ตอนที่ 04 เอาคืน
Natee Part
ผมก้มตัวลงไปหยิบกลีบดอกบัวที่ร่วงหล่นลงบนพื้น แตะปลายนิ้วลงบนรอยช้ำแผ่วเบาพลางถอนหายใจหนัก ไม่รู้ว่าต้องใช้วิธีไหนน้องถึงจะยอมคุยกันดี ๆ สักครั้ง
ยังไม่ทันจุดประกายความคิดใหม่ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดก็ดึงความสนใจไปจากผมเสียก่อน ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่ปรากฏรายชื่อหรือแม้แต่ตัวเลขสิบหลัก
[ระวังตัวมึงไว้ให้ดี] เสียงแหบแห้งฟังดูข่มขู่ พูดเพียงเท่านั้นก็ตัดสายไป ทิ้งร่องรอยความสงสัยเอาไว้ให้ผมได้ขบคิด
ผมมองบานประตูไม้สีอ่อนชั่วครู่ หมุนเท้าเพื่อเบี่ยงทิศทางแล้วสาวเท้าไปตามโถงทางเดิน กดเรียกลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นล่างก่อนจะกดต่อสายหาพ่อทันที
[ทางนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ผมกำลังจะเข้าไป] ผมกดวางสาย หยิบหมวกกันน็อกใบเก่งขึ้นมาสวมพร้อมวาดขาขึ้นคร่อมสปอร์ตทัวร์ริ่งสองลูกสูบ ก่อนพา BMW R1250 RT ทะยานไปข้างหน้า
ผมโทรสั่งให้ลูกน้องนำมาจอดไว้ให้หลังจากทิ้งซูเปอร์คาร์ลูกรักไว้ที่ร้านกาแฟ
ผมสาวเท้าเข้าไปในอาคารลูกเต๋า ตรงไปยังลิฟต์ผู้บริหาร ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นบริษัทนักสืบเอกชนแต่ยังเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งของประเทศด้วย หากมองจากด้านหน้าจะเห็นอาคารทรงลูกบาศก์สองลูกช้อนทับกัน ตรงกลางลานจะมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ พื้นที่ด้านข้างทั้งสองฝั่งประดับตกแต่งไปด้วยพื้นหญ้านำเข้าจากญี่ปุ่นและต้นไม้ขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นจุดพักผ่อนช่วงพักเที่ยงของพนักงาน
บานประตูเลื่อนเปิดที่ชั้น 15 สองเท้าก้าวมาหยุดอยู่หน้าห้องของท่านประธาน ผมพยักหน้าน้อย ๆ เป็นการทักทายผู้ช่วยเลขา ยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ ก่อนเปิดเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาต พ่อเงยหน้าจากกองเอกสารบนโต๊ะขึ้นมามองผมด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“ได้ข้อมูลมั้ยครับ”
“เป็นเบอร์ใช้แล้วทิ้ง ไม่เหลือร่องรอยให้ตามต่อได้เลย” พ่อส่ายหน้า มือกร้านโลกยกขึ้นมาลูบใบหน้าด้วยความเคร่งเครียด
“ตอนนี้เหลือร่องรอยอะไรให้เราสืบหาได้บ้าง” ผมไม่คิดว่าพวกมันจะเก็บกวาดได้เรียบร้อยขนาดนั้น ขอเพียงแค่มีจุดเล็ก ๆ ให้เชื่อมโยง ผมเชื่อว่าอีกไม่นานหนูที่หลบซ่อนอยู่ในรูจะต้องโผล่หางออกมาให้เห็น
พ่อยื่นกระดาษแผ่นเล็กมาตรงหน้า ผมจ้องมองตัวเลขที่อยู่บนกระดาษก่อนเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกง
“ผมจะไปเอง”
“ระวังตัวด้วย” ผมพยักหน้าให้พ่อก่อนกลับออกมาขึ้นคร่อม BMW R1250 RT แล้วบิดคันเร่งไปตามเส้นทางที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้น
สปอร์ตทัวร์ริ่งจอดลงหน้าโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง การตกแต่งเน้นสีสันสะดุดตาชวนให้นึกถึงขนมลูกกวาดหลากสีในวัยเด็ก หน้าทางเข้ามีพนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนคอยเดินเช็กความเรียบร้อย มองเลยเข้าไปยังห้องริมสุด รถญี่ปุ่นติดฟิล์มทึบรอบคันกำลังถอยออกมา ขับเลยจุดที่ผมซ่อนตัวอยู่ไปยังซอยคับแคบที่ถัดจากที่นี่ไปหนึ่งซอย ผมตามไปโดยทิ้งระยะห่างไม่ให้ผิดสังเกต รถสีดำมันปลาบหยุดลงหน้ารั้วเหล็กที่เริ่มมีสนิมเกรอะกรัง ก่อนจะมีชายรูปร่างสูงใหญ่เดินมาเปิดประตูรั้ว ผมมองเลยเข้าไปด้านในรั้วเพื่อหาความผิดปกติก่อนหัวคิ้วจะขมวดมุ่นจนเป็นปม เมื่อเห็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งเปิดประตูออกมารับของจากมือชายฉกรรจ์ไปถือไว้แล้วเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน
“มึงมีเรื่องอะไรกับอชิ” ผมชะงักช้อนที่กำลังจะตักข้าวผัดหมูเข้าปาก เหลือบสายตาขึ้นไปมองหน้าพระรามก่อนตอบปัด
“ไม่มีอะไร”
“กูให้โอกาสมึงตอบอีกรอบ” อีกฝ่ายยกมือขึ้นกอดอก ใช้แววตาดุดันจ้องจับผิด
ผมรวบช้อนวางลงบนจาน มองหน้าดุ ๆ ของมันอย่างชั่งใจว่าควรพูดความจริงมากน้อยแค่ไหน สุดท้ายจึงตัดสินใจบอกความจริงออกไป เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ต้องด่าผมอยู่ดี
“กูเอาเปรียบน้องนิดหน่อย” ผมถูฝ่ามือชื้นเหงื่อไปมา เตรียมใจรับคำด่าที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า
“นิดหน่อย?” เสียงเข้มถามกลับ ผมจึงเปลี่ยนคำพูด
“ความจริงก็เอาเปรียบเยอะเหมือนกัน”
“เยอะ?” แม่ง ผมกลัวมันมากกว่ากลัวพ่อตัวเองอีก
“มึงจำวันที่เราไปกินหมูกระทะกันได้มั้ย”
“อืม” มันพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ
“วันนั้นกูพาน้องกลับเพนต์เฮ้าส์เพราะมีเรื่องปันเข้ามาพอดีก็เลยขอให้น้องอยู่เป็นเพื่อน กูดื่มกับน้องนิดหน่อย”
“เข้าเรื่อง”
“กูมีอะไรกับน้องเพราะอยากประชดปัน พอน้องตื่นขึ้นมาเห็นกูทะเลาะกับปันก็เลยโกรธ”
“ไอ้เหี้ยที!”
“เออ กูเหี้ย ตอนนั้นกูทำไปแบบไม่คิด แต่ตอนนี้กูโคตรรู้สึกผิดเลย” ตอนนั้นผมแค่เห็นว่าน้องน่ารัก ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าอยากประชดแฟน ผมอยากให้ปันเจ็บแบบเดียวกับที่ผมเจ็บ แต่กลับลืมนึกถึงความรู้สึกของใครอีกคน
“มึงขอโทษอชิหรือยัง” เสียงติดดุดึงสายตาผมให้กลับไปสนใจคู่สนทนาอีกครั้ง
“ขอโทษแล้ว แต่น้องไล่กูไปตาย”
“สมควร” ผมไม่มีอะไรจะเถียง เพราะสิ่งที่ผมทำกับน้องมันสมควรแล้วที่อีกฝ่ายจะเกลียดจนไม่อยากมองหน้า ต่อให้น้องจะไล่ผมไปตายอีกสิบครั้งผมก็จะก้มหน้ารับด้วยความยินดี
“น้องเศร้าให้มึงมาถามกูเหรอ” ปกติมันไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น นอกเสียจากว่าเรื่องนั้นร้ายแรงจนมันทนอยู่เฉยไม่ได้
“อืม ขอโทษแล้วก็เลิกยุ่งกับอชิซะ กูไม่อยากให้เด็กดื้อคิดมาก” ผมจ้องหน้ามันกลับ สองคิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม
ผมไม่อยากเลิกยุ่งกับน้อง
“มึงตามตอแยอชิเพราะอะไร”
“กู...อยากรับผิดชอบ”
“เพื่ออะไร” มันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม “ถ้าแค่รู้สึกผิดมึงก็ปล่อยเขาไปเถอะ เขาบอกมึงเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องการให้มึงรับผิดชอบ”
ผมเก็บเอาคำพูดของมันมาคิด เฝ้าถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าทำไมถึงต้องเสนอความรับผิดชอบทั้งที่น้องไม่ต้องการ ตั้งแต่วันที่น้องไล่ผมออกจากคอนโดนับดูก็เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ผมไม่กล้าเอาหน้าหนา ๆ ไปให้น้องเห็น เจอกันทีไรอีกฝ่ายก็เอาแต่เดินหนี คุยยังไม่ถึงสามคำหมัดเล็ก ๆ ก็ตรงเข้ามากระแทกหน้าผมแล้ว ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ขอโอกาสแก้ตัวเลยสักครั้ง
ผมหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันรอบเอวสอบไว้ ก่อนพาตัวเองเดินออกมาจากห้องน้ำ ในสมองก็ขบคิดไปด้วยว่าพรุ่งนี้จะใช้วิธีไหนง้ออชิดี หลังกลับมาจากค่ายอาสาน้องก็เหมือนจะยอมคุยด้วย แต่พอเอาเข้าจริงก็ยังแยกเขี้ยวขู่ฟ่อใส่ผมไม่เลิก เรื่องก็ผ่านมาตั้งสองเดือนกว่าแล้ว ยังจะโกรธเกลียดกันมากมายอยู่อีก แสดงความจริงใจให้เห็นไปก็ตั้งเยอะ ทำไมถึงยังไม่ยอมให้อภัยกันสักที
พลั่ก!
‘โอ๊ย อชิ ถีบพี่ทำไมครับ’ ผมลูบก้นตัวเองป้อย ๆ มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าหงอย ๆ
‘ไปนอนที่อื่นเลยนะ’ น้องพูดเสียงเขียว จ้องผมเขม็งจนตาแทบถลน
‘มันมีมุ้งแค่หลังเดียว อชิจะให้พี่ไปนอนไหนครับ’ ผมอุตส่าห์ใช้ความหน้าด้านลากน้องมานอนด้วยได้แล้วแท้ ๆ แต่กลับถูกอีกฝ่ายไล่ให้ไปนอนที่อื่น
‘จะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของพี่ แต่อย่ามานอนใกล้ผม’ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมถึงใจแข็งได้ขนาดนี้นะ ผมไม่รู้จะง้อน้องด้วยวิธีไหนแล้ว ถึงขนาดตามมาเข้าค่ายอาสาด้วยเพราะอยากอยู่ใกล้น้อง แต่น้องกลับเอาแต่ผลักไส ไม่ไล่ให้ผมไปตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว
‘อชิครับ’
‘อะไร!’ ผมหน้าสลดเพราะโดนน้องแหวใส่ ห้าวจังเลย ตัวก็เล็กนิดเดียว เห็นแล้วอยากกอดชะมัด
‘ขอนอนด้วยนะครับ’ ผมใช้ความหน้าด้านอ้อนขอความเห็นใจ น้องจ้องผมนิ่ง สักพักก็หยิบหมอนมาวางกั้นกลางไว้
‘ข้ามเขตมาเมื่อไหร่ ผมจะเอาหมอนอุดจมูกพี่ให้ตายไปเลย’ น้องชูกำปั้นน้อย ๆ มาตรงหน้าก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้ ผมมองแผ่นหลังเล็กแล้วยกยิ้มบางกับความดื้อของอีกฝ่ายในความมืด
ผมหัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อหกวันก่อน เด็กอะไรชอบใช้ความรุนแรง แต่ก็น่ารักชะมัด
สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ผมไม่วางตา รอยยิ้มขบขันถูกแต่งแต้มบนใบหน้าก่อนเสียงกดชัตเตอร์จากโทรศัพท์หลายเครื่องจะดังแทรกเสียงหัวเราะ ผมพาร่างที่อยู่ในชุดมาสคอตหมีสีน้ำตาลมาหยุดอยู่หน้าร้านกาแฟใกล้มหา’ ลัย มือข้างหนึ่งถือดอกไม้ช่อโต ส่วนอีกข้างก็ถือแผ่นกระดาษที่เขียนคำขอโทษเอาไว้ ผมขยับหัวมาสคอตให้เข้าที่ก่อนหันไปส่งสัญญาณให้เพื่อนเริ่มแผนการที่เตี๊ยมกันเอาไว้
“อชิมานี่เร็ว” น้องเศร้าจูงมืออชิเดินตรงมาหาผมพร้อมผลักบานประตูออกมานอกร้าน
ผมมองผู้ร่วมแผนการด้วยความเอ็นดู ทั้งที่น้องเศร้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอชิโกรธผมเรื่องอะไร แต่กลับเต็มใจช่วยเหลือเต็มที่เมื่อผมเอ่ยปากขอร้อง
“มึงจะพากูไปไหนเนี่ย”
“พามาดูพี่หมี” เสียงหวานตอบเพื่อนพลางมองมาทางผมด้วยรอยยิ้มกว้าง
“หน้ากูเหมือนคนอยากดูหมีเหรอ” คนตัวเล็กกลอกตาใส่เพื่อน หมุนกายตั้งท่าจะเดินกลับเข้าไปในร้าน ผมรีบใช้อุ้งมือหมีแตะไหล่เขาไว้ ชี้นิ้วมาที่แผ่นกระดาษที่เขียนคำว่า ‘ขอโทษครับ’ ด้วยลายมือหวัด ๆ พร้อมกับยื่นช่อดอกไม้ไปตรงหน้าน้อง
อชิมองผมตาขวาง ยื่นมือมากระชากช่อดอกไม้ไปจากมือผมแล้วฟาดใส่หัวผมไม่ยั้ง ดีที่ผมใส่หัวหมีอยู่ไม่อย่างนั้นอาจจะมีเลือดตกยางออก
“บ้านพี่สอนให้เอาดอกหน้าวัวมาง้อคนเหรอ อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ”
“อชิ สงสารพี่นที” เด็กดื้อของไอ้รามดึงแขนเพื่อนไว้เมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะฟาดช่อดอกไม้ใส่ผมอีกรอบ
“มึงต้องสงสารกูสิ จะไปสงสารพี่มันทำไม”
“แต่อชิทำร้ายพี่นทีนะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วยเลยได้ตาขวาง ๆ กลับมาเป็นของรางวัล
“แต่พี่มันทำไม่ดีกับกูก่อน”
“งั้นเศร้าไม่สงสารพี่นทีแล้วครับ” อ้าว
ผมได้แต่หัวเราะในลำคอกับความเปลี่ยนใจเร็วของอีกฝ่าย สมกับเป็นเด็กดื้อของไอ้รามจริง ๆ
คนตัวเล็กชี้นิ้วใส่ผมก่อนเดินหนีไปขึ้นรถแท็กซี่ ทิ้งผมไว้กับช่อดอกไม้ที่เหลือแต่ก้านเพราะกลีบดอกพากันร่วงลงไปนอนอยู่บนพื้นหมดแล้ว
“เละมั้ยล่ะมึง” สกายหัวเราะจนตัวงอก่อนตบมือลงบนไหล่ผมคล้ายปลอบใจแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันกำลังสมน้ำหน้าผมมากกว่า
“เละ ดอกไม้กูเนี่ย เละหมดแล้ว” ผมถอดหัวมาสคอตออก มองกลีบดอกไม้บนพื้นด้วยสีหน้าหงอย ๆ
“สมควรไอ้เหี้ย ดอกไม้มีเยอะแยะไม่ซื้อ เสือกซื้อดอกหน้าวัว น้องเขาไม่กระทืบมึงก็บุญแล้ว” ผมก็แค่เห็นว่ามันสวยดี
“ดอกหน้าวัวไม่ดีตรงไหนวะ”
“คือ...คนไทยเขาถือน่ะครับ ว่ามันเป็นดอกไม้ที่เอาไว้ใช้ประดับในงานศพ” ผมหน้าเหวอเมื่อน้องเศร้าพูดจบ
“แต่จริง ๆ ฝรั่งเขาก็ใช้แทนการบอกรักนะเว้ย กูว่ามันอยู่ที่ความเชื่อว่ะ แต่ไอ้สัด คราวหน้ามึงเลือกดอกที่มันไม่สุ่มเสี่ยงได้มั้ยวะ” ทำไมการจะง้อใครสักคนมันถึงได้ยากขนาดนี้วะ
ผมได้แต่ยืนคอตก ไม่รู้ว่าน้องจะโกรธผมมากกว่าเดิมหรือเปล่า
“เด็กดื้อกลับกันเถอะครับ” ไอ้รามมองหน้าผมแล้วส่ายหน้าเหมือนเหนื่อยใจก่อนหันไปยิ้มหวานให้เด็กดื้อของมัน ไอ้เหี้ยขนลุก
เมื่อก่อนมันเคยยิ้มที่ไหน ทำหน้าเหมือนโกรธคนทั้งโลกตลอดเวลา
“พี่รามครับ เศร้าอยากกินพุดดิ้งมะตูมอีก”
“เดี๋ยวพี่สั่งกลับบ้านให้ครับ”
“น้องเศร้าอยากกินพุดดิ้งเหรอครับ เดี๋ยวพี่กายเหมาให้หมดร้านเลยครับ” ไอ้กายยื่นหน้าสลอนไปคุยกับน้องเศร้า ก่อนจะรีบหดคอกลับมาเมื่อไอ้รามตวัดสายตามามองตาขวาง
“เสือก”
“ขอโทษจ้า” มันยกมือไหว้ท่วมหัวแล้วหัวเราะแหะ ๆ
ผมส่ายหน้าเอือมระอาใส่มัน รู้ว่าไอ้รามหวงน้องเศร้าขนาดไหน มันก็ยังเอาหน้าไปเสนอให้โดนด่าอยู่ได้
ผมทิ้งตัวลงบนโซฟา มองช่อดอกไม้ในมือแล้วได้แต่ถอนหายใจ พลางขบคิดจนสมองพันกันยุ่งเหยิงว่าพรุ่งนี้ผมจะง้อน้องด้วยวิธีไหนดี ในเมื่อทำมันมาเกือบทุกทางแล้วไม่ได้ผล ก็คงเหลือทางเดียวแล้วล่ะ จับปล้ำแม่งเลย
“อชิครับ” ผมมาดักรอน้องหน้าห้อง กลัวว่าถ้าดักรอหน้าคอนโดน้องจะเรียกให้ยามมาหิ้วปีกผมออกไปก่อนจะทันได้พูดจนจบประโยค
อีกฝ่ายกลอกตามองบนแล้วจ้องมองผมราวกับเบื่อหน่ายกันเต็มทน
“พี่ไม่มีที่ชอบไปหรือไง มาตามตอแยผมอยู่ได้”
“มีครับ” คอนโดน้องนี่แหละคือที่ชอบของผม
“ไปให้พ้นหน้าผมเลยนะ” น้องแตะคีย์การ์ดเข้ากับประตู หันมาขู่ฟ่อใส่ผมก่อนผลักบานประตูเข้าไป
ผมรีบใช้มือดันประตูไว้ก่อนที่มันจะปิดลงแล้วแทรกตัวตามเข้าไปข้างในห้อง
ผมจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตแล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ต้องทำยังไงอชิถึงจะยอมยกโทษให้พี่ครับ”
“ให้ผมกดพี่คืนสิ แล้วผมจะยกโทษให้”
***
เอาแล่ววว
หืดหาดบอยโดนแล่วววว
โดนกดคืนแน่ ก๊ากกกก
#ข้ามฟ้ามาหานที
Twitter >> https://twitter.com/BetaBeetaaa
เพจ >> https://www.facebook.com/BetaBeetaaa
Facebook >> https://www.facebook.com/beta.bee.188/