หายไป
เยว่ปู๊ซินหายใจเข้าลึกๆ ราวกับว่าเขาสูดเอาพลังจากแสงตะวันเข้าสู่ร่างกายตนเอง ต้องยอมรับว่าการทำเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกสบายอย่างลึกลับ ก่อนจะหลับตาลงทำสมาธิต่อ
พลังงานลึกลับถูกรวมเข้ากับพลังภายใน ด้วยการกระตุ้นเล็กน้อยมันก็สัมผัสกับเส้นชีพจรหยางเว่ย[1] ซึ่งเป็นเส้นโคจรพลังภายในเริ่มแรกตามเคล็ดวิชาเมฆม่วง
ขั้นแรกของเคล็ดวิชาเมฆม่วงเป็นการเปิดเส้นชีพจรหยางและเส้นชีพจร หยินเพื่อให้การโคจรพลังเป็นไปอย่างราบรื่น จากนั้นจึงกรุ่ยเส้นชีพจรใหม่สองทางเพื่อเชื่อมต่อพลังก่อนจะโคจรพลังหมุนวนไปอย่างเส้นชีพจรอื่นๆ เหมือนกับตัดถนนให้ถนนทุกสายมีเส้นทางเชื่อมต่อถึงกัน
โดยปกติคนทั่วไปเส้นชีพจรในร่างกายจะไม่มีสิ่งกีดขวาง ถ้าเส้นชีพจรติดคัดย่อมส่งผลต่อความเจ็บปวดของร่างกาย
แต่คนแต่ละคนย่อมแตกต่าง และระดับความราบรื่นของเส้นชีพจรของคนก็ไม่เหมือนกัน
บางคนเหมือนแม่น้ำที่สายน้ำสามารถไหลผ่านได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว
บางคนเหมือนกับป่าไม้เมื่อสายน้ำต้องการไหลผ่านกับมีสิ่งกีดขวางมากมาย
นอกจากนี้ยังมีผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่มีแม่น้ำสายเล็กๆ หลายสายเชื่อมประสานกันเป็นตาข่าย ทำให้สายน้ำสามารถไหลไปยังจุดต่างๆ ได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วด้วย
แต่ไม่ว่าเส้นชีพจรของคนเราจะเป็นเช่นไรก็ต้องได้รับการฝึกฝนที่เหมาะสมเพื่อที่จะสามารถโคจรพลังผ่านไปอย่างราบรื่น และการขัดเกลาเส้นชีพจรเหล่านี้ต้องกระทำอย่างระมัดระวัง
การเปิดเส้นชีพจรก็เหมือนการสร้างถนน ต้องตัดต้นไม้ ถอนหญ้า ปรับระดับพื้น และปิดผนึกบริเวณโดยรอบ
จากไม่มีถนนก็กลายเป็นถนนสายเล็กๆ จากถนนสายเล็กก็ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น จากนั้นค่อยกลายเป็นถนนหลวงที่เพิ่มความแข็งแกร่งของถนน และเชื่อมถนนสายต่างๆ เข้าหากัน
การนำเข้าคือการรวบรวมพลังไว้ในเส้นชีพจรให้มันไหลวนอยู่ในเส้นชีพจรต่างๆ ภายในร่างกาย และการส่งออกคือการรวมพลังในเส้นชีพจรภายในร่างกายและใช้ออกผ่านเคล็ดวิชาหรืออาวุธสำหรับโจมตีหรือป้องกัน
สำหรับประสิทธิ์ภาพของพลังภายในต้องดูว่าเส้นชีพจรสามารถรวบรวมพลังไว้ได้มากเพียงใด มีความสามารถในกับรวบรวมพลังเข้าไปในเส้นชีพจรมากหรือไม่ และสามารถรวมพลังส่งออกมาได้มากน้อยเพียงใด
เคล็ดวิชาเมฆม่วงเป็นวิชาฝึกฝนกำลังภายในชั้นยอดที่สามารถไปถึงการสร้างถนนหลวงได้ แต่ข้อเสียของมันคือความเร็วในการกรุ่ยเส้นชีพจรค่อนข้างช้า
เยว่ปู๊ซินเริ่มจากการกรุ่ยเส้นชีพจรแรกของเคล็ดวิชาเมฆม่วง และเพิ่มความแข็งแกร่งภายในอย่างระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะถือเป็นคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม แต่ก็ยังคงพัฒนาไปอย่างช้าๆ อยู่ดี
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เยว่ปู๊ซินพบว่าเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างสดใสแล้ว
[1] เป็นหนึ่งในเส้นชีพจรภายในร่างกายเชื่อมโยกกับเส้นซันเจียวและจุดจู๋หลินยี่ของเส้นถุงน้ำดีเชื่อมโยงกับเส้นไต้