บทที่ 31
Rrrrr Rrrrr
“อื้อ…ป๊า…ป๊าโทรศัพท์ใครโทรเข้ามาแต่เช้า”
ผมบิดตัวเล็กน้อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียขึ้นในขณะที่เปลือกตายังคงปิดสนิทเพราะทนนอนฟังเสียงรบกวนนั้นไม่ไหวอีกต่อไป เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาไม่หยุดหย่อนและดังขึ้นหลายรอบจนผมต้องจำใจตื่นจากการนอนด้วยความรู้สึกรำคาญ
“อือ ไม่รู้ ของมี๊หรือเปล่า”
เสียงงัวเงียของอีกคนที่ยังไม่ตื่นเหมือนกับผมก็ดังขึ้นบริเวณต้นคอ ท่อนแขนแกร่งที่โอบเอวผมตลอดทั้งคืนก็รั้งเข้าหาเจ้าตัวโดยมีใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยเคราบาง ๆ ซุกลงมาตรงท้ายทอยผมโดยไม่สนใจที่จะพลิกตัวไปหาต้นต่อของเสียงแม้แต่น้อย
“ป๊าไปดูหน่อย มี๊เวียนหัวมากเลยขยับตัวไม่ได้”
ผมพูดออกไปทั้ง ๆ ที่เปลือกตายังคงหลับเพราะเมื่อครู่เผลอเปิดออกอากาศเวียนหัวก็เข้ามาปะทะผมทันที ขุนศึกเมื่อรับรู้ในสิ่งที่ผมบอกท่อนแขนหนาก็เลื่อนออกไปจากเอว เตียงเกิดอาการไหวตัวเล็กน้อยเมื่อคนร่างสูงของว่าที่คุณพ่อมือใหม่พลิกตัวเพื่อคลำหาเครื่องมือสื่อสาร
‘ฮัลโหลครับม๊า อาหมอนัดสิบโมง…ครับ ครับถ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวเข้าไปหา เป็ดย่างอบน้ำผึ้งใช่ไหม ร้านเดิมตรงเยาวราชผมจำได้ ครับ…’
เสียงขุนศึกดังขึ้นอยู่ด้านหลังในขณะที่ผมยังนอนตะแคงข้างกอดเจ้าบูบู้ที่กลายเป็นหมอนข้างประจำตัวผมไปโดยปริยาย หากถามว่าบ้านหลังใหญ่ที่ขุนศึกลงทุนซื้อมาให้ได้ใช้งานหรือเปล่าคงจะตอบยากไปเสียหน่อย แต่ถ้าถามว่าเจ้าบูบู้เคยเอาตัวเองเข้าไปสัมผัสพื้นผิวบ้านกี่ครั้งยังจะตอบง่ายเสียกว่า
‘แผล่บ แผล่บ’
“อื้อ บูบู้ อย่ากวนมี๊เวียนหัว”
ถึงปากจะบอกแต่ร่างกายผมกลับนอนแน่นิ่งให้ลิ้นของลูกชายตัวโตเลียทั้งใบหน้าให้สมใจอยาก แต่ด้วยขนาดของเจ้าบูบู้เริ่มตัวใหญ่ขึ้นไม่ใช่ความสูงเพียงอย่างเดียวแต่ขนาดของน้ำหนักยังเพิ่มขึ้นหลายกิโลทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
“บู้! หยุดเดี๋ยวนี้แกกำลังทำให้น้องตื่น…จะกินไหมขนมถ้ากินก็มานี่ ไก่แท่งอบกรอบของใครน๊า”
ประโยคแรกเจ้าลูกชายตัวดียอมฟังเสียเมื่อไหร่ราวกับรสชาติของหน้าผมตอนเช้ามันอร่อยมากกว่าขนมเสียอย่างนั้น แต่เมื่อขุนศึกสัมผัสกับถุงขนมจนเกิดเสียงดังเจ้าสิ่งมีชีวิตสี่ขาก็ผละออกจากหน้าผมและรีบกระโดดข้ามไปหาต้นต่อเสียงอีกฝั่งด้วยความรวดเร็ว
“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”
“หมอบ!”
สำเนียงภาษาจีนของคุณสามีเริ่มต้นสอนเจ้าลูกชายตัวโตขึ้นผมจึงค่อย ๆ พลิกตัวอย่างเชื่องช้าในขณะที่เปลือกตายังคงหลับอยู่
“ขอมือ ขอมือหน่อย เอามือมาให้ป๊าก่อนแล้วถึงจะให้กิน”
เปลือกตาผมค่อย ๆ ลืมขึ้นเมื่อน้ำเสียงทุ้มของขุนศึกกำลังสอนเจ้าบูบู้ด้วยคำสั่งของภาษาบ้านเกิด ม่านตาเมื่อกระทบกับแสงแดดภาพที่เลือนรางจากช่วงแรกเริ่มฉายแววชัดขึ้นส่วนอาการเวียนหัวเมื่อครู่ก็ค่อนข้างจะทุเลาลง
“ดีมาก เก่งมาก มากินข้างล่างห้ามกินบนที่นอน!”
บทพูดภาษาจีนของชายหนุ่มตรงหน้าที่เปลือยกายท่อนบนส่วนท่อนล่างสวมใส่เพียงกางเกงวอร์มเหมือนอย่างทุกคืนที่เจ้าตัวชอบใส่กำลังยื่นแท่งไก่ให้แก่ลูกชาย ส่วนเจ้าบูบู้ลูกชายจอมซนรีบกระโดดลงตามคำสั่งพร้อมกับใบหูที่ตั้งขึ้นแล้วตรงไปยังพื้นพรมขนนุ่มที่ถูกปูไว้ทั่วพื้นโดยปากก็คาบแท่งไก่อบแห้งของโปรดไปนอนขดกินอยู่มุมห้องเหมือนทุกเช้าที่ขุนศึกให้กินจนมันติดเป็นนิสัย
“ม๊าโทรมาทำไม”
ผมยื่นแขนทั้งสองข้างไปตรงหน้าเพื่อเป็นการบ่งบอกให้ขุนศึกคลานขึ้นมาบนเตียงเพราะทุกเช้าผมมักจะต้องการอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้เป็นพิเศษ ขุนศึกคลานเข้ามาหาแล้วใช้ท่อนแขนลูบวนบริเวณเอวผมก่อนจะเลื่อนตัวขึ้นมาฝังจูบลงบนหัวผมไล่ลงมาจูบบริเวณหน้าผาก ปลายจมูก และสุดท้ายก็ไม่พ้นริมฝีปากผม
“โทรมาถามว่าจะเข้าไปหาอาหมอกี่โมงถ้าเสร็จแล้วให้แวะเข้าบ้านใหญ่ มีการฝากซื้อเป็ดย่างอบน้ำผึ้งร้านอีก…ถ้านั่งรถไปเยาวราชมี๊ไหวไหม ถ้ามี๊ไม่ไหวเดี๋ยวป๊าจะให้ศิลป์ไปส่งที่บ้านม๊าก่อนจะได้ไม่ต้องนั่งบนรถนาน”
ลมหายใจอุ่น ๆ พร้อมกับเปล่งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยถามผมขึ้นและทันทีที่ผู้เป็นสามียื่นตัวเลือกมาให้หลายทางแต่ทางเลือกนั้นกลับต้องห่างจากว่าที่คุณพ่อมือใหม่ผมจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธเป็นคำตอบ
“ไม่เอาจะไปด้วย”
ผมตอบกลับไปทันควันด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาเพราะอาการอ่อนเพลียเริ่มแทรกเข้ามาให้รู้สึกและตามมาด้วยอาการง่วงกลับมาอีกครั้งทั้ง ๆ ที่เพิ่งตื่นได้ไม่นาน
“โอเค แล้วเช้านี้รู้สึกอยากอ้วกไหมหรืออยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ป๊าจะได้โทรสั่งให้ศิลป์กับหวานเตรียมไว้ให้ก่อนไปหาอาหมอ”
ผมเงยหน้าแต่เปลือกตายังหลับค้างไว้แล้วผงกหัวตอบกลับเบา ๆ …
“อยากกินโจ๊กหมูเด้งใส่ไข่…ไม่อ้วก แต่วันนี้รู้สึกเมื่อยไปทั้งตัว มี๊ไม่อยากจะลุกออกจากเตียงเลยป๊ามันเหนื่อยมีแต่อยากจะนอนอย่างเดียวเลย”
ผมสาธยายอาการสำหรับเช้านี้ให้ผู้เป็นสามีฟังท่อนแขนขวาผมเลื่อนโอบคอหนาแล้วลูบไล้บริเวณเนื้อผิวด้านหลังต้นคอเล่นและตามด้วยใบหน้าของผมที่เป็นฝ่ายซุกบริเวณซอกคอขุนศึกแทน
“สงสัยเจ้าก้อนตื่นเต้นที่จะโดนอาหมอจับตรวจหาตัวเองเจอมั้งเช้านี้เลยเป็นเด็กดีกับมี๊หนึ่งวัน…ใช่หรือเปล่าลูก แสบใช่ย่อนนะเจ้าก้อนของป๊า”
ขุนศึกพูดขึ้นโดยไม่หวังคำตอบจากผม ฝ่ามืออุ่นเลื่อนเข้ามาลูบไล้บริเวณหน้าท้องที่เริ่มจะนู่นขึ้นมาเหมือนคนเพิ่งจะกินข้าวอิ่มในช่วงแรก อุณหภูมิจากฝ่ามือใหญ่ซึมซับเข้ามาบริเวณเนื้อผิวหน้าท้องทำให้ผมรู้สึกดีอย่างน่าแปลกประหลาดราวกับเจ้าก้อนชอบให้ป๊าตัวเองลูบคลำเล่นเสียอย่างนั้น
“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!”
เสียงประท้วงของเจ้าบูบู้เริ่มต้นขึ้นมาใหม่คราวนี้มันกระโดดขึ้นมาบนเตียงและพุ่งตัวแทรกเข้ากลางลำตัวระหว่างพวกผม ทำให้การโอบกอดในยามรุ่งเช้าได้ยุติลงในชั่วพริบตา
“อยากมีส่วนร่วมตลอด…ขี้เสือกไม่มีใครเกินมึงจริง ๆ ไอ้บู้!”
หางเจ้าบูบู้สั่นเหมือนรับรู้ในการนินทาเรื่องของตัวเองแต่เจ้าลูกชายตัวโตหาได้สนใจขุนศึกไม่…มันกลับเคลื่อนตัวเองที่ปกคลุมไปด้วยขนปุยมาคลอเคลียบริเวณหน้าท้องผมแทน ราวกับบูบู้รับรู้ว่ามีอีกชีวิตอยู่ในนี้ เราทั้งสามรวมกับสิ่งมีชีวิตในท้องนอนหยอกล้อกันบนเตียงใหญ่สักพักก่อนจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวหาอาหมอตามที่นัดไว้เพราะวันนี้ครบสองอาทิตย์นับจากฝากครรภ์และเป็นวันที่ผมกับขุนศึกจะได้เห็นเจ้าก้อนน้อยในท้องเสียที
ใช่แล้ว…
วันนี้อาหมอนัดผมไปอัลตราซาวนด์…
“ตื่นเต้นไหมวันนี้จะได้เห็นเจ้าก้อน ป๊าตื่นเต้นว่ะ”
น้ำเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ของขุนศึกที่กำลังโอบกอดเอวผมจากด้านหลังในขณะที่เราสองคนยืนแปรงฟันด้วยกันตรงอ่างล้างหน้า ความซุกซนของฝ่ามือหยาบกร้านเลื่อนมาถกชายเสื้อยืดตัวโคร่งขึ้นจนทำให้เห็นหน้าท้องนู่นของผมแล้วลูบไล้เบา ๆ การกระทำของขุนศึกทำให้ผมถึงกับเอนกายพิงไปด้านหลังอย่างรู้สึกดี
“ตื่นเต้นสิป๊า มี๊อยากเห็นเจ้าก้อนของเราซะตอนนี้เลย”
ผมเงยหน้าพูดทั้ง ๆ ฟองยาสีฟันยังคงเต็มปาก ท่อนแขนของว่าที่คุณพ่อมือใหม่กระชับแน่นขึ้นพร้อมกับลูบหน้าท้องผมเล่นไปมา เสียงหัวเราะและรอยยิ้มอบอวลไปทั่วบริเวณห้องสี่เหลี่ยมขนาดกว้างเหมือนทุกเช้าที่เราสองคนมีให้กัน
ขุนศึกกับผมใช้เวลาเตรียมตัวสองชั่วโมงแล้วออกเดินทางไปโรงพยาบาลตามที่อาหมอนัดไว้ วันนี้สารถีที่ขับรถให้ผมนั่งจะเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่ว่าที่คุณพ่อมือใหม่อย่างขุนศึก ส่วนศิลป์โดนสั่งให้ลาหยุดเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มเนื่องจากท่านประธานข้างกายอยากให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองได้มีเวลาหยุดพักผ่อนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยบ้าง
เราสองคนใช้เวลาเดินทางไม่นานขุนศึกก็ขับรถมาถึงที่หมาย ในระหว่างเดินทางบรรดาครอบครัววิดีโอคอลหาด้วยสีหน้าตื่นเต้นรวมไปทั้งเพื่อนของผมก็พากันวิดีโอมาหากันยกใหญ่เพื่อรอถามถึงผลอัลตราซาวนด์ ยังไม่วายเพื่อนของขุนศึกก็โทรมาแสดงความยินดีให้กับเราสองคนไปอีก ทำให้ระหว่างทางมาโรงพยาบาลผมถึงกับยิ้มไม่หุบในความเอ็นดูหลานจากญาติมิตรของเราทั้งสองคน
“พร้อมไหมจะถึงเวลานัดกับอาหมอแล้วนะ”
เมื่อล้อรถถอยเข้าจอดได้สำเร็จ ขุนศึกเอี้ยวตัวหันมาถามผมด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ผมปรับท่าเป็นนั่งหลังชิดติดกับประตูฝั่งตัวเองแล้วเงยมองหน้าผู้เป็นสามีด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
“กังวล มี๊รู้สึกกังวลยังไงไม่รู้”
น้ำเสียงสั่นเครือพูดตอบกลับไปจนผมต้องยกมือซ้ายขึ้นมาปิดปากที่สั่นเมื่อตัวเองกำลังทำหน้าร้องไห้…
“ทุกอย่างจะโอเคที่รัก ไม่มีอะไรต้องกังวลทั้งนั้น วันนี้มี๊สวยจังสวยมากดูดีทุกสุดเลย”
ท่อนแขนขวาของขุนศึกรีบสอดเข้าบริเวณบ่าแล้วลูบแผ่นหลังผมเบา ๆ เมื่อเห็นว่าผมกำลังจะร้องไห้ ผมช้อนสายตาขึ้นมองสารถีของตัวเองด้วยความรู้สึกที่หลากหลายอารมณ์และพยักหน้าเป็นอันรับรู้ตามที่เจ้าตัวบอก ขุนศึกให้ผมนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพากันเดินลงจากรถแล้วตรงไปยังด้านในโรงพยาบาล เมื่อตรวจทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพยาบาลจึงพาผมเข้ามารออาหมออยู่ด้านในโดยที่ขุนศึกยืนอยู่ด้วยไม่ห่าง
“ร้อน ป๊าร้อนไหม”
เมื่อบรรยากาศมันดูจะเงียบเชียบเกินไปเสียหน่อยผมจึงชวนขุนศึกคุยในระหว่างที่รออาหมอเข้ามา…
“หนาวจะตาย ก็มี๊เล่นใส่สเวตเตอร์หนาขนาดนั้นจะไม่ร้อนได้ยังไง”
ขุนศึกพูดตอบกลับแล้วย่างเท้าเดินเข้ามาแนบชิดติดกับเตียงก่อนจะก้มลงฝังจูบบนหัวผมไปหนึ่งที…
“ก็มันตัวใหญ่ดีไงป๊า เวลาเดินมันคล่องตัวไม่อึดอัด”
ผมเงยหน้าขึ้นตอบกลับด้วยรอยยิ้มและเป็นจังหวะเดียวกันที่อาหมอเดินเข้ามาในห้อง ผมกับขุนศึกยกมือไหว้ทักทายหลังจากไม่ได้เจอหน้าอาหมอมาเป็นเวลาสองอาทิตย์เต็ม
“เป็นยังไงบ้างเรา แพ้ท้องหนักไหม”
ผมนอนราบลงไปกับเตียงเพื่อเตรียมตัวอัลตราซาวนด์ด้วยหัวใจที่เต้นอย่างกระสับกระส่าย อาหมอถามไถ่อาการราวกับต้องการให้ผมผ่อนคลายไม่ตื่นเต้นมากจนเกินไป
“หนักครับกินอะไรไม่ค่อยได้กินทีไรก็อ้วกตลอด ยิ่งตอนเช้ายิ่งรู้สึกเมื่อยจนไม่อยากลุกไปไหนเลยครับ”
ผมตอบกลับไปในขณะที่ขุนศึกก็กุมมือผมไว้และบีบลงเบา ๆ เพื่อให้ผมผ่อนคลาย เหตุที่ต้องทำเป็นเพราะว่าหากความดันสูงขึ้นมามันจะส่งผลไม่ดีไม่ต่อเจ้าก้อนในท้อง
“ยิ่งอายุครรภ์เพิ่มอาการแพ้ท้องก็จะหนักตาม มันเป็นปรกติสำหรับคุณแม่ทั่วไปอยู่แล้วนะ วันนี้อายุครรภ์ของเราแปดสัปดาห์อัลตราซาวนด์เป็นครั้งแรก เอาล่ะไหนอาขอดูหน้าหลานหน่อยสิ”
อาหมอชโลมเจลลงบนหน้าท้องผมเป็นขั้นตอนแรกความเย็นของเจลบวกกับอุณหภูมิของแอร์ทำให้ตัวผมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนที่จะมีเครื่องมือเฉพาะทางทาบลงบนหน้าท้องที่มันเริ่มจะนูนขึ้นมาบ้าง
“หายใจเข้าลึก ๆ…อย่างนั้น ดีมาก”
ผมหายใจเข้าตามที่อาหมอบอกในระหว่างนั้นก็หันไปมองหน้าจอด้านข้างถึงแม้จะดูไม่เป็นแต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
“หื้ม…สองคน หลานรักแกได้ลูกแฝดนะเนี่ย”
“อะ อะไรนะครับ…”
ผมรีบถามอาหมอขึ้นทันควันเมื่อสิ่งที่อาหมอบอกทำเอาผมช็อกเป็นอย่างมาก อาหมอชี้นิ้วไปบนหน้าจอเพื่อให้เห็นว่าเจ้าก้อนที่อยู่ในท้องผมนั้นมีสองคนจริง ๆ
“อาว่ายังไงนะ อาหมอไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม ผมได้ลูกแฝดเหรอ…”
ผมหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและหันหน้ามองขุนศึกที่ตอนนี้ยืนอึ้งมองหน้าจอสลับกับมองผมอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ไม่เชื่อ…
ไม่เชื่อว่าเจ้าก้อนที่ได้มาจะเป็นแฝด…
.
.
.
.
.
‘อินฟลูเอนเซอร์จากจีนใช่ไหม อืม ถ้าจะให้ส่งมาตีตลาดไทยยื่นข้อเสนอโปรโมตร้านอาหารสาขาไทยไปด้วย…’
ผมนั่งเอนกายพิงกับพนักโซฟาตัวยาวโดยที่ด้านข้างเป็นหน้าต่างบานใหญ่ ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นเข้าให้แต่สภาพอากาศด้านนอกมืดครึ้มหากให้เดาฝนตั้งท่าจะตกอีกไม่นาน
‘บอกไปว่าถ้าตกลงกับข้อเสนอที่ให้ทางเราจะดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาที่มาอยู่ไทยเอง ได้ประโยชน์ทั้งคู่ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบมากไปกว่ากัน…’
ซ่า! ซ่า!
ผมที่กำลังนั่งอ่านหนังสือฉบับคุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่ถึงกับต้องยุติลงและเงยหน้าหันไปมองสายฝนที่โหมกระหน่ำราวกับฟ้าพิโรธโกรธใครมา ในขณะนั้นก็ลอบมองขุนศึกที่กำลังนั่งประชุมงานผ่านทางออนไลน์มานานนับชั่วโมง เหตุที่ต้องหอบงานมาทำที่บ้านเป็นเพราะตั้งแต่ผลอัลตราซาวนด์ออกว่าที่คุณพ่อมือใหม่ก็ไม่อยากให้ผมกับเจ้าก้อนสองชีวิตในท้องต้องอยู่บ้านเพียงลำพังถึงแม้จะมีคนงานที่บ้านอยู่ด้วยก็ตาม
‘ไม่เกินต้นเดือนหน้าฉันต้องได้คำตอบ ถ้าทางนั้นยอมจัดเตรียมตีตั๋วไปกลับที่พักให้อินฟลูเอนเซอร์ได้เลย…’
สายฝนที่โปรยปรายลงมาทำให้ผมรู้สึกดีจนต้องวางหนังสือในมือลง ผมเอี้ยวตัวหันไปเปิดม่านและรูดบานเกล็ดขึ้นเล็กน้อย จากร่างที่นั่งเอนกายพิงไปกับพนักโซฟาแต่ตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นลุกขึ้นหันหน้าออกไปทางนอกหน้าต่าง ผมนั่งคุกเข่าสองข้างลงกับเบาะนุ่มสองแขนค้ำไปกับขอบด้านบน สายตาจับจ้องไปยังด้านนอกเปลือกตาผมค่อย ๆ ปิดลงพร้อมกับความรู้สึกดีในรอบหลายอาทิตย์
กลิ่นอายดิน…
กลิ่นอายฝน…
หอม หอมมาก…
นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ตั้งท้องเจ้าก้อนน้อยสองชีวิตที่ผมรู้สึกโล่งสมองมากขนาดนี้ ริมฝีปากระบายยิ้มบาง ๆ เมื่อสายฝนสาดเข้ากระทบกับใบหน้าหนึ่งหยด ยิ่งกลิ่นอายฝนผสมผสานเข้ากับกลิ่นอายดินมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกคิดอยาก
อยากลิ้มลองดิน…
ผมอยากกินดิน…
“เปิดหน้าต่างออกทำไม ฝนสาดเข้ามามันจะไม่สบายปิดลงเดี๋ยวนี้”
ร่างสูงของคนที่นั่งประชุมอยู่ตรงโต๊ะทำงานเมื่อครู่ตอนนี้ได้เคลื่อนย้ายตัวเองมานั่งลงข้างตัวโดยที่ผมไม่รู้ตัวเพราะด้วยความที่ผมยืนหลับตาดื่มด่ำกับบรรยากาศเพลินไปหน่อยจึงทำให้ประสาทสัมผัสไม่ทำงานไปชั่วขณะ
“ไม่ มี๊ชอบ”
ผมตอบเสียงแข็งเมื่อรู้สึกว่าคนข้างกายกำลังบังคับให้ผมละออกจากสิ่งตรงหน้า ผมเอื้อมแขนไปเปิดบานเกล็ดดันหน้าต่างให้ง้างออกกว้างกว่าเดิมเพื่อให้ได้รับไอเย็นจากน้ำฝนและกลิ่นหอมยั่วยวนจากด้านนอก
“ทำไมดื้อแบบนี้ คนแม่หรือคนลูกที่ดื้อ…เจ้าก้อนแฝดบอกป๊าหน่อยสิ”
เมื่อเห็นท่าทีของผมต่อต้านขุนศึกจึงเล่นวิธีเลื่อนมือเข้ามาลูบไล้บริเวณหน้าท้องผมและเริ่มเรียกร้องความสนใจจากเจ้าก้อนอีกต่างหาก ส่วนผมยิ่งได้รับสัมผัสจากกลิ่นธรรมชาติที่ตีเข้าจมูกก็ยิ่งห้ามความอยากของตัวเองไม่ได้จนต้องหันกลับมาหย่อนตัวนั่งลงมองหน้าขุนศึกที่ตอนนี้เอนกายพักสายตาอยู่ข้างตัวผมอย่างเงียบ ๆ
“ป๊า…”
ผมเรียกคนตรงหน้าในระหว่างที่จัดท่าตัวเองให้นั่งในท่าสบาย เปลือกตาของขุนศึกยังคงปิดแต่มือขวาเลื่อนเข้ามาลูบบริเวณต้นขาผมเบา ๆ ราวกับรอฟังในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด
“หื้ม…”
“มี๊อยากกินดิน”
เปลือกตาว่าที่คุณพ่อมือใหม่เบิกกว้างขึ้นทันทีและรีบหันหน้าหันมองผมด้วยสีหน้าแปลกประหลาด จากร่างที่เคยพิงพนักโซฟาถึงกับดีดตัวนั่งตรงหันมาทางผมราวกับว่าตัวเองได้ยินอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป
“มะ เมื่อกี้มี๊ว่าอะไรนะ…อะไรดิน ๆ นะเผื่อป๊าจะฟังผิด”
“มี๊อยากกินดิน ได้กลิ่นอายดินแล้วหอมเลยรู้สึกอยากกินขึ้นมา”
ฝ่ามือใหญ่ข้างที่กำลังลูบไล้ต้นขาผมถึงกับยกขึ้นกุมขมับตัวเองทันทีเมื่อคำตอบเป็นดั่งที่เจ้าตัวได้ยินไม่มีผิดเพี้ยนแต่อย่างใด
“คือมี๊จะให้ป๊าลงไปขุดดินหน้าบ้านให้มี๊กินงี้เหรอ”
ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะดินที่อยากกินมันไม่ใช่ภายในขอบรั้วบ้าน แต่กลิ่นอายดินของบ้านทำให้ผมรู้สึกอยากกินดินอีกแบบ อยากกินดินแบบนั้นไปพร้อม ๆ กับสูดดมกลิ่นอายดินในบ้าน
“แล้วมี๊จะให้ป๊าไปเอาดินมาจากไหนดินหน้าบ้านมี๊ก็ไม่เอา ทำไมอยากกินของแปลกกว่าคุณแม่คนอื่นขนาดนี้ล่ะที่รัก”
มือทั้งสองข้างของผมถูกดึงไปกอบกุมไว้โดยที่ขุนศึกเอ่ยถามด้วยสีหน้าลำบากใจไม่น้อยเมื่อสิ่งที่ผมอยากกินมันช่างแปลกพิสดารเกินกว่าที่คนท้องคนอื่นอยากกินกัน แต่สำหรับผมเมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยใจของผู้เป็นสามีความรู้สึกราวกับโดนต่อว่ามันจึงผุดขึ้น
“งั้นไม่เป็นอะไร เดี๋ยวมันคงจะหายอยากไปเอง”
ผมตอบด้วยรอยยิ้มบางที่ฝืนปั้นแต่งให้ขุนศึกก่อนจะบิดข้อมือตัวเองออกจากฝ่ามือใหญ่ ขาที่เคยพาดด้านบนเบาะถูกหย่อนลงพื้น ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานของผู้เป็นสามีไปพร้อม ๆ กับความน้อยใจที่ประดังประเดเข้ามา มันเป็นความน้อยใจที่ไม่ควรเกิดขึ้นแต่ผมก็ห้ามความรู้สึกนี้ไม่ได้
“อย่าทำกับมี๊แบบนี้ได้ไหมเจ้าแฝด ฮึก อย่าพามี๊อยากกินของแปลกได้ไหมเดี๋ยวป๊าเบื่อพวกเรานะ…”
ผมพึมพำพร้อมทั้งน้ำตาในระหว่างที่เดินลงบันไดจากชั้นสองหวังตรงไปยังห้องครัวโดยมีอารักขาอย่างเจ้าบูบู้คอยเดินเคียงข้างไม่ห่างตัว
“โฮ่ง ๆๆ!”
เสียงเห่าของพี่เจ้าแฝดดังขึ้นระหว่างที่เก้าขาลงจากบันไดบ้าน ผมเอี้ยวหน้าหันมองลูกชายทั้งน้ำตา เจ้าบูบู้เห่าอยู่อย่างนั้นราวกับต้องการบ่งบอกว่าให้ผมหยุดร้องเสียอย่างนั้น
“มี๊!! จะไปไหน! โธ่ที่รักอย่าเพิ่งงอนป๊า!”
เสียงตะโกนดังลั่นจากชั้นสองไล่หลังมาในขณะที่ผมกำลังเดินตรงไปยังห้องครัวเพื่อหาอะไรกินยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ให้รู้สึกอยากกินดินอีก แต่ยิ่งผมเดินลงมาชั้นล่างกลิ่นอายดินก็ยิ่งลอยเข้ามาเตะจมูกผมมากกว่าอยู่บนห้องมันเลยทำให้ผมถึงกับทรุดนั่งลงกับพื้นกระเบื้องที่เย็นเฉียบด้วยความรู้สึกน้อยใจที่อยากกินดินแต่พ่อเจ้าแฝดกลับห้าม
“ฮึก…”
มือสองข้างยกขึ้นปิดบังใบหน้าของตัวเอง เสียงสะอื้นร่ำไห้ดังระงมราวกับเด็กที่โดนขัดใจ เจ้าบูบู้เมื่อเห็นผมนั่งลงกับพื้นตัวมันจึงทรุดนั่งลงตามและพยายามเข้ามาเลียใบหน้าของผมเพื่อปลอมประโลมให้หยุดร้อง
“มี๊!! ฉิบหายแล้วไงมึง! มึงฉิบหายแล้วไอ้ขุนศึก!”
เสียงรองเท้าสลิปเปอร์ดังกระทบกับพื้นบ้านจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วจนพี่หวานและคนงานในสวนต่างพากันวิ่งเข้ามาบริเวณห้องครัวเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่คนแรกที่เข้ามาถึงตัวผมก่อนกลับเป็นบุคคลที่เพิ่งจะพูดขัดใจไปเมื่อครู่
“ฮึก! แค่รู้สึกอยากกินทำไมป๊าต้องพูดแบบนั้น ใครจะไปห้ามความยากได้ ไม่ชอบ มี๊ไม่ชอบความรู้สึกนี้ ฮึก…”
ผมก้มหน้าลงบนฝ่ามือโดยมีอุ้งเท้าของเจ้าบูบู้เอื้อมมาเขี่ยตัวผมอยู่ข้าง ๆ แต่เมื่อเสียงร้องไห้ดังขึ้นตัวผมกลับถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของวงแขนแกร่งทันที
“โอเคดินใช่ไหม…ได้ ได้เลย มี๊อยากกินดินแบบไหน มี๊บอกป๊า บอกป๊ามา”
เสียงทุ้มอ่อนลงอย่างพ่ายแพ้ขุนศึกพยายามพูดเกลี้ยกล่อมข้างหูเพื่อให้ผมหยุดร้อง แต่ที่ผมร้องไห้ตอนนี้เป็นเพราะความน้อยใจที่ขุนศึกขัดใจผมหากเจ้าตัวไม่พูดออกมาแบบนั้นผมคงไม่ต้องมานั่งร้องไห้แบบนี้ เสียงสะอื้นร่ำไห้ของตัวเองยังคงดังอยู่สักระยะหนึ่งโดยมีเสียงสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาเป็นตัวบรรเลงให้เข้ากับบรรยากาศ
“มี๊อยากกินดินแบบไหน บอกให้ป๊ารู้หน่อยได้ไหม ป๊าจะได้ไปหามาให้มี๊ถูก”
นิ้วมือทั้งสิบของขุนศึกเลื่อนขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลนองอาบแก้มสองข้าง ผมเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากผู้เป็นสามีจึงรีบคว้าโทรศัพท์ที่ถือติดมือออกมาจากในห้องทำงานขึ้นมาพิมพ์หาสิ่งที่ตัวเองต้องการ ผมสูดน้ำมูกไปหลายครั้งในระหว่างเลื่อนหาสิ่งที่ตัวเองอยากกินมากถึงมากที่สุด เวลาล่วงผ่านไปสักครู่หนึ่งหน้าจอโทรศัพท์จึงถูกยกขึ้นโชว์ทั้งน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้งหายไปไหน เมื่อสายตาคมตวัดขึ้นดูเจ้าสิ่งที่ผมอยากกินบนหน้าจอขุนศึกถึงกับมีอาการหน้าซีดและตกใจไปแวบหนึ่งแต่ก็ไร้ซึ่งการซักไซ้ถามเพราะคงกลัวว่าจะทำให้ผมร้องไห้อีกรอบ
“อันนี้ใช่ไหม…ได้ เดี๋ยวป๊าไปซื้อมาให้”
ขุนศึกมองผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะก้มลงไปคว้าโทรศัพท์ต่อสายหาใครบางคน ส่วนผมเมื่อบอกในสิ่งที่ตัวเองต้องการออกไปก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ในระหว่างนั้นผมก็นั่งกอดเจ้าบูบู้อยู่บนพื้นพร้อมกับกลิ่นอายฝนผสมกับกลิ่นอายดินก็ลอยเข้ามาวนเวียนชวนให้ผมน้ำลายสอไม่น้อย ส่วนขุนศึกก็เอื้อมแขนมารั้งข้อมือผมขึ้นไปจูบอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้ผมร้องไห้ก่อนที่เสียงเข้มของว่าที่คุณพ่อลูกแฝดจะพูดกรอกไปยังปลายสายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
‘ศิลป์แกจองไฟล์ทบินไปนครศรีธรรมราชให้ฉันหน่อย เอาไฟล์ทที่มันด่วนที่สุดฉันจะไปซื้อดินเหนียวดำเผาสุกมาให้เมียกิน…’