ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน การเรียนการสอนของเด็กๆ ล้วนแต่เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เยอะมาก แม้แต่ขุนนางอย่างตระกูลหลิ่วเองก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าทุกคนในตระกูลจะร่ำรวย สมาชิกตระกูลหลิ่วที่ไม่ได้ตกต่ำก็ต้องใช้ชีวิตรักษาหน้าตนเองไว้
หากพูดถึงรายได้ครอบครัวชาวบ้านธรรมดา มีลูกมากก็ยิ่งยากจนง่าย
อย่ามองแค่ว่าใบหน้าของพวกเขานั้นปกติ แต่ในความจริงแล้วคุณภาพชีวิตแร้นแค้นอย่างมาก ข้าวยังจะไม่พอกินอยู่แล้ว ยังจะมารับผิดชอบค่าเล่าเรียนของบุตรได้อย่างไรกัน ดังนั้น สำนักศึกษาจึงปรากฏขึ้น ช่วยบรรเทาภาระการเรียนของบุตรชายบุตรสาวไปได้ไม่น้อย
การเชิญอาจารย์มาสอนล้วนแต่เป็นสำนักศึกษาออกค่าใช้จ่าย มีคนมากมายต้องการแค่ส่งลูกเข้าเรียนสำนักศึกษาได้ก็พอแล้ว หนึ่งวันยังมีอาหารฟรีสองมื้อ เด็กๆ กินไม่หมดยังสามารถห่อกลับไปได้ ทุกเดือนยังมีการแบ่งของให้ เช่น ชุดหมึกพู่กันสะอาดหรือม้วนไม้ไผ่
ทุนการเรียนในยุคโบราณสูงมากๆ คนยากจนเข้าเรียนไม่ได้ โอกาสก้าวหน้าย่อมต่ำกว่าพวกขุนนางอยู่แล้ว
ขุนนางครอบครองทรัพยากรเป็นส่วนใหญ่ พวกเขายินดีที่จะนำทรัพยากรเหล่านี้ส่งมาให้บุตรชายที่สำนักศึกษา สั่งสอนให้พวกเขาอ่านเขียนเรียนหนังสือ สร้างความรู้สึกความเป็นเจ้าของให้แก่ตระกูล รอพวกเขาเติบโต มีโอกาสโดดเด่น จึงจะได้รับทรัพยากรในครั้งหน้าไปลงทุนให้กับการศึกษาของคนรุ่นต่อไป…
การกำเนิดและการสืบวงศ์ตระกูลของขุนนางไม่อาจแยกจากวงจรเจริญเติบโตที่ดีได้
เจียงเผิงจีถือหนังสือเอาไว้ เพราะความทรงจำของหลิ่วหลานถิง การอ่านและการจำไม่ใช่ยากอะไรมากแต่เขียนนี้แหละเป็นปัญหา
“ไม่เพียงแค่เสื้อผ้าที่น่ารำคาญ แม้แต่วิธีการเขียนตัวหนังสือก็น่ารำคาญ!”
เจียงเผิงจีพยายามจับพู่กันราวกับศัตรูตัวโต ถึงอย่างนั้นลายเส้นจากปลายพู่กันก็ไม่เชื่อฟังเธอเลย เขียนออกมาราวกับเศษซากอันแปลกประหลาด เธอลองมาหลายครั้งแล้วก็ยังไม่ได้ผล จึงโยนพู่กันทิ้งไปและทำลายหลักฐานที่หน้าละอายเสีย
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะเห็นเธอขายหน้า ซับกระสุนว่ะฮ่าๆๆๆ ท่วมท้นแทบจะปิดตาของเธอ
[เหม่ยซ่าวหนี่ว์จ้านซื่ออายวน]: ในที่สุด ดีชั่วก็ได้รับการตอบแทน สวรรค์กลับมาเกิด ไม่เชื่อเงยหน้ามองว่าสวรรค์ไว้ชีวิตผู้ใด #นิ้วจิ้มจมูก
[หมอฝ่าซ่าวหนี่ว์อาเฟิง]: สาวน้อย ขอร้องฉันสิ ฉันสามารถช่วยสอนเธอได้ #หน้าผีแลบลิ้น
[โฮสต์ V]: ไม่ขอ!
เจียงเผิงจีแอบบ่นมาหนึ่งประโยค “ฉันไม่น่าไปตอบรับว่าจะไปสำนักศึกษาผีอะไรนั่นเลย…”
สาวใช้ท่าเสว่ ด้านนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเข้ามาถาม “เอ้อร์หลางจวินมีอะไรให้รับใช้เจ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร ไม่ระวังจึงทำพู่กันตกลงไป…” ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแทบจะเป็นเส้นเดียว มองพู่กันที่นอนอยู่บนพื้นด้ามนั้นราวกับเป็นศัตรูตัวฉกาจ ในขณะที่หน้าจอเต็มไปด้วยคำแซะอย่างมีความสุขนั้น เธอถอนหายใจย่อตัวลงไปหยิบพู่กันขึ้นมา
ผู้ชมที่ถูกปฏิเสธทำเป็นว่าไม่เห็นการปฏิเสธของเจียงเผิงจี ไม่รู้ว่าไปก็อปปี้วิธีการเขียนตัวอักษรพื้นฐานมาจากไหนกัน
คิ้วของเจียงเผิงขมวดปม มือขวาจับพู่กันตามความทรงจำของหลิ่วหลานถิง แล้วรวมกับวิธีเขียนพู่กันพื้นฐานจากซับกระสุนบนหน้าจอ คล้ายกับการวาดน้ำเต้า ลงปลายพู่กันสั่นเทา พยายามให้ใกล้เคียงลายมือของหลิ่วหลานถิงที่สุด
ความทรงจำของหลิ่วหลานถึงสำหรับเธอแล้วเป็นเพียงข้อมูลเสริมเท่านั้น หากไม่ตั้งใจค้นหามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อความทรงจำและอารมณ์ของเธอ
เพียงแต่นี่ก็เป็นส่วนที่ไม่ดี นั่นก็คือ หากไม่ได้ตั้งใจบอกใบ้ ภาษาท่าทางและการกระทำของเจียงเผิงจีล้วนเป็นตัวของตัวเอง ยังห่างไกลจากหลิ่วหลานถิงอยู่มาก แม้ว่าเธอจะตั้งใจเลียนแบบแล้ว แต่หากพูดกับคนใกล้ชิด ก็ยังโป๊ะแตกได้ง่าย
ในห้องหนังสือไม่มีสิ่งอื่นใดมากนัก ยกเว้นกระดาษไผ่จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน หากใช้เพื่อฝึกเขียนมากหน่อยก็ไม่ปวดใจเท่าไหร่ ส่วนแบ่งกระดาษไผ่หนึ่งเดือนคือห้ามัด หลิ่วหลานถิงพยายามใช้ให้หมดยังได้เพียงแค่ครึ่งมัด ส่วนที่เหลือยังคงเหลือเก็บไว้ในหีบหลายใบ
ตอนเริ่มใช้พู่กันเขียนตัวหนังสือก็ไม่ค่อยคุ้นชินนัก เพราะปลายพู่กันมันอ่อนเกินไป หากไม่ระวังให้ดี เมื่อเขียนตัวหนังสือออกมาแล้วจะดูน่าเกลียดมาก
แต่หลังจากลองเขียนไปหลายๆ ครั้ง เธอค่อยๆ จับความรู้สึกได้ จึงแสดงความสามารถในการควบคุมกำลังแรงแขน ค่อยๆ คลำหาประสบการณ์ หลังจากฝึกไปหลายแผ่น ในที่สุดเขียนตัวอักษรคล้ายกับหลิ่วหลานถิงได้ห้าส่วน เธอฝึกฝนตามอักษรในความทรงจำของหลิ่วหลานถิง ก็ต้องใกล้เคียงอยู่แล้ว
เห็นกระบวนการทั้งหมดของการเขียนตัวอักษรของโฮสต์ตั้งแต่ “หมอบ” จนถึง “ยืน” ผู้ชมไลฟ์ล้วนรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อ
ความสามารถในการเรียนแข็งแกร่งเพียงนั้น มาเป็นโฮสต์เพื่ออะไรกัน? แม้แต่ผู้ชมที่เคยเรียนวิธีเขียนพู่กันมาก่อน ต่างก็พูดกันว่าตนเองเมื่อก่อนฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก บางครั้งฝึกจนแขนข้อมือบวมจนขยับไม่ได้ จึงแขวะออกมาหนึ่งประโยค ‘โฮสต์ คุณมันไม่ใช่คน!’
แม้ว่าจะหาเหตุผลมารองรับได้หลายประการ แต่ความชำนาญในการเขียนอักษรนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายในระยะเวลาอันสั้น
มองสีท้องฟ้าด้านนอก เจียงเผิงจีนำกองแผ่นไผ่วางบนโต๊ะ จากนั้นหยิบกระดาษออกมาตัดเป็นชิ้นใหญ่น้อยแล้วเริ่มคัดลอก
[เหม่ยซ่าวหนี่ว์จ้านซื่ออายวน]: ไม่รู้ตัวจักอักษร…นี่มันตัวอะไรกัน?
[พีจิงจ่านจี๋]: ฉันรู้สึกอ่านออกนิดหน่อย โฮสต์น่าจะกำลังคัดลอกคัมภีร์หลุนอวี่[1] ฉันจำได้ว่าหนังสือโบราณนั้นแพงโคตร โฮสต์ทะลุมิติมาอยู่บ้านที่มีคัมภีร์หลุนอวี่ ดูแล้วฐานะทางบ้านน่าจะรวยอยู่…
เจียงผิงจีตอนที่คัดลอกแล้วเห็นอันนี้ ก็ตอบเลยทันที
[โฮสต์ V]: ใช่แล้ว ฐานะตระกูลหลิ่วไม่เลวเลยทีเดียว หากเป็นชาวบ้านทั่วไป ตอนนี้ฉันจะไลฟ์ว่าหากอยู่ในวงล้อมโจรจะใช้มือฉีกคนอย่างไร หรือการเอาตัวรอดให้ภูเขาและป่าลึก สอนพวกนายว่าเอาชีวิตรอดอย่างไร
[เจี้ยนลั่วเจิ้นซานเหอ]: ว่ะฮ่าๆๆ ไลฟ์เอาตัวรอดในป่าเขาฉันยังพอเข้าใจ แต่เอามือฉีกโจรนั้นหมายความว่ายังไงอะ
[โฮสต์ V]: ยุคโบราณที่โง่เขลาแบบนี้มันวุ่นวายมาก เมืองเหอเจียนเองก็นับว่ามีระบบระเบียบ แต่แถวละแวกนี้ยังคงมีโจรจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้า ชำนาญในการปล้นขบวนสินค้า หากหญิงสาวพลัดหลงอยู่คนเดียว สำหรับพวกมันแล้วเปรียบเหมือนส่งอาหารโอชะให้ถึงปาก
ดังนั้นหากพวกโจรวิ่งเข้าหาเธอ เจียงเผิงจีไม่อาจปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่ เพราะพวกมันก็คงไม่ปล่อยให้เธอรอดไปเช่นกัน
มันเหมือนกับประสบการณ์ที่เจอโจรก่อนหน้านี้ โจรเหล่าไม่สามารถตัดใจจากหญิงงามได้ ในสายตาของพวกมัน พวกนางเป็นแค่เป็นเครื่องระบายอารมณ์ และพวกไร้มนุษยธรรมเช่นนี้พูดเรื่องคุณธรรมไปจะมีประโยชน์อะไร หรือขอร้องอย่างจริงจังจะมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ
สิ่งที่สามารถใช้ได้ผลคงมีแค่สมองและสองมือเท่านั้นแหละ
[โฮสต์ V]: หากถูกเหล่าโจรนั้นย่ำยีกลายเป็นเครื่องระบายอารมณ์ หากโชคดีจนตั้งครรภ์ อาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถึงสองวัน เด็กที่เกิดมาก็กลายเป็นโจรรุ่นต่อไป…หรือทำได้เพียงแค่ยกมีดมาฆ่าให้พวกมันไปตายซะ!
พูดถึงตรงนี้ เจียงเผิงจีหยุดปลายพู่กันเล็กน้อยแล้วกดลงไปใหม่ เขียนต่อไปด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนลง
[โฮสต์ V]: ฉันรู้ว่ามีหลายอย่างที่พวกนายรับไม่ได้ แต่พวกนายเป็นผู้ชม แต่ฉันเป็นคนเข้าร่วม
พวกเขาเป็นเพียงคนดูสนุกๆ คนที่ไม่อยากอยู่ก็แค่เปลี่ยนช่องออกไป แค่ขยับนิ้วเองเท่านั้น
แต่ชีวิตเจียงเผิงจีต้องพึ่งพาตัวเอง ไม่ใช่พึ่งคนดูพวกนี้
หลังจากคัดลอกเนื้อหาลงม้วนไม้ไผ่หลายม้วน เจียงเผิงจีวางแผนทบทวนทักษะอื่นๆ ของหลิ่วหลานถิง
ตอนนี้เอง ระบบที่เงียบไปก็ส่งเสียงขึ้นมา
“เจ้านาย ต้องการเรียนทางลัดไหม”
[1] คัมภีร์หลุนอวี่ (论语) คือ หนังสือที่รวบรวมคำสอนของขงจื๊อ โดยถูกรวบรวมและบันทึกไว้โดยเหล่าลูกศิษย์ ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงการเมือง การปกครอง คุณธรรม จริยธรรมในด้านต่างๆ ตามทัศนของขงจื๊อ