ตอนที่ 21 : ลอสแอนเจลิส – 3
“แล้วไมค์เป็นไงบ้างแม่”
ฉันถามต่ออย่างสนใจ สามีใหม่ของแม่เป็นผู้บริหารอยู่ในบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เท่าที่เห็นชีวิตแม่ ไมค์ก็ดูจะมีฐานะที่ดีอยู่ไม่น้อย
“ก็ดีนะเธอ นี่ไม่กี่เดือนก่อนเพิ่งได้ออฟเฟอร์ให้ไปคุมโรงงานใหม่ที่เวียดนาม เขาเสนอเงินเดือนเพิ่มให้ แถมยังมีค่าไปต่างประเทศอีก สวัสดิการลูกเมียก็จ่ายให้หมด”
“อ้าว แล้วเอาไงอะแม่ ตัดสินใจยัง”
ฉันถามแม่อย่างตื่นเต้น ถ้าแม่ย้ายมาอยู่ที่เวียดนามนี่ก็คงง่าย ฉันบินไปหาแม่ทุกสัปดาห์ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ปากก็ยั้งไว้ทันไม่ได้เสนอความคิดเห็นอะไรออกไปเยอะ กลัวว่าจะไปทำให้แม่เข้าใจว่าฉันอยากเจอหน้าบ่อย ๆ และจะยิ่งห่วงหน้าพะวงหลังไปกันใหญ่
“ปฏิเสธไปแล้วแหละ”
ฉันพยักหน้ารับ
“แฟรงค์กำลังจะเข้าสกูลน่ะลูก ไมค์เขาคิดว่ายังไงการศึกษาของเวียดนามก็คงสู้ที่อเมริกาไม่ได้ ซื้ออนาคตลูกจะดีกว่า หวังแค่เงินเล็กน้อยจะไม่คุ้มกัน”
ตั้งแต่แม่ตกลงเป็นแฟนกับไมค์ แม่ก็จัดการฝากไข่ไว้ก่อนที่อายุจะล่วงเลยจนตั้งครรภ์ได้ลำบาก ช่วงแรกที่คบกันอยู่ที่นี่ แม่ก็ผสมเด็กหลอดแก้วและตั้งครรภ์น้องชายต่างพ่อของฉันขึ้นมา แฟรงค์คลอดที่ไทย ใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนได้สักสองปีก็ย้ายตามพ่อกลับไปที่อเมริกา ทั้งหมดก็เป็นด้วยเรื่องอนาคตล้วน ๆ ทั้งแม่และไมค์มองว่าถ้าแฟรงค์ไปโตที่โน่นจะดีกับชีวิตมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา
“เธอล่ะ เอายังไง”
“เอายังไงอะไรแม่”
ฉันแกล้งแชเชือนพลางหยิบขนมหวานที่เรียงรายตรงหน้ามากินเล่น แม่ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะใช้มือหยิบมาการงมาวางไว้ในจานฉันอย่างรู้ใจ
“ไปอยู่แอลเอกับฉันเถอะเธอ”
ฉันฟังประโยคนั่นด้วยความเงียบ
“ไมค์ไปคุยกับเพื่อนเขามาแล้ว สถาปนิกอย่างเธอย้ายไปทำงานได้เลย ไม่ต้องสอบใบประกอบอะไรอีก เตรียมพอร์ตนิดหน่อยก็ต่องานได้เลย ไมค์เขามีคนรู้จักในวงการเยอะแยะ ถ้าเธออยากสัมภาษณ์งานที่ไหนก็บอก คนที่โน่นขาดกันเยอะแยะ ประสบการณ์เธอก็มี ภาษาก็ได้”
แม่ชวนฉันหลายครั้งแล้วเรื่องย้ายไปอยู่ที่อเมริกาด้วยกัน ความจริงฉันก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมไม่ไปสักที ชีวิตฉันตอนนี้ก็เหลือตัวคนเดียวแล้ว หากเป็นแต่ก่อนก็ชัดเจนว่าคงไปไม่ได้เพราะเมทิตย์มีชีวิตที่รุ่งเรืองอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ฉันกับเขาก็เป็นแค่คนอื่น
“เรื่องสถานะพลเมืองก็ไม่ยากหรอก ยังไงฉันก็จดทะเบียนกับไมค์แล้ว หรือไม่ก็รอทำกรีนการ์ดจากการทำงานก็ได้ อาชีพเฉพาะทางแบบนี้ขอสัญชาติไม่ยากหรอก”
แม่ถามฉันทุกครั้งที่กลับมาหา ถึงแม่จะอ้างว่าไมค์ชอบประเทศไทยเลยพากันกลับมาเที่ยวบ่อย ๆ ปีละ 2 – 3 ครั้ง แต่ฉันก็รู้ว่าแม่จงใจกลับมาเกลี้ยกล่อมฉันนี่แหละ แฟรงค์ก็ยังตัวเล็กนิดเดียว เดินทางก็ไม่ง่าย แต่แม่ก็ยังหาข้ออ้างกลับมาได้เสมอ
“เธอมีเหตุผลอะไรหรือเปล่าที่ไปจากที่นี่ไม่ได้”
คำถามนั่นทำเอาฉันเงียบไป ใจนึกถึงเมทิตย์ขึ้นมาเด่นชัด แต่สักพักก็เริ่มเลือนรางหายไปเหมือนควันจางที่ถูกพัดปลิวกระจายหาย
“หนูยังตัดสินใจเรื่องนึงไม่ได้ ขอหนูเคลียร์ให้เสร็จก่อนนะ”
แม่ยิ้มกริ่มพลางยักคิ้วหลิ่วตา
“ผู้ชายล่ะสิ”
“โธ่ แม่”
ฉันโวยวายออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นว่าแม่พูดออกมาโดยไม่อ้อมค้อม ยิ่งฉันออกอาการ แม่ยิ่งชอบใจที่ทายถูก แม่หัวเราะจนอกกระเพื่อม
“ถ้าเธอมีแฟนสักคน ฉันก็ดีใจ อย่างน้อยฉันก็มั่นใจว่า ถ้ามีอะไรฉุกเฉิน เธอก็ยังมีคนช่วยดู” แม่พูดจับมือฉันไว้และบีบเบา ๆ
“เพื่อนหนูก็มีนะแม่”
“โอ๊ย เดี๋ยววันนึงเพื่อนเธอก็จะมีแฟน เขาก็ต้องแบ่งเวลาไปให้ชีวิตครอบครัวเขา เธอน่ะระวังไว้ อายุยี่สิบกว่าเนี่ยมันก็วูบวาบว่องไว สักสามสิบกว่าแล้วมันก็วุ่นวายไปหมด หันไปทางไหนเขาก็มีลูกมีเต้ากันหมดแล้ว จะทำอะไรก็รีบทำ อย่ามัวแต่ชักช้า”
“หนูรู้น่าแม่”
“แล้วตกลงเธอมีแฟนหรือยัง”
“ยังแม่ ถ้าหนูมีก็บอกแล้ว โธ่” ฉันบ่นเบา ๆ
“เธอไม่กล้าบอกฉันหรือเปล่า แฟนเธอจะเป็นผู้หญิงก็ได้นะ ฉันไม่ติด ตอน ม.ปลาย ฉันก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิง ฉันเข้าใจ” แม่ขยิบตากับฉันจนฉันเริ่มหมั่นไส้ความร่าเริงเกินเหตุของคนตรงหน้า
“หนูชอบผู้ชาย แม่ก็” ฉันแกล้งเบะปาก
“เอาน่า ฉันก็แค่ดักคอไว้ ความจริงฉันเปิดกว้างนะ เธอจะมีแฟนเป็นใคร เพศไหน หน้าตาอย่างไรก็เอาเถอะ จะชวนเขาไปอยู่ที่โน่นด้วยกันฉันก็ไม่ติด ทำอาชีพอะไรก็บอก เดี๋ยวแม่ให้ไมค์ช่วยดูให้”
ฉันยิ้มและส่ายหน้าให้แม่เบา ๆ ก่อนจะตักเค้กชิ้นหนึ่งให้แม่ในจาน ปรกติแม่จะไม่ค่อยกินของหวานมากนักเพราะดูแลรูปร่าง แต่พอเห็นว่าเป็นฉันตักให้ คนตรงหน้าก็ตักใส่ปากอย่างไม่อิดออด
“หนูแค่แอบชอบเขาน่ะแม่ เขาอาจจะไม่ชอบหนูก็ได้”
“จีบเขาสิ”
“โอ๊ย แม่ อย่าพูดเหมือนง่ายขนาดนั้นสิ หนูไม่ได้หัวสมัยใหม่อย่างแม่นะ”
นี่แม่ฉันเกิดมาสลับร่างกับฉันหรือเปล่าเนี่ย ทำไมช่างมีความเข้าใจโลกและหัวก้าวหน้ายิ่งกว่าฉันเสียอีก ฉันนี่ดูกลายเป็นยายแก่คร่ำครึไปเลย
“ก็ไม่ต้องจีบขนาดนั้นก็ได้ แบบแค่แกล้ง ๆ เปิดโอกาสให้เขาเข้ามาในชีวิตได้ง่ายขึ้นไง”
ฉันอ้ำอึ้งไปเมื่อเทียบสิ่งที่แม่พูดกับพฤติกรรมของตัวเอง
“หนูก็ทำ ๆ อยู่” ฉันอ้อมแอ้มตอบไปไม่เต็มปาก
“แล้วเป็นไงบ้าง” แม่ถามต่ออย่างเก็บความสนใจไว้ไม่มิด
“ก็ไม่เป็นไงอะแม่ ก็รู้จักกันมากขึ้นมั้ง”
ฉันพยายามนึกว่าควรจะตอบแม่ว่าอะไรดี แต่ก็นึกไม่ออก เมทิตย์ก็ไม่ได้มีทีท่าชอบฉันอย่างจริงจัง แต่แค่สนิทกันมากขึ้นเสียมากกว่า
“อย่าเสียเวลานานนา ถ้าไม่มีวี่แววก็ไปหาคนใหม่เถอะ คนมันจะสปาร์คกันอะ มันก็สปาร์ค ไอ้เรื่องน้ำหยดลงหินทุกวันน่ะมีแต่ในคำคม หยดให้ตายก็ไม่กร่อนหรอก”
ฉันได้แต่กลืนน้ำลายอย่างสงสารตัวเอง
“ก็ว่าจะลองดูสักหน่อยอะแม่”
“สักหน่อยของเธอนี่มันหน่อยแค่ไหน”
“สองเดือน”
ฉันตอบหลังจากนิ่งนึกไปพักหนึ่ง ใจนึกไปถึงคำขาดที่ชวินเคยให้ และคำพูดที่แม่เพิ่งจะบอกมาเมื่อกี้ สองเดือนก็น่าจะพอแล้วนะที่จะพิสูจน์ว่าเขายังเหลือหัวใจรักให้ฉันหรือเปล่า
“ถ้าสองเดือนแกจีบผู้ชายไม่ติด แกก็ย้ายไปอยู่แอลเอกับฉันนะ”
“แม่!”
********************************************************
นวนิยายเรื่องนี้เข้าร่วมการประกวด #ปั้นหมึกcontest
ผมเขียนโดยใช้นามปากกา "กิตติศักดิ์ คงคา" (อีกนามปากกาหนึ่งของ นายพินต้า)
การตัดสินนับคะแนนจากยอด view และยอด like ด้วย
หากใครรักใครชอบเรื่องนี้ อย่าลืม กด like , comment หรือแวะเข้ามาอ่านกันบ่อย ๆ นะ
ลง 1 ตอน / 1 วัน
หากวันไหนงดจะแจ้งล่วงหน้าที่ twitter : นายพินต้า - NINEPINTA จ้า
^ ^ ขอให้ความรักสถิตอยู่กับคุณ ^ ^