วัดซ่างฝอที่จะไปอยู่บนเขาสูงในเมืองเหอเจียน จากเชิงเขาไปถึงวัดมีบันไดสีครามอยู่ 999 ขั้นคดเคี้ยวขึ้นไปถึงยอดเขา ระหว่างทางมีผู้มาทำบุญอยู่สองสามคน ในมือถือตะกร้าไม้ไผ่ ด้านในมีธูปเทียนต่างๆ นานา
เจียงเผิงจีไม่เชื่อในพระในเจ้า แต่ก็ต้องยอมรับว่าระหว่างทางจากเชิงเขาถึงยอดเขานั้นเต็มด้วยจิตวิญญาณแห่งเซน[1]
ลำธารไหลผ่าน ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า ข้างหูได้ยินเสียงระฆังดังมาแต่ไหลและเสียงอันสงบของการสวดมนต์
สีท้องฟ้าเปลี่ยนจากมืดเป็นสว่าง เมฆสีแดงที่ปกคลุมอยู่บนยอดเขาชั้นๆ ที่ห่างไกล ตามด้วยเสียงสวดมนต์เพื่อทำให้ใจคนสงบต้อนรับวันใหม่ ถึงแม้ว่าเจียงเผิงจีจะไม่ได้นับถือพระ แต่เวลานี้ก็รู้สึกว่าใจเปิดกว้างไม่น้อยเลย
เสียงของกิ่งไม้ที่ตกลงมากระทบก้อนหิน หนึ่งขั้นต่ออีกขั้น ท่าทางการเดินนั้นมีเสน่ห์แบบสบายๆ
หลิ่วเสอสวมชุดสีครามเข้มใหม่เอี่ยม ขนาดเหมาะกับตัวมากกว่าชุดเมื่อวาน และยังดูออกว่าตอนนี้เขาผอมขนาดไหน
ผมดกดำที่หวีอย่างพิถีพิถัน ใบหน้าที่สะอาดสะอ้าน สบายตา เล็บมือและเล็บเท้าถูกตัดอย่างเรียบร้อย อีกทั้งยังแขวนถุงหอมไม้จันทน์ ใบหน้าเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับการแก้บนครั้งนี้อย่างมาก
มือของเจียงเผิงจีถือกล่องอาหาร ด้านในใส่ของที่พ่อบ้านจัดเตรียมไว้เช่นธูปหอม เทียน น้ำมันตะเกียง กระดาษทองและผลไม้บูชา แน่นอนเธอแอบชั่งน้ำหนักกล่องนี้แล้ว น้ำหนักกับสิ่งของนั้นไม่เท่ากันกัน ด้านในไม่แน่ว่าอาจจะมีเงินของจริงอยู่ด้วยก็ได้
“ตอนที่พี่ชายทั้งสองของเจ้าป่วยหนัก อาหมิ่นเคยเดินทีละก้าวขึ้นไปที่วัดซ่างฝอ ขอพรวิงวอนพระท่านให้เมตตา…”
แม้ว่าจะรักษาจังหวะการเดินและการหายใจได้อย่างสบายๆ แต่ร่างกายของหลิ่วเสอนั้นไม่แข็งแรง เพิ่งจะเดินขึ้นมาแค่หนึ่งในสาม หน้าผากจึงเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อวานดื่มยาไปแล้ว แม้ว่าตกดึกไข้จะลดลงไป แต่ร่างกายยังอ่อนแอ ตอนนี้ริมฝีปากทั้งสองไร้สีเลือดแล้ว
“ท่านพ่อไม่ใช่เคยบอกว่าสุขภาพท่านแม่ไม่ค่อยดีไม่ใช่หรือขอรับ ทำไมจึงให้นางมาอีกเล่า ร่างกายป่วยหนัก ไม่ไปหาหมอขอยา มาไหว้พระไหว้เจ้าจะมีประโยชน์อันใด” เจียงเผิงจีไม่เข้าใจ หากยึดตามที่ทางทายไว้ ท่านแม่ของนางไม่เหมือนคนที่จะเชื่อพระเชื่อเจ้า
“ใช่แล้วล่ะ ไม่สบายต้องเป็นเรื่องของหมออยู่แล้ว ขอพรจะมีประโยชน์อันใด หากขอแล้วสมหวัง พี่ชายของเจ้าทั้งสองจะเสียชีวิตหรือ อาหมิ่นเองยังดูหมิ่นเทพเลย เพียงแค่…บางครั้งเมื่ออับจนหนทางแล้ว อย่าพูดถึงเทพเจ้าเลย แค่ไม้เท้าของเทพเจ้าก็กลายเป็นหญ้าวิเศษที่ช่วยชีวิตคนได้ หวังที่จะจับไว้อยู่ในมือ” หลิ่วเสอเดินพลางพูดพลางทอดถอนหายใจ ราวกลับหวนระลึกถึงบางสิ่ง
เดินหนึ่งก้าวไหว้หนึ่งครั้ง สุดท้ายก็ไม่อาจช่วยชีวิตลูกชายได้ ยังทำลายชีวิตของภรรยาไปครึ่งหนึ่งทำไมถึงไม่เอาชีวิตเขาไปละ?
ขอร้องอย่างไรก็ไม่ขยับเขยื้อน นอกจากอยู่โง่ๆ เป็นเพื่อนนาง ยังทำอะไรได้อีกละ
ทำได้เพียงแค่เกลียดตนเองที่ไม่ใช่หมอ รักษาโรคไม่ได้ ช่วยชีวิตก็ไม่ได้
“โชคดีที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ วันนี้มาแก้บน หวังว่าแม่ของเจ้ากับพี่ๆ ของเจ้าจะมองเห็นและปกป้องคุ้มครองเจ้าให้มีความสุขและปลอดภัย”
เจียงเผิงจีที่ถือกล่องอาหารเงียบลงไป แต่เธอไม่ใช่หลิ่วหลานถิง “ท่านพ่อสายตาเฉียบคม เห็นชัดๆ ว่าข้าไม่ใช่…”
“อ่า เจ้าก็คือบุตรสาวที่อาหมิ่นต้องการ…อย่าคิดอื่นไปเลย” หลิ่วเสอเกือบจะคุ้นชินกับการลูบศีรษะพิฆาตของเธอ เขาก้าวข้ามบันไดไปสองขั้น หันมาลูบศีรษะอย่างเบามือ “เจ้าอยู่สบายดี นางที่อยู่อีกโลกก็เบาใจแล้ว”
เจียงเผิงจีไม่เข้าใจ ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองตามแผ่นหลังผอมบางของหลิ่วเสอไป รู้สึกว่าคำพูดของเขามีความหมายอื่นซ่อนอยู่อีกชั้น
ก่อนรุ่งสาง หลิ่วเสอพาเจียงเผิงจีและพ่อบ้านชราขึ้นมาที่วัดซ่างฝอ ปีนบันไดทอดยาวขึ้นไปจนขาทั้งสองปวดล้า ในที่สุด แม้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้วจึงจะปีนมาถึงยอดเขา และเห็นวัดซ่างฝอที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ
วัดถูกล้อมรอบด้วยผืนสีเขียว มีดอกไม้สดล้อมรอบกำแพงที่สีจางแล้วเป็นชั้นๆ แสงแดดกระทบลงบนหลังคาสีเทาเขียว บ่งบอกให้เห็นถึงความเก่าแก่ ท่ามกลางป่าลึกใต้แสงแดด ข้างหูได้ยินเสียงของระฆังลอยมาและเสียงของนกร้อง
ขนาดของวัดซ่างฝอไม่ใหญ่ แต่ด้วยอายุของวัด จึงคล้ายผู้อาวุโสที่ยืนอยู่บนยอดเขา มองการเปลี่ยนแปลงวันแล้ววันเล่า
“วัดซ่างฝอสร้างก่อนยุคสิบหกแคว้นในเวลานั้นวัดมีความรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก มีวัดมากมายนับไม่ถ้วน…” หลิ่วเสอเล่าประวัติคร่าวๆ ของวัดซ่างฝอ พาเจียงเผิงจีเข้าไปในวิหารหลัก ไหว้ภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่งแล้วถาม “เหลี่ยวเฉินไต้ซืออยู่หรือไม่”
“ไต้ซือรอท่านทั้งสองอยู่ที่ห้องปฏิบัติธรรมในวิหารแล้ว เชิญโยมหลิ่วตามอาตมามา”
ราวกลับคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว ภิกษุที่สวมชุดสีเทาผู้นั้นโค้งคำนับกลับมา ใบหน้ามีความนอบน้อมและเคร่งในศาสนา
เจียงเผิงจีรู้สึกเบื่อจึงสังเกตรอบๆ เวลานี้มีจำนวนคนไม่น้อยเข้ามาสักการะ มีทั้งชายและหญิง ทั้งแก่และเด็ก ให้ความรู้สึกต่อวิหารโบราณที่น่าหดหู่แห่งนี้
เดินผ่านระเบียงมา เจียงเผิงจีตามหลิ่วเสอมาถึงด้านนอกประตูห้องปฏิบัติธรรม
เธอยังไม่ได้เหยียบเท้าก้าวเข้าไป จึงได้ยินเพียงแค่บทสนทนาของหลิ่วเสอและภิกษุชรารูปหนึ่งจากด้านใน
“พริบตาเดียวเจ็ดปี โยมหลิ่วมาได้ไร้อุปสรรคใช่หรือไม่”
หลิ่วเสอตอบอย่างราบเรียบ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ”
“โยมหลิ่วเองยังมีความทุกข์ คิดแล้วยากที่จะหายดี”
เจียงเผิงจีแอบยิ้มในใจ ฟังบทสนทนาของภิกษุชรารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กๆ
ตอนนี้เองหลิ่วเสอกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ในเมื่อไต้สือเหลี่ยวเฉินทราบ จำเป็นที่จะจงใจถามทำไมหรือ”
“ท่านนี้ น่าจะเป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของโยมสินะ” ภิกษุชราเห็นเจียงเผิงจีเข้ามาด้านใน เหลือบมองแล้วก้มศีรษะต่ำลงอย่างรวดเร็ว ในมือหมุนลูกประคำเร็วขึ้นเรื่อยๆ “สาธุ สาธุ วัดอันเป็นที่เงียบสงบเช่นนี้ โยมทั้งหลายมาเพื่ออันใดหรือ”
เจียงเผิงจีรู้สึกแปลกๆ ในใจเกิดอารมณ์เย็นยะเยือกจางๆ ราวกลับมีอะไรบางอย่างผ่านร่างไป รู้สึกไม่สบายอย่างมาก
เพราะไลฟ์ค่อนข้างจะเช้า ผ่านไปสักครู่หนึ่งถึงจะมีผู้ชมเข้ามา เห็นฉากนี้แล้วมีคนอดไม่ได้ที่ส่งซับกระสุนมาหนึ่งประโยค
[เฟยฉิวฉีอวี้ฮวนอิ๋งหนิน]: ฉันจะบอกโฮสต์ว่า ถึงแม้จะข้ามยุคมา หนึ่งในกฎนั้นต้องมีภิกษุชั่ว!
เจียงเผิงจีแอบเลิกตาขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่ากฎของการข้ามยุคคืออะไร แต่ภิกษุที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นชั่วร้ายจริงๆ
“แน่นอนว่าตามท่านพ่อมาแก้บนขอรับ เพียงแต่ไต้ซือท่านว่าการที่แสงแดดตอนเช้ากระทบถึงในห้องแล้วยังหลับอยู่ได้ จะเปลืองแรงมาปีนเขาขึ้นมาทำไมกัน” เจียงเผิงจีรู้สึกแปลกๆ แต่ยังคงทำตามนั่งลงฟูกข้างๆ หลิ่วเสอ
คำพูดของเธอนับว่าเป็นการไม่เคารพ แต่ภิกษุชราที่คุณธรรมสูงส่งเบื้องหน้ากลับไม่แม้แต่จะโกรธอันใด กลับยิ้มออกมาอย่างมีเมตตา
“ดาวจักรพรรดิทำลายกองทัพ วิญญาณจักรพรรดิที่แอบซ่อนปรากฏ แต่การสังหารนั้นหนักหนาเกินไป มันสายไปแล้ว” ภิกษุชรามองพื้นกล่าว “โยมน้อยก้าวเข้ามาในอาราม เลือดและลมปราณนั้นหนักมาก กดดันพลังงานของวัดจนกระสับกระส่าย หากบันไดของวัดแปดเปื้อนความชั่วร้าย เกรงว่า…”
[1] นิกายเซน เป็นนิกายในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน มีต้นกำเนิดจากอินเดียและถูกเผยแพร่ในจีนก่อน โดยมีอิทธพลจากลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า