ในเวลานี้สาวใช้ไม่กล้าพูดต่อแล้ว แม้ว่านางจะรับใช้ข้างกายเตี๋ยฟูเหรินมาหลายปี ก็ยังไม่สามารถเดาอารมณ์ของฟูเหรินผู้นี้ได้
จะพูดว่านางชื่นชอบคุณชายรองไหม นางก็ยังชอบลอบกัดอยู่ลับๆ เมื่อเจอคนอื่นก็ทำทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว…อย่างไรเสีย เขาก็เป็นบุตรเพียงคนเดียวของฟูเหรินคนก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในฐานะจากที่เป็นหนอน ไม่ย่อท้อกลายมาเป็นเตี๋ยฟูเหรินรับใช้นายท่าน หากจะมองคุณชายรองว่าไม่น่าพึงพอใจในสายตาก็ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่เมื่อจะพูดว่าเตี๋ยฟูเหรินเกลียดคุณชายรอง สาวใช้มองแล้วก็รู้สึกว่าไม่ใช่อีก
จุดที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ ฟูเหรินคนก่อนทิ้งโรงงานที่ทำกำไรมากจนน่าตกใจเอาไว้ให้ หลายปีมานี้ล้วนแต่เป็นเตี๋ยฟูเหรินนั่นเองที่คอยดูแลจัดการให้!
หลายปีนี้กำไรของโรงงานยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดเยอะกว่ากำไรของกิจการอื่นของจวนตระกูลหลิ่วมากกว่าหลายเท่า แต่เตี๋ยฟูเหรินไม่ได้มีความคิดที่จะนำมาเป็นของตนเอง…ดูท่าทางแล้วน่าจะดูแลกิจการเพื่อคุณชายรองอย่างจริงใจแท้จริง ในวันข้างหน้าคงคืนให้ทั้งหมด
นอกจากนี้แล้ว เมื่อวานที่ได้รับข่าวว่าคุณชายรองถูกโจรร้ายลักพาตัวไป เตี๋ยฟูเหรินก็รู้สึกกระวนกระวายร้อนใจในทันที
พูดตามตรงแล้ว สถานการณ์ของจวนตระกูลหลิ่วนี้ นางยิ่งมองยิ่งไม่เข้าใจ
ขณะที่สาวใช้ข้างกายของเตี๋ยฟูเหรินอ่านสถานการณ์น้ำนิ่งไหลลึกในจวนตระกูลหลิ่วไม่ออกอยู่นั้น ส่วนเจียงเผิงจีตอนนี้กลับมองออกจนเวียนหัวไปหมด
เธอเพื่อที่จะได้เข้าใจยุคสมัยนี้มากขึ้น จึงวางแผนที่จะนั่งอ่านหนังสือในห้องหนังสือให้หมดสักหนึ่งรอบ ด้วยความสามารถในการจดจำของเธอแล้วคงจะใช้เวลาไม่นาน นอกจากส่วนน้อยที่เป็นกระดาษเย็บเป็นเล่มหนังสือแล้ว ส่วนมากล้วนแต่เป็นม้วนไม้ไผ่ที่หนักมาก
อย่างไรก็ตาม เธออ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ ท่าเสว่สาวใช้ข้างกายของเธอรายงานว่า ส่วนแบ่งเดือนนี้ส่งมาแล้ว
“ส่วนแบ่ง?”
เจียงเผิงจีทวนความทรงจำของหลิ่วหลานถิง ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เหมือนกับค่าขนม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอกลับถึงเรือนของตนเองเห็นกองสิ่งของกองอยู่ เธอค้นพบว่าไม่เหมือนกับสิ่งที่คิด
ส่วนแบ่งไม่ใช่หีบเงินหนึ่งกล่องหรือถุงเงินหลายๆ ถุง แต่เป็นอุปกรณ์การเรียนในชีวิตประจำวัน รวมถึงอุปกรณ์ล้ำค่าในห้องหนังสือทั้งสี่ ผ้าสำหรับตัดชุดใหม่สิบกว่าผืน ขนสัตว์เนื้อนุ่มหลายผืน ผงธูปหอมอีกหลายสิบกล่อง จดหมายดอกไม้หลายพับและยังมีกระดาษไผ่ห้ามัด[1]…นี่เป็นกระดาษล้ำค่าแห่งยุค ส่วนแบ่งของหลิ่วหลานถิงเดือนนี้ก็มีกระดาษไผ่ห้ามัด?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แววตาเจียงเผิงจีประกายวาบ พูดด้วยความตกใจเล็กน้อย “กระดาษของเดือนนี้ ดูจะพิเศษกว่าเดือนที่แล้วอยู่นะ”
ท่าเสว่ไม่มีความสงสัย กลับพูดเสริมทับไปว่า “สายตาของเอ้อร์หลางจวินดีมาก” นางแอบๆ จับถุงเงินหนักใต้แขนเสื้อ
“ตามที่เถ้าแก่โรงงานบอก ช่างทดสอบลองปรับหลายครั้ง ความเหนียวของกระดาษไผ่ดีกว่าเมื่อก่อนมากและผิวสัมผัสเมื่อลองลูบดูก็เรียบลื่นมากขึ้น”
เจียงเผิงจีเข้ามาลูบ ดีกว่ากระดาษทั้งหมดที่ทำหนังสือในชั้นหนังสือมากจริงๆ
เพียงแต่ว่า นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เธอสนใจ
การทำกระดาษในยุคนี้ ถึงแม้ว่าจะมีฝีมือแต่ก็ไม่ชำนาญนัก คุณภาพกระดาษที่ทำออกมาจึงไม่ดี ไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้ ดังนั้นกระดาษคุณภาพดี ราคาก็ยังคงแพงเสียดฟ้า เช่นกระดาษที่เหมาะกับวาดรูปเขียนด้วยน้ำหมึกเช่นนี้ ยิ่งแพงขึ้นไปอีก
เธอค้นพบรายละเอียดในความทรงจำของหลิ่วหลานถิง ตระกูลอื่นต่างก็ให้ความสำคัญกับลูกชาย ในหนึ่งเดือนสามารถมีกระดาษครึ่งมัดนับว่าเยอะมากแล้ว อีกอย่าง กระดาษครึ่งมัดนั้นเกินครึ่งคือคุณภาพไม่ดีเท่าไร คนส่วนมากจึงยังใช้ม้วนไม้ไผ่เขียนหนังสือ
เหมือนกับหลิ่วหลานถิง หนึ่งเดือนได้มาเยอะเกินไป ยังเลือกกองที่คุณภาพดีที่สุดอีก…นอกจากว่า…
ในใจเจียงเผิงจีมีแผนการจึงกล่าว “ทำโรงผลิตกระดาษนั้นไม่ง่าย หนึ่งเดือนสามารถส่งกระดาษห้ามัดมาให้จวนได้ ยังคงเยอะไปหน่อย”
ท่าเสว่ไม่รู้เลยว่าเธอกำลังหยั่งเชิง จึงพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “โรงผลิตกระดาษแต่เดิมเป็นของฟูเหรินคนก่อนที่ยกให้เอ้อร์หลางจวิน อย่าพูดถึงหนึ่งเดือนว่าได้กระดาษห้ามัด ขอเพียงแค่เอ้อร์หลางจวินต้องการ จะไม่ขายให้แก่คนภายนอกก็ย่อมได้ แต่ไม่อาจจะให้หลางจวินขาดแคลน มีเหตุผลอันใดต้องประหยัดเพื่อท่าน”
โรงผลิตกระดาษ…ที่แท้…เส้นเลือดบนหน้าผากเจียงเผิงจีคลายลง
ท่าเสว่แอบมองเจียงเผิงจี เห็นสีหน้าของเธอนับว่าผ่อนคลายมีความสุข อดไม่ได้ที่จะถอนใจโล่งอก
เรื่องที่คุณชายให้คนโบยคนรับใช้จนตาย คนรับใช้จวนตระกูลหลิ่วส่วนใหญ่ทราบเรื่องแล้ว เมื่อก่อนไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อท่านผู้นี้ นิสัยอ่อนแอของคุณชายมีคนดูถูกอยู่บ้าง เพียงแต่เมื่อพบว่าอีกฝ่ายที่พูดจาเด็ดขาด หนึ่งไม่มีสอง พวกเขาแต่ละคนต่างเชื่อฟังแล้ว
เถ้าแก่โรงกระดาษส่งส่วนแบ่งของเดือนนี้มาก่อนสองสามวัน ยังให้ค่าไหว้วานแก่ท่าเสว่ ให้นางพูดชมสักประโยคสองประโยค
โรงผลิตกระดาษเป็นสิ่งที่ทำรายได้ดี เถ้าแก่เองก็ไม่อยากเสียเนื้อชิ้นโตไป
เนื้อที่ของโรงผลิตกระดาษไม่เล็กไม่ใหญ่ ทุกๆ เดือนผลิตกระดาษได้อย่างจำกัด แต่ละปีขุนนางทั้งหลายใช้กระดาษกันอย่างนับไม่ถ้วน เมื่อโรงผลิตกระดาษ ทำกระดาษไผ่ออกมา พวกขุนนางชั้นและพ่อค้าต่างแอบแย่งชิงจับจองกัน หากมาช้า ต่อให้ราคาสูงเท่าไรก็ไม่ขาย
หากต้องการชิงของจำนวนจำกัดในแต่ละปีจะต้องติดสินบนเถ้าแก่ แบ่งให้เยอะขึ้นหน่อย นี่เกือบจะเป็นละครที่เล่นกันทุกปี
“ดูท่าทางแล้ว เถ้าแก่นั้นให้เจ้ามาไม่น้อยสินะ ยากนะที่เจ้าจะพูดเพื่อคนอื่น”
พูดจบแล้ว เจียงเผิงจีทอดสายตาที่แขนเสื้อด้านขวาของท่าเสว่ สีหน้าอีกฝ่ายซีดขาว เธอหัวเราะแล้วพูดอย่างสบายใจ “ชีวิตบุตรสาวไม่ง่าย…ไม่ต้องกลัวไป เถ้าแก่ให้เจ้าก็ดี เพียงแต่อย่าให้เกินเลย เจ้าเก็บไว้ สาวใช้ของข้ามีคุณสมบัติที่ได้จะรับ”
ระบบแอบแขวะ ต้องการนางจนไม่เกรงกลัวจริงๆ คุณอย่าพูดตรงเกินไปสิ
เจียงเผิงจีได้เบาะแสที่ตนเองต้องการแล้วแอบปาดเหงื่อในใจ ยิ่งแน่ใจว่าตัวตนของมารดาหลิ่วหลานถิงนั้นผิดปกติ
[หยงหย่วนเตอเทียนคง]: ว่ะฮ่าๆๆๆ ทำไมฉันถึงมีความรู้สึกว่า นอกจากโฮสต์แล้ว ยังมีเขาที่ข้ามเพศมา?
[มู่รุ่ยฮวาคาย]: เอ๊ะ จริงหรือ บางทีเมื่อถึงเวลา โฮสต์สามารถไปงานดูตัวระดับประวัติศาสตร์ได้นะสิ
[ผู้ใช้ 3216]: เมนต์บนเองไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ใจคนนั้นยากจะลึกถึง แต่ละคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน โฮสต์เองต้องระวังถูกคนแทงเข้าละ
[ผู้ใช้ Rey11]: ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้น มีคนข้ามเพศหญิง โฮสต์เองไม่ออกตัวแทงเขานับว่าจิตใจดีแล้ว #จิ้มจมูก[2]
[โทวตู้เฟยฉิว]: เห็นด้วยกับ @ผู้ใช้ Rey11 ความสามารถในการต่อสู้ของโฮสต์นั้นสูงสุดเลยนะ
เธอคิดใคร่ครวญพลางมองซับกระสุนหาแรงบันดาลใจ เสียงของสาวใช้ท่าเสว่ลอยเข้าข้างหู
“พรุ่งนี้เอ้อร์หลางจวินยังไปสำนักศึกษาหรือไม่เจ้าคะ” ท่าเสว่ช่วยเธอเก็บส่วนแบ่งทั้งหลาย แยกเก็บแต่ละประเภทไว้ในหีบที่ไม่เหมือนกัน “เมื่อวานท่านเว่ยส่งคนมาบอกกล่าวว่า ต้องลมหนาวยังไม่ดีขึ้น ต้องรักษาตัวอีกสามถึงห้าวัน เพื่อที่จะไม่ได้ไข้มาติดหลางจวินเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้ อาจารย์ที่สอนหลิ่วหลานถิงไม่สบายขึ้นมา ลาหยุดไปสามวัน ไม่คิดว่าถึงตอนนี้ยังไม่ดีขึ้น
“สำนักศึกษา?”
เจียงเผิงจีขมวดคิ้วนึกแล้วนึกอีก หลิ่วหลานถิงไม่ชอบไปที่นั่น
ส่วนมาจะเชิญแต่อาจารย์มาสอนที่จวน แต่เดิมเธอคิดจะปฏิเสธ เพียงแต่ผู้ชมที่หน้าจอจำนวนไม่น้อยขอร้องว่าอยากดูสำนักศึกษาในสมัยโบราณใกล้ๆ
ดังนั้น เจียงเผิงจีจึงกลืนคำปฏิเสธลงไปแล้วพูดกลับกันว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไป นานแล้วไม่ได้ไปสำนักศึกษา ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ท่าเสว่ เจ้าอย่าลืมบอกพ่อบ้านให้เตรียมของเยี่ยมหนึ่งชุดส่งไปให้ท่านเว่ยด้วย ให้เขาพักฟื้นดีๆ”
สำนักศึกษา พูดอีกอย่างคือตระกูลต่างๆ ออกเงินสร้างและเชิญอาจารย์ต่างๆ มาสอนเด็กในตระกูล
[1] ห้ามัด หนึ่งมัดมีประมาณห้าร้อยแผ่น
[2] อิโมจิจิ้มจมูกหนึ่งข้าง หมายถึง พูดไม่ออก หรือ ไม่สนใจ