บทที่ 36
“วันนี้ซื้ออะไรไปทำกินกันดีน๊า เป็นเอกเป็นหนึ่งอยากกินอะไรลูก…มันบดไหมครับเดี๋ยวป๊าทำให้กิน”
“เอ้อะ!”
ผมถึงกับหลุดขำเมื่อเป็นเอกแฝดพี่ยิ้มตอบกลับป๊าตัวเองราวกับเข้าใจในสิ่งที่ป๊าพูด ตอนนี้เจ้าแฝดทั้งสองอายุแปดเดือนกับอีกสองสัปดาห์ วันนี้พวกเราสี่คนพ่อแม่ลูกเลยออกมาเดินเล่นที่ห้างใกล้บ้านโดยทั้งสองแสบถูกใส่ลงในเป้อุ้มเด็กแบบฮิปซีทอยู่บนตัวพวกผมด้วยสีหน้าแววตาที่ตื่นตาตื่นใจใช่ย่อย
“น้ำลายลูกไหลแล้วป๊า เช็ดน้ำลายออกให้ลูกหน่อย”
ผมยื่นผ้าผืนเล็กให้ขุนศึกไปเช็ดน้ำลายที่ไหลเลอะเสื้อเจ้าแฝดพี่เป็นทาง เป็นหนึ่งเมื่อเห็นผมยื่นของบางสิ่งให้ป๊าตัวเองก็เอี้ยวหน้ามองตามเล็กน้อย พยายามเอื้อมมือเพื่อจะไขว่คว้าสิ่งนั้นเข้าหาตัวเองตามวัยของเด็กหนึ่งขวบที่เริ่มซุกซนอยากรู้อยากเห็นไปหมดเสียทุกอย่าง
“ปา!”
เสียงของเจ้าลูกชายตัวน้อยบนตัวผมจู่ ๆ ก็ส่งเสียงออกมาด้วยคำว่าป๊าเป็นครั้งแรก ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองขุนศึกที่กำลังยืนนิ่งค้างกับสิ่งที่เจ้าลูกชายคนเล็กร้องเรียกเมื่อครู่ ผมก้มหน้าลงมองเป็นหนึ่งที่ตอนนี้นั่งมองผมตาแป๋วราวกับตุ๊กตาล้มลุกก็ไม่ปาน
“มะ มี๊ได้ยินอย่างที่ป๊าได้ยินไหม เมื่อกี้เป็นหนึ่งเรียกป๊า”
น้ำเสียงตกใจของขุนศึกพูดขึ้นในระดับเสียงที่ดังกว่าปรกติ แต่ดีหน่อยที่พวกเราสี่คนยืนกันอยู่ลานจอดรถของห้างทำให้ผู้คนบริเวณโดยรอบตอนนี้มีไม่มากเท่าไหร่
“ได้ยิน เป็นหนึ่งเรียกป๊าอีกทีสิลูกป๊าดีใจใหญ่เลยเห็นไหม”
มือซ้ายผมคอยตบตูดให้เจ้าแฝดคนน้องส่วนมือขวายกขึ้นลูบหัวทุย ๆ ที่เริ่มมีผมดกมามากขึ้น ผมเอื้อนเอ่ยพูดกับเป็นหนึ่งเพื่อให้ลูกชายลองเรียกป๊าใหม่อีกครั้งและผลลัพธ์ที่ได้ก็พาลทำให้คุณพ่อถึงกับยิ้มหน้าบานเป็นจานกระด้ง
“ปา! ปา!”
คราวนี้ไม่ใช่แค่เป็นหนึ่งที่พูดแต่กลับเป็นฝั่งเป็นเอกก็พูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำให้ผมกับขุนศึกต้องเงยหน้ามองกันด้วยความอึ้งทึ่งที่ลูกชายฝาแฝดสองคนช่างน่ารักอะไรขนาดนี้ ส่วนคนพ่อโดนลูกขานเรียกก็ยิ่งหลงเข้าไปใหญ่
“ซื้อของทำกับข้าวเสร็จเดี๋ยวป๊าพาพวกหนูไปชอปปิงดีกว่า เหมาทั้งร้านเลยเดี๋ยวป๊าจ่ายเอง”
เป็นไปตามคาดขุนศึกตกหลุมพรางเจ้าแฝดไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่และครั้งนี้ดูเหมือนคุณพ่อสายเปย์คนนี้จะพาลูกชายซื้อเสื้อผ้าเด็กแบรนด์ดังอีกแน่ ถึงแม้เสื้อผ้าแบรนด์ดังเหล่านั้นจะถูกส่งมาให้ถึงหน้าบ้านตามสมาชิกระดับวีวีไอพีในนามของเจ้าตัวกับผม แต่วันนี้เจ้าลูกชายดันทำให้คุณพ่อใจอ่อนระทวยไปมากและดูจากทรงคุณพ่อแล้วนั้นคงใช้เงินเป็นเศษกระดาษให้กับเจ้าแฝดสองคนนี้แบบไม่มียั้งอีกตามเคย
สายตาของคนทั่วไปต่างจับจ้องมองมายังชายหนุ่มสองคนที่แบกลูกน้อยหน้าตาเหมือนกันเดินเข้าห้าง หากถามว่าประหม่าไหมก็ต้องมีบ้างแต่ไม่ได้มากเหมือนครั้งแรก สองเท้าของขุนศึกกับผมเดินตรงไปยังโซนซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างกันก่อนเพื่อซื้อวัตถุดิบบางอย่างที่มันขาดสำหรับการทำอาหารมื้อเย็นของเจ้าลูกชายฝาแฝด เพราะมื้อค่ำนี้ขุนศึกตั้งใจจะทำกับข้าวให้ลูกกิน
“ขาดอะไรบ้างนะมี๊ แคร์รอต มันเทศ แล้วก็อะไรน๊าช่วยป๊าคิดสิเป็นเอก”
“แอ้!! อุ๊!!”
“อ่า ถั่วลันเตา….โอ๊ะ ลูกชายป๊าทำไมมันเก่งอย่างนี้เนี่ย เก่งได้ป๊าจริง ๆ”
ไม่พูดเปล่าสามีของผมยังก้มลงไปฟัดหัวทุยของเจ้าเป็นเอกด้วยความมันเขี้ยว จากนั้นก็วางวัตถุดิบลงในตะกร้าใบเล็กเนื่องจากของที่ซื้อมีไม่มากเพราะจุดประสงค์หลักของเราคือมาซื้อวัตถุดิบทำอาหารให้เจ้าแฝดโดยเฉพาะ
“เฮ้! เฮ้! ขุนศึก! ขุนศึกใช่ไหม!”
แต่ทว่าระหว่างที่ผมกับขุนศึกยืนเลือกผักเพื่อจะนำไปต้มให้เจ้าแฝดกิน เสียงของหญิงสาวเอ่ยทักเป็นภาษาจีนก็ดังอยู่ด้านข้างตัวผม จังหวะที่ผมเอี้ยวตัวหันไปมองก็ต้องคิ้วขมวดขึ้นเมื่อบุคคลที่เรียกชื่อสามีผมนั้นดันเป็นแฟนเก่าของพ่อเจ้าแฝด…
“เจอกันอีกแล้วนะ ฉันบอกแล้วว่าเธอจะต้องเจอกับฉันอีกรอบ…”
สองแขนโอบกอดเป็นหนึ่งอัตโนมัติและถอยห่างออกจากผู้หญิงตรงหน้า ถึงแม้ผมจะจำชื่อของเธอไม่ได้แต่เหตุการณ์เมื่อครั้งนั้นผมจำได้ไม่มีวันลืม ขุนศึกเมื่อเห็นว่าคนที่เรียกตัวเองเมื่อครู่คือใครก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะราวกับไม่คาดคิดว่าจะเจออดีตคนรักเก่าที่นี่
“ซู่จิ่น นี่เธอมาอยู่ไทยตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ขุนศึกเอ่ยถามขึ้นเพราะคงจะสงสัยไม่น้อยแต่ในระหว่างนั้นเจ้าตัวก็เอี้ยวหน้าหันมามองผมเป็นระยะเพื่อเช็กปฏิกิริยาของผมว่ามีอะไรผิดปรกติไปหรือเปล่า แน่นอนว่าผมมีแต่ไม่ได้อะไรมากเหมือนครั้งก่อนที่งอนพ่อเจ้าแฝดไปนานนับหลายวัน อาจจะด้วยวุฒิภาวะของความเป็นแม่คนจึงทำให้มีเหตุและผลในการคิดวิเคราะห์มากขึ้น
“ฉันมาอยู่ไทยเข้าเดือนที่สี่แล้ว”
น้ำเสียงใสตอบกลับพร้อมช้อนสายตามองขุนศึกแวบหนึ่ง…
“อ้อ อื้ม…”
ส่วนขุนศึกตอบกลับไปแค่นั้นเพราะคงไม่อยากจะต่อบทสนทนาไปมากกว่านี้กลัวจะทำให้ผมไม่สบอารมณ์อย่างที่เคยเป็นเหมือนครั้งก่อน
“เอ่อ ฉันได้ยินแต่ข่าวว่าเธอกับภรรยามีลูกด้วยกัน ฉันตั้งใจจะหาทางแสดงความยินดีด้วยแต่ก็กลัวภรรยาของเธอจะมองฉันไม่ชอบเพราะเหตุการณ์ที่เซี่ยงไฮ้ครั้งนั้นฉันเสียมารยาทค่อนข้างมาก”
สำเนียงภาษาจีนถูกพ่นออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก ทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจกับบุคลิกของผู้หญิงตรงหน้าที่มันช่างแตกต่างไปจากครั้งก่อนราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“…”
“ฉันต้องขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะ หวังว่าเธอจะไม่เกลียดฉันไปแล้ว”
สายตาเว้าวอนส่งผ่านมาให้โดยที่ตัวผมโยกตัวไปมาเมื่อเจ้าแฝดคนน้องเริ่มดิ้นไม่หยุดคล้ายกับอยากจะออกไปจากวงสนทนาตรงนี้เสียอย่างนั้น แต่ทว่าในจังหวะที่ผมก้มมองลูกชายสายตาก็ดันไปเห็นหญิงสาวตรงหน้าที่ตอนนี้สวมชุดคลุมท้องสีฟ้า ผมตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าอดีตคนรักเก่าของสามีกำลังตั้งครรภ์และยังไม่ทันจะเปิดปากอะไรออกไปเสียงขานเรียกเป็นภาษาจีนของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของหญิงสาวท้องอ่อนตรงหน้าพวกผม
“ซู่จิ่น! หาเจอไหมครับถ้าไม่มีเดี๋ยวผมจะได้พาไปห้างอื่น”
หากให้ผมเดาก็คงจะเป็นสามีของเธอแน่นอน หญิงสาวใบหน้าหมวยจีนเอี้ยวหน้าไปยิ้มให้กับสามีก่อนจะหันกลับมายิ้มบาง ๆ ให้พวกผม เธอเบนสายตาจ้องมองมาที่ผมราวกับรอคอยคำตอบที่เจ้าตัวได้เอื้อนเอ่ยขอร้องออกไป แต่สำหรับผมตอนนี้คำว่าเกลียดไม่ได้เกิดขึ้นในใจผมแม้แต่น้อย เมื่อเธอเอ่ยปากขอโทษอย่างจริงใจกับการเสียมารยาทครั้งนั้นมีหรือที่ผมจะไม่รับ
“ไม่เป็นอะไรครับและยินดีด้วยสำหรับเด็กน้อยในท้องของคุณ”
ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนจะขอตัวพาเจ้าแฝดสองคนที่พร้อมใจกันร้องไห้ดังระงมทั่วห้างคล้ายกับโดนขัดใจที่จู่ ๆ ผมกับขุนศึกต่างพากันหยุดเดินเป็นเวลานานนับหลายนาที เมื่อพวกผมเริ่มพาเดินวนทั่วซูเปอร์มาร์เก็ตใหม่อีกครั้งแต่เจ้าแฝดก็ยังไม่หยุดร้องแถมยังเพิ่มระดับเสียงจนผู้คนบริเวณโดยรอบเริ่มหันมาให้ความสนใจและมองกันเป็นตาเดียว
“แอ้อออ!/แอ้อออ!”
“ป๊าจุกหลอกอยู่ไหน ป๊าได้หยิบมาไหมเอามาให้เจ้าแฝดที ชู่ว์ ไม่ร้องลูกไม่ร้อง”
ผมกับขุนศึกทำทุกวิถีทางไม่ว่าจะโยกตัวไปมาหรือพาเดินเล่นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหาย เหมือนกับเจ้าแฝดสองพี่น้องกำลังหงุดหงิดกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เหตุการณ์ที่โจทย์เก่าของป๊าดันเข้ามาทักทาย
“ชู่ว์ ไม่ร้องนะเด็กดี ไม่ร้องครับ ชู่ว์”
ขุนศึกก้มลงยัดเจ้าจุกหลอกเข้ามาปากของลูกชายทั้งสองพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นละมุนเพื่อให้เจ้าแฝดได้คลายจากความเครียด เมื่อเด็กทารกน้อยได้จุกหลอกไปดูดเล่นเสียงร้องไห้งอแงจึงหยุดลงทำให้บรรยากาศอันแสนสงบกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง สามีผมรีบเงยขึ้นปาดเหงื่อเมื่อเจอเข้ากับสถานการณ์คับขันอย่างเมื่อครู่เพราะปรกติเจ้าแฝดเวลาออกมานอกบ้านเคยร้องไห้ที่ไหน แต่วันนี้ดันออกมาเจอแจ็กพอตชุดใหญ่จากป๊าเลยประท้วงเสียเลย
ร้ายจริง ๆ ลูกมี๊…
“สงสัยเจ้าแฝดไม่ชอบเห็นโจทย์เก่าของป๊ามั้ง ดูท่าว่ามี๊คงจะมีสายส่องเอาไว้จับตามองป๊าในอนาคตแล้วล่ะที่รัก”
สิ้นประโยคบอกกล่าวของผมขุนศึกถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้มเมื่อเจอคำขู่ของเมียอย่างผม แถมเจ้าลูกชายฝาแฝดก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าหากเจ้าแฝดโตขึ้นไปและขุนศึกยังคงทำท่าทีแอบมีบ้านเล็กบ้านน้อยผมคงไม่ต้องจัดการเองเพราะดูจากการแผลงฤทธิ์ของเจ้าแฝดวันนี้แล้วนั้น
เอาเรื่องใช่ย่อย…
.
.
.
.
.
ขุนศึก P
‘แง้งงง!/แง้งงง!’
ตัวผมสะดุ้งตื่นทันทีเมื่อเสียงร้องไห้ของเจ้าแฝดเล็ดลอดผ่านออกมายังหน้าจอขนาดเล็กบนหัวเตียงที่ผมติดกล้องไว้สำหรับสอดส่องลูกชายโดยเฉพาะ
“อื้อ ป๊าลูกตื่นแล้วเหรอ”
น้ำเสียงงัวเงียของเมียที่กำลังนอนกอดซุกใต้วงแขนผมเงยหน้าขึ้นถาม ใบหน้าขาวเนียนที่ยังสวยไม่สร่างขนาดเป็นคุณแม่ลูกสอง ความสวยของแม่เจ้าแฝดมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะก้มลงฉกฉวยริมฝีปากบางอมชมพูไปหนึ่งทีต้อนรับอรุณยามเช้าของวันใหม่
“มี๊นอนต่อเถอะเดี๋ยวป๊าจะไปดูเจ้าแฝดเอง”
ผมพูดเสียงแผ่วพร้อมกับกระชับคนในใต้วงแขนให้แน่นขึ้น ดวงตากลมโตคล้ายกับแมวน้อยปรือตามองผมด้วยความเหนื่อยล้าจากการเลี้ยงดูเจ้าแฝดในทุก ๆ วัน ผมเลื่อนหน้าเข้าไปประทับรอยจูบกลางหน้าผากก่อนจะผละตัวเองออกจากเมียเพื่อไปดูลูกชายที่ตอนนี้ร้องไห้ดังระงมแข่งกันอยู่อีกห้องหนึ่ง
สองเท้าผมรีบเดินไปยังห้องเจ้าแฝดเมื่อเสียงร้องเริ่มดังขึ้นกว่าเก่า ผมสะบัดหัวไล่ความง่วงพร้อมกับหาวไปตลอดทาง นี่ขนาดผมตื่นเช้ามาดูลูกไม่กี่วันต่อสัปดาห์ยังรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้แล้วเมียผมที่ต้องเลี้ยงเจ้าแฝดทุกวันจะไม่เหนื่อยกว่าหลายร้อยเท่าหรืออย่างไรกัน
“มอนิ่งครับลูกชาย ป๊ามาแล้ว”
“แง้งงง/แง้งงง”
เมื่อได้ยินเสียงผมเอ่ยทักทายเจ้าแฝดก็ร้องไห้หนักกว่าเดิมราวกับกำลังไม่พอใจที่ผมเข้ามาหาช้า ผมรีบเดินเข้าไปยังเตียงเป็นเอกก่อนคนแรกและก้มลงไปอุ้มเด็กน้อยจ้ำม่ำมาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นจึงหันไปอุ้มเป็นหนึ่งแฝดน้องมาไว้ในอ้อมแขนเช่นกัน จนตอนนี้ผมมีลูกหมูตอนสองชีวิตมองหน้าตาแป๋วไปด้วยหยาดน้ำตา
“ติดมือมี๊เหรอลูก พวกหนูชอบให้อุ้มใช่ไหมครับ เช้านี้ป๊าจะดูแลพวกหนูเองอย่าดื้อกับป๊านะลูกรัก”
“เอ๊าะ!/ปะ!”
เสียงตอบสนองของเจ้าแฝดทำให้ผมถึงกับก้มลงไปฟัดพวงแก้มยุ้ยด้วยความมันเขี้ยวของลูกชายที่เริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อมากขึ้น เมื่อพูดคุยกับเจ้าแฝดเป็นอันเข้าใจกันดีแล้วผมจึงทำการวางเจ้าแฝดพี่ไว้บนเตียงและทำการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แฝดคนน้องก่อน ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวให้ลูกชายค่อนข้างนานพอควรเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงพาลงมานั่งเล่นเพื่อให้ผ่อนคลายสมองอยู่ชั้นล่างของตัวบ้าน
“สีฟ้า สีฟ้าไว้ระบายแบบนี้ดูนะลูก”
ผมก้มลงขีดสีชอล์กบนกระดาษเปล่าให้เจ้าแฝดที่นั่งอยู่บนพื้นในคอกกั้นเด็กได้ดู เพื่อสอนให้ลูกชายได้เรียนรู้การจำสีเพื่อพัฒนาสมองในตอนเช้าของวันหยุด
“แอ๊!!/อู๊!!”
เจ้าแฝดสองคนนั่งมองดูผมระบายสีอยู่สักครู่หนึ่งจึงเริ่มส่งสัญญาณเสียงอย่างพร้อมเพรียงกันมาให้ หวังต้องการชอล์กสีฟ้าที่อยู่ในมือผมไปไว้ในมือตัวเอง
“อยากได้หรือไงเรา อยากได้ทั้งสองคนงี้ป๊าจะทำไงล่ะ แบ่งคนละครึ่งแท่งก็แล้วกันจะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ”
“เอ๊อะ!!”
สองเสียงประสานพูดออกมาพร้อมกันทำเอาผมหัวเราะดังลั่นไปทั่วห้องนั่งเล่น ลูกชายตัวน้อยพยายามตั้งท่าไขว่คว้าเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือผมให้ได้จนผมทำการหักแบ่งครึ่งแล้วยื่นให้ลูกชายคนละครึ่งแท่ง เมื่อทั้งสองได้สิ่งที่ต้องการก็ต่างพากันยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจสุดขีด
“เดี๋ยวป๊าไปหยิบขวดนมให้ก่อนนะลูก เป็นเอกดูน้องด้วย”
“เอ๊าะ!!”
เสียงตอบกลับของแฝดพี่ทำให้ผมยิ้มกว้างไปกับความน่ารักของเจ้าลูกชายที่สามารถทำให้ผมหลงได้ทุกวัน ผมเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าแฝดทั้งสองและก้มลงฟัดแก้มยุ้ยเป็นพวงให้หนำใจแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากกรงกั้นเพื่อทำหน้าที่ชงนมแทนเมีย
ในระหว่างที่ยืนรอเครื่องชงนมอัตโนมัติเจ้าบูบู้ก็มายืนคลอเคลียผมไม่ห่าง จนผมต้องเอื้อมมือไปลูบหัวมันสองสามทีแล้วเดินไปหยิบถุงขนมให้เจ้าบู้ได้กินรองท้องก่อนที่เมียจะลงมาทำอาหารให้ลูกชายตัวโตกินด้วยตัวเอง เมื่อเจ้าบูบู้ได้สิ่งที่ต้องการมันจึงเดินคาบแท่งเนื้ออบกรอบหนีผมไปอย่างสบายใจ จากนั้นผมจึงเดินกลับไปคว้าขวดนมมาเขย่าแล้วหยดลงฝ่ามือตัวเองเพื่อเช็กอุณหภูมิให้เจ้าแฝดอีกที
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมจึงเดินออกไปหาเจ้าแฝดที่ตอนนี้คงจะเล่นกันอย่างสนุกสนานกันยกใหญ่ เมื่อความเป็นพ่อเข้ามาอยู่ในร่างผมเต็มตัวก็รู้สึกเหนื่อยไม่น้อย แต่ความเหนื่อยที่ได้เห็นลูกเติบโตไปในทุกวันก็มีความสุขที่ไม่สามารถหาจากที่ไหนได้อีก ยิ่งเช้าวันนี้ผมได้ตื่นมาทำหน้าที่พ่อที่ดีและทำหน้าที่สามีที่ดีให้กับเมียและลูกยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองไม่น้อย
“เป็นเอกเป็นหนึ่งกินนมละ…ลูก…ฮะ เฮ้ย!!!”
รอยยิ้มบนใบหน้าที่กำลังชื่นชมในความดีความชอบของตัวเองถูกเลือนหายวับไปกับตา ขวดนมสองขวดที่อยู่ในมือเกือบตกลงพื้นเมื่อลูกชายที่อยู่เบื้องหน้าตอนนี้มันช่างแตกต่าง
แตกต่างราวฟ้ากับเหว…
“ปะ!!/ปะ!!”
เจ้าแฝดทั้งสองนั่งหัวเราะกันอย่างชอบอกชอบใจ สีชอล์กที่อยู่ในมือถูกยกขึ้นขีดเขียนบนใบหน้าของตัวเองจนตอนนี้ทั้งหน้าเต็มไปด้วยสีฟ้าเต็มไปหมด ผมยืนนิ่งอ้าปากค้างด้วยความตกใจที่เจ้าแฝดเล่นงานผมแต่เช้าเสียแล้ว
“ป๊า ลูกกินนมหรือยัง!”
ใบหน้าผมรีบหันไปทางบันไดเมื่อเมียสุดที่รักและแม่ของเจ้าแฝดกำลังเดินลงมาด้วยใบหน้าที่สดใสกว้างเมื่อเช้า จังหวะหัวใจผมเต้นระรัวด้วยความกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ยิ่งเท้าของเมียแตะลงบนพื้นชั้นล่างผมถึงกับยกมือขึ้นปาดเหงื่อไปพร้อม ๆ กับเสียงหัวเราะของเจ้าแฝดที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของป๊าตัวเองว่ากำลังจะขาดในอีกไม่นาน
“มี๊มาแล้ว มอนิ่งครับลูกชาย เฮ้ย!!!”
ทันทีที่เมียสุดสวยเดินมาหยุดตรงหน้าผมแถมเขย่งเท้ามาจุ๊บปากก่อนจะเอี้ยวหน้าไปดูลูกชายในกรงกั้นขนาดใหญ่ จังหวะที่หันไปนั้นคับฟ้าถึงกับร้องเสียงหลงดังลั่นบ้านเพราะตอนนี้ใบหน้าของเจ้าแฝดถูกแต่งแต้มไปด้วยสีชอล์กจนไม่เหลือพื้นที่หน้าขาวใสของเด็กน้อยวัยหนึ่งขวบ
ไม่เหลือ…
ไม่เหลือเลย…
“ป๊าทำไมไม่ดูลูก! โอ๊ย! อะไรกันเนี่ย! ไปช่วยอาบน้ำให้ลูกเดี๋ยวนี้!!”
“คะ ครับผม…”
ใบหน้าของเมียบึ้งตึงทันควันและตะโกนใส่หน้าผมอย่างโมโห ไอ้ผัวอย่างผมจะทำอะไรได้ถ้าไม่ยืนกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จะให้ปริปากเถียงเมียก็ใช่เรื่องจึงทำได้เพียงยืนก้มหน้ารับผิดอย่างสงบเสงี่ยมพร้อมกับฟังคำบ่นของเมียที่พ่นออกมาในระหว่างเดินตรงไปหาลูกชายทั้งสองคน
ฉิบหาย…
ผมเนี่ยฉิบหาย…
.
.
.
.
.
ขุนศึก P
“อยู่บ้านก็ดูเจ้าแฝดดี ๆ ล่ะ ไม่ใช่เผลอเหมือนอาทิตย์ก่อน เดี๋ยวมี๊กลับมานะลูก”
ใบหน้าสวยของเมียก้มลงหอมแก้มเจ้าแฝดที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้กินข้าวสำหรับเด็กอ่อน ก่อนที่เมียจะเงยหน้าขึ้นจุ๊บปากผมเป็นคนสุดท้าย
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวป๊าจัดการเอง สบายมาก ขากลับแวะซื้อกาแฟให้ป๊าด้วยนะ ขอบคุณครับ”
“ไนโตรคาราเมลมัคคิอาโตเหมือนเดิมมี๊ไม่ลืมครับ…ไปละ ไม่เกินชั่วโมงเดี๋ยวมี๊กลับมานะ”
รอยยิ้มที่ปั้นแต่งเพื่อให้เมียคนสวยได้รู้สึกใจชื้นถูกส่งออกไป ผมยืนมองแผ่นหลังของแม่เจ้าแฝดที่กำลังเดินลับหายไปจากประตูบ้านจนสุดท้ายเมียผู้เป็นเสาหลักของการเลี้ยงเจ้าแฝดก็ไม่อยู่กับผมเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงท่าทาง ที่สื่อออกไปเมื่อครู่ว่าผมสามารถรับมือกับลูกชายสองคนได้นั้น
ผมโกหกทั้งเพ…
“แง้งงงงง!!/แง้งงงงง!!”
เสียงที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นตอนที่แม่เจ้าแฝดไม่อยู่มันก็เกิดขึ้นจนได้ เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วห้องครัว ทั้งบ้านตอนนี้แค่ผมและเหล่าแม่บ้านคนสวนก็ไม่มีใครมาทำงานเพราะวันนี้ดันเป็นวันอาทิตย์ ช่างเป็นวันที่เหมาะเจาะอะไรเสียอย่างนี้
“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”
เสียงลูกยังไม่วายจะทำให้เงียบลงได้เสียงลูกชายอย่างไอ้เจ้าบูบู้ก็ดันเห่าแข่งกับเจ้าแฝดเข้าไปอีก ในสถานการณ์คับขันแบบนี้และไร้เมียสุดแกร่งอย่างคับฟ้า ผมได้แต่ยืนกุมขมับตัวเองแล้วพลางคิดในใจว่าจะทำให้ใครหยุดร้องก่อนดีหนอ
ระหว่างหมากับคน…
“มากินขนมนี่มาบู้ เดี๋ยวป๊าให้ขนมตามมาเร็ว!”
“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”
“อย่าเห่าแข่งกับน้องได้ไหมไอ้บู้! สงสารป๊าเถอะขอร้อง มึงเห็นน้องร้องแล้วมึงจะร้องตามไม่ได้!”
ผมเดินตรงไปยังชั้นเก็บขนมของลูกชายตัวโต แท่งเนื้ออบกรอบถูกแกะออกจากถุงและก้มลงยื่นให้ไซบีเรียนตัวผู้กระโดดคาบและวิ่งไปนอนขดกินที่ประจำ
“แง้งงงงงงงงง!! แง้งงงงงงงงง!!”
เสียงงอแงของเจ้าแฝดเริ่มดังหนักขึ้นทำให้ผมต้องรีบยัดถุงขนมไอ้บู้ไว้ที่เดิมและวิ่งใส่เกียร์หมาไปหาเจ้าแฝดที่ตอนนี้ร้องไห้ปานจะขาดใจ
“เอะ ๆ ป๊ามาแล้ว กินข้าวกันดีกว่า ข้าวบดบรอกโคลีใครน๊า ของเป็นเอกกับเป็นหนึ่งค้าบปะป๊า”
เสียงสิบเริ่มทำงานในระหว่างที่วางถ้วยข้าวให้เจ้าแฝดได้เชยชมเล่น ใบหน้าแดงก่ำที่กำลังร้องไห้ออกมาอย่างสุดเสียงเหมือนโมโหหิว ผมยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาก็ถึงรู้ว่ามันเลยเวลาอาหารเช้าของลูกชายมาสองนาทีเข้าให้แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นช้อนคันเล็กสำหรับเด็กอ่อนจึงรีบตักข้าวขึ้นมาให้พอดีคำและเริ่มป้อนเข้าปากแฝดพี่ก่อนคนแรกตามด้วยเป็นหนึ่งแฝดน้องที่ขนาดตัวเล็กกว่าพี่คนค่อนข้างมาก
“ป๊าป้อนไม่ทันแล้วนะลูก กินช้า ๆ กันหน่อยสิ”
จากท่านประธานที่จับแต่ปากกาเซ็นอนุมัติเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านมาตลอดระยะสี่ปีเต็ม แต่วันนี้กลับต้องมาจับช้อนป้อนข้าวลูกแถมลูกที่ได้มาดันเป็นแฝดเสียด้วย การที่ป้อนข้าวเด็กแฝดในวัยหนึ่งขวบแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด
“ป๊ะ/ป๊ะ”
ใบหน้าผมยิ้มกว้างเมื่อเจ้าแฝดที่นั่งอยู่ในเก้าอี้เด็กเล็กกำลังปรบมือยิ้มใส่แถมเรียกผมอย่างสนุกสนาน…
“ว่าไงครับ”
“หม่ำ หม่ำ”
ลูกชายผมตากลมโตได้จากแม่มาอย่างกับแกะเอียงคอเล็กน้อยพยายามสื่อสารให้ผมได้รับรู้ว่าหิว ดูจากอุ้งมือน้อยเท่าฝาหอยเอื้อมออกมาปัดป่ายคว้าช้อนจากผมโดยเฉพาะเป็นเอกลูกชายคนโตแห่งตระกูลศิริเจริญสกุล
“ช้าหน่อยเป็นเอก ป๊ากำลังป้อนใจร้อนจริงเรา”
“แอ้!!”
ดูจากแววแล้วคนพี่คงแสบกว่าคนน้องใช่เล่น ผมป้อนข้าวใส่ปากเป็นเอกก่อนจะหันมาป้อนให้เป็นหนึ่งที่นั่งเอามือจุ่มถ้วยข้าวบดจนตอนนี้นิ้วมือเต็มไปด้วยข้าวสีเขียวจากผักบรอกโคลี แต่ถึงจะเลอะแค่ไหนผมก็ไม่คิดห้ามลูกชายตัวเองแม้แต่น้อยเพราะเป็นเรื่องธรรมดาของช่วงวัยที่อยากรู้อยากเห็นช่างสังเกตและอยากลองไปเสียทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
กับอีแค่นิ้วจุ่มข้าวสบายมาก…
เต็มที่เลยลูกป๊า…
“เดี๋ยวป๊าจะเดินไปหยิบขวดน้ำมาให้ เป็นเอกดูน้องแทนป๊าแป๊บนึงนะลูก”
ผมป้อนข้าวลูกชายทั้งสองใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงและอีกไม่นานแม่เจ้าแฝดก็จะกลับมา ผมบอกแล้วว่าการเลี้ยงดูเจ้าแฝดสำหรับผมนั้นสบายเพราะไม่มีอะไรซับซ้อนแค่ป้อนข้าว เจ้าลูกชายผมยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
มั้งนะ?…
“เอาะ!”
เมื่อเป็นเอกรับรู้คำสั่งตัวผมจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหันหลังเดินตรงไปยังชั้นวางขวดน้ำด้วยท่าทางสบายไม่รีบร้อน เมื่อภารกิจแรกในการป้อนข้าวลูกโดยไร้เมียคอยช่วยลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น มันช่างเป็นความภาคภูมิใจของผมเสียเหลือเกินเพราะผมนั้นเป็นทั้งพ่อเป็นทั้งผัวที่ดีให้กับลูกและเมียอย่างดีเยี่ยม พอเมียไม่อยู่ผมก็สามารถรับมือกับเจ้าแฝดได้อย่างน่าทึ่งอัศจรรย์ใจ
หรือเปล่า?...
เมื่อตัวผมได้สิ่งที่ต้องการและกำลังจะเตรียมตัวหันหลังกลับก็เกิดลังเลใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เพราะสายตาดันไปเห็นถุงขนมไอ้บู้ในระดับสายตา เมื่อความตั้งใจเปลี่ยนทิศทางร่างกายของผมจึงเดินเข้าไปแกะถุงขนมเพื่อหยิบของโปรดไอ้บูบู้ออกมาแล้วโน้มตัวยื่นแท่งขนมให้เจ้าแสบอีกตัวของบ้านไปคาบกิน เมื่อเจ้าลูกชายตัวโตได้สิ่งที่ปรารถนาจึงวิ่งหน้าตั้งคาบไก่อบกรอบไปนอนขดกินที่เดิม เมื่อผมให้ขนมเจ้าบู้เสร็จจึงหันตัวกลับไปหาลูกชายที่ตอนนี้เสียงของเด็กเล็กได้ประสานเสียงขึ้นอย่างพร้อมเพรียงราวกับกำลังสนุกกับบางสิ่งบางอย่างกันอยู่สองคน ยิ่งเสียงหัวเราะดังขึ้นมากเท่าไหร่มันยิ่งทำให้ผมอยากรู้ขึ้นมาว่าทำไมจู่ ๆ ลูกชายฝาแฝดถึงอารมณ์ดีเกินเบอร์ขนาดนี้
“หรือว่าจะกินอิ่มวะเลยอารมณ์ดี”
สองเท้ารีบคืบคลานเข้าไปยังบริเวณห้องนั่งเล่น ใบหน้าผมเปื้อนรอยยิ้มด้วยความภูมิใจที่สามารถทำให้ลูกชายทั้งสองอารมณ์ดีขึ้นได้เพราะสาเหตุมาจากกินข้าวอิ่ม หากทว่าความคิดเมื่อครู่กลับถูกฉุดให้ดำดิ่งลงอย่างกะทันหัน ขวดน้ำสองขวดตกลงพื้นด้วยความตกใจเมื่อสายตาผมเผชิญเข้ากับใบหน้าของสิ่งมีชีวิตที่เดิมทีหน้าลูกผมมันยังขาวใสแม้แต่ฝุ่นก็ไม่มีมาเกาะ
แต่ทว่าตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นหน้าเขียวด้วยข้าวบดบรอกโคลีและดูเหมือนเจ้าแฝดคนพี่ก็ดูจะสนุกกับการใช้มือที่จุ่มลงในถ้วยยกขึ้นมาละเลงบนใบหน้าของผู้เป็นน้อง จนตอนนี้เป็นหนึ่งนั่งเอี้ยวหน้ายิ้มแป้นหัวเราะอย่างชอบพอส่งมาให้ป๊าอย่างผมได้เชยชมเป็นขวัญตา
คับฟ้า…
เมียจ๋า…
ช่วยเฮียด้วย…