เจียงเผิงจีหัวเราะเย็นๆ มองไปยังพ่อบ้านและบ่าวไพร่ที่มาดูการลงโทษทุกคนแล้วกล่าว “ดูเอาไว้จนกว่ามันจะหมดลมหายใจ ไม่ว่าใครก็ออกไปไม่ได้ ไม่ว่าใครก็อย่าคิดที่จะละสายตา แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ หากใครกล้าที่จะพูดพล่ามออกไป จะใช้บทลงโทษเดียวกันทั้งหมด คือถูกไม้ฟาดจนตาย”
“คนที่หนียามเฝ้าเวรไปเมื่อคืน ข้าไม่เรียกออกมาแล้วกัน หลังจากดูการลงโทษเสร็จก็ไปรับโทษเอาเอง”
คนรับใช้ชายคิดจะรังแกจวนตระกูลหลิ่ว ที่ซึ่งไม่มีผู้นำของบ้านอยู่อย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นก็ดูเถอะ ดูถึงตอนที่ทุกคนหวาดกลัวกันหมด
พ่อบ้านยืนมองอยู่ด้านข้าง แอบถอนหายใจ กล่าวเสียงเบา “เอ้อร์หลางจวิน นี่มันค่อนข้างจะ…”
ตระกูลหลิ่วเป็นตระกูลบัณฑิต จะคิดทำสิ่งใดล้วนต้องระมัดระวังท่าทางและหน้าตา เหมือนกับเรื่องที่สกปรกรกหูรกตาเช่นนี้ ต้องโยนให้บ่าวทั้งหลายไปจัดการ เจียงเผิงจีทำแค่วางแผนและควบคุมสถานการณ์ก็พอแล้ว
หลังจากนั้น พ่อบ้านนึกถึงมารดาของหลิ่วหลานถิง ก็รู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่สามารถรับได้ บางทีความเด็ดขาดภายใต้ใบหน้าที่อ่อนโยนของคุณชายรองนั่น คงได้มาจากฟูเหรินคนก่อน
เจียงเผิงจีเล่นพัดด้ามใหม่พลางกล่าวช้าๆ “หากไม่ทำเช่นนี้ สุดท้ายสาวน้อยผู้นั้นคงต้องหาทางปลิดชีพตนเองจนได้ สาวใช้ตระกูลหลิ่วไม่ใช่หญิงรับใช้จวนด้านนอก เมื่อนางได้รับความไม่เป็นธรรมที่นี่ ข้าก็มีคุณสมบัติที่จะร้องเรียกดอกเบี้ยบางส่วนกลับคืนมาจากเจ้าหนี้ เมื่อพูดต่อไปแล้ว หลายปีมานี้ท่านพ่อไม่ได้อยู่ที่จวน ถึงแม้พ่อบ้านจะทุ่มแรงทุ่มใจดูแลจัดการจวนตระกูลหลิ่วเพียงใด แต่พออายุมากขึ้น เรี่ยวแรงในการทำงานเมื่อเทียบกับตอนวัยหนุ่มแล้ว เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีจุดละเลยไปบ้าง เหมือนช่วยพวกคนเลวเหล่านี้ พวกเราไม่อาจจะทำให้ทุกคนจงรักภักดีเหมือนกับพ่อบ้านได้…เอ๊ะ หรือว่าเรือนชั้นในก็เป็นที่พวกผู้ชายเข้าออกได้ตามใจชอบ”
บ่าวรับใช้คนนั้นเป็นคนปากสว่าง หรือจะบอกว่าเป็นคนปากมากก็ได้
เจียงเผิงจีพอจะจินตนาการได้ทั้งหมด หากวันไหนพวกมันดื่มเยอะ หรือวันไหนมันลำพองใจ นำเรื่องที่ตนเองขืนใจสาวใช้ไปพูดกับพวกเพื่อนหมาๆ ทั้งหลาย จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย กระจายไปทั่วเมืองเหอเจียนแล้ว ถึงตอนนั้นศักดิ์ศรีของหญิงสาวในตระกูลหลิ่วคงป่นปี้จนหมดอย่างแน่นอน
ถ้ามันไม่ตาย แล้วใครต้องตาย!
พ่อบ้านยังคงเป็นกังวลใจ ต่อไปนี้เรื่องของวันนี้เกรงว่าทั้งเมืองเหอเจียนคงรู้ไปทั่วกันหมดแล้วว่า คุณชายรองตระกูลหลิ่วนั้นเป็นคนโหดร้ายป่าเถื่อน
ณ เวลานี้แดดยังไม่แรงมากนัก เมื่อกระทบกายก็ยังเย็นอยู่ แต่ความเย็นเช่นนี้ เหล่าผู้ชมล้วนรู้สึกว่าไม่หนาวเหน็บเท่าภายในใจ
สาวใช้ที่มีรูปร่างเล็กกระจ้อยร่อย แต่เวลานี้กลับดึงเรี่ยวแรงในร่างกายออกมายกท่อนไม้ ฟาดลงไปบนร่างของชายที่ถูกมัดอยู่อย่างหนักหน่วง อีกฝ่ายเจ็บจนอยากกลิ้งหนีออกมา นางก็ยกท่อนไม้ไล่ฟาดตาม เจ็บตรงไหนฟาดตรงนั้น เสียงฟาดหนักๆ ดังขึ้นอยู่ในใจของผู้ชม
ไม่เพียงแต่คนรับใช้ที่ถูกบังคับให้ดูจนทั้งร่างรู้สึกหนาวสั่น สองขากระทบกัน ด้านผู้ชมทางหน้าจอเองก็รับไม่ได้ บางส่วนที่ไม่ค่อยเก่งในการรับมือกับความรู้สึก ก็รู้สึกถึงความคลื่นไส้ที่ตีขึ้นมาในลำคอเลยด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้น จำนวนผู้ชมไลฟ์กลับค่อยๆ ไต่ไปถึงสามพันอย่างช้าๆ อีกทั้งยังรอเข้าคิวชมอยู่ด้านนอกอีกจำนวนไม่น้อย
จำนวนผู้ชมให้ห้องไลฟ์มีจำกัด เหมือนกับเจียงเผิงจีที่เป็นโฮสต์เลเวลหนึ่งเช่นนี้ จำนวนผู้ชมสูงสุดได้เพียงแค่สามพันเท่านั้น ถ้าต้องการเพิ่มจำนวนผู้ชม ต้องใช้คะแนนความนิยมผู้ชมของบัญชีโฮสต์ให้ระบบอัพเลเวลขึ้น
โฮสต์เลเวลหนึ่งอัพขึ้นไปเลเวลสอง ต้องใช้คะแนนความนิยมหนึ่งแสนคน ตอนนี้บัญชีของเจียงเผิงจีมีเพียงแค่ 1,532 คนที่กดคะแนนให้เท่านั้น
พ่อบ้านกล่าวอย่างละอายใจ “เป็นข้าน้อยเองที่ไม่ดี ละอายต่อความไว้วางใจของนายท่านนัก ที่ทำให้กระทบกับชื่อเสียงของเอ้อร์หลางจวินในวันข้างหน้า…”
หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในจวน ไม่ได้ป้องกันแต่แรก คุณชายรองของตนเองก็คงไม่ต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้
สำหรับเรื่องนี้เจียงเผิงจีมีความมั่นใจ “วางใจเถอะ ไม่มีใครกล้าปากมากหรอก บางทีอาจจะชื่นชมข้าสักสองประโยคที่จัดการเรื่องในจวนได้อย่างเด็ดขาด”
หากเธอไม่ได้ลงมือเช่นนี้ เชลยสาวสูงศักดิ์ในจวนเหล่านั้นจะกังวลใจนะสิ
ขนาดบ่าวไพร่ในบ้านยังไม่กล้าลงมือหนัก ยังถูกพวกผู้ชายอีกฝ่ายบังคับอีก จะปล่อยให้เกิดเรื่องอันตรายขนาดนั้นต่อตนเองและหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไรกัน
พ่อบ้าน: “…”
ตั้งแต่เริ่มฟาดจนถึงตาย ทั้งหมดใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วยาม ผู้ชมที่ลานและผู้ชมไลฟ์ถูกบังคับให้ดูไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ
พื้นถูกอาบเป็นผืนสีแดงขนาดใหญ่ สมองขาวๆ และกระดูกแตกเป็นเศษเละอยู่บนพื้น ยังมีเศษเนื้อที่กระจายไปอยู่ทุกที่…คนรับใช้ในจวนตกใจกลัวจนไม่กล้าหายใจ มีหลายคนรู้สึกว่าช่วงท้องด้านล่างชาเล็กน้อย ความร้อนสายหนึ่งไหลลงมาตามขา ขนาดที่คนแข็งแกร่งยังหวาดกลัว รับไม่ไหวแล้ว!
ไม่ว่าใครก็ไม่อาจถามอะไร กลัวว่าเมื่อก่อนเรื่องที่ตัวเองเคยทำเอาไว้จะถูกยกมาขึ้นคิดบัญชี ผู้ชมที่อยู่หน้าจอเองกลับรู้สึกว่าถูกบังคับให้เปลี่ยนทัศนคติทั้งสามใหม่
เจียงเผิงจี ทำเหมือนไม่มีปัญหาอะไร เตะท่อนไม้ที่อยู่เบื้องหน้าออก ประคองสาวใช้ที่แทบจะยกท่อนไม้ไม่ไหว จับมือของอีกฝ่ายไว้ลูบไปมา
“ข้าสั่งให้คนไปต้มยาไว้ให้เจ้าแล้ว อย่าลืมว่าเดี๋ยวต้องประคบแขน มิเช่นนั้นพรุ่งนี้จะเจ็บกล้ามเนื้อยกไม่ขึ้น ดูมือสองข้างนี้สิผอมบางแต่ก็สามารถแก้แค้นให้กับตัวเองได้ใช่ไหมเล่า เจ้าจำไว้ หลังจากนี้หากใครมาขืนใจเจ้า เจ้าก็จำขั้นตอนเมื่อครู่ไว้ดีๆ ต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะแก้แค้นได้ ตายไปแล้วก็ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลตลอดกาล เป็นสาวใช้ตระกูลข้า ไม่ใช่เป็นกระเบื้องแก้วที่ใครจะมารังแกก็ได้”
สาวใช้ผู้นั้นใช้แรงใจฮึดยืนหยัดไม่ให้ล้มลงไป วันนี้ฟังคำพูดของเจียงเผิงจีแล้วกลับมีความรู้สึกผิดที่พูดไม่ออก ก้มตัวกอดเข่า หน้าผากซบแขนที่กอดไหล่ไว้ ไหล่สั่นเทา คู้ตัวและร้องไห้อย่างเจ็บปวดเงียบๆ
เรือนด้านในฝั่งตะวันตก เตี๋ยฟูเหรินที่เพิ่งฟื้น ฟังรายงานจากสาวใช้ข้างตัว ดวงตาทั้งสองข้างมีประกายอย่างลึกลับแวบหนึ่ง
“เจ้าบอกว่าเอ้อร์หลางจวินสั่งให้คนนำไม้ฟาดจนตายจริงหรือ” เตี๋ยฟูเหรินลุกขึ้นจากฟูกมานั่งพิงสาวใช้
สาวใช้แทบจะย้อนไปอยู่ที่ฉากเมื่อครู่ อดที่จะหนาวสั่นไม่ได้ “เจ้าค่ะ เป็นเอ้อร์หลางจวินที่นำท่อนไม้ให้สาวใช้ผู้นั้นด้วยตนเอง”
ท่อนไม้สูงกว่าหัวสาวใช้ตั้งเยอะ นางถึงขั้นเอาไม้ที่มีขนาดใหญ่เช่นนั้นฟาดคนรับใช้ผู้จนตาย
เตี๋ยฟูเหรินกลับไม่ได้ใส่ใจมาก กล่าวว่า “นี่มันมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร หญิงสาวนี้ก็มิใช่เกิดมาแล้วจะนุ่มนวลทุกคน หากในใจมีความเกลียด เกลียดคนๆ หนึ่งจนถึงขีดสุด แม้จะอดกลั้นไว้ก็ต้องแก้แค้นเอาคืนให้หนัก…”
ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ เตี๋ยฟูเหรินกล่าวขึ้นอีก “อารมณ์เด็ดขาดรุนแรงเช่นนี้ ไม่เหมือนกับบิดาของนางนัก แต่เหมือนกับมารดานางมากกว่า”
บิดาแซ่หลิ่ว เมื่อยังหนุ่มนั้นมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ราวกับเซียนที่ออกมาจากภาพวาด มีนิสัยที่อ่อนโยนดั่งหยกและพูดจาสุภาพ ไม่ว่าจะคุยกับผู้ใด เขาก็สามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงลมในฤดูใบไม้ผลิได้ และแน่นอนว่าผู้ชายผู้นี้โตมากับการดื่มหมึกดำมาตลอด เสื้อผ้าบนร่างกายสะอาดเพียงใด กลอุบายในท้องก็ดำมืดเพียงนั้น
เขาสามารถใช้ฝีปากแก้ไขเรื่องราว ชายผู้นี้ถึงแม้ว่าจะเดินไปก่อนสองก้าวก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
แต่มารดาของหลิ่วหลานถิงกลับไม่เหมือนเขาเลยแม้แต่น้อย นางเกิดมามีใบหน้างดงาม ให้ความรู้สึกราวกับหญิงสูงศักดิ์ แต่เบื้องหลังมีนิสัยกระตือรือร้น มักชอบทำบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่เข้าใจ ทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าสมองของนางเติบโตมาอย่างไร
ส่วนบุตรสาวของพวกเขากลับรวมจุดเด่นของทั้งคู่เอาไว้
นางหน้าตาคล้ายบิดา แต่ความแข็งแกร่งที่ฝังในกระดูกและนิสัยดุดันนั้น กลับเหมือนมารดาของนาง เพียงแต่…
เตี๋ยฟูเหรินจิบน้ำชาหนึ่งอึก “เอ้อร์หลางจวินมีความฉลาดกว่ามารดานางนิดหน่อย”
หลิ่วหลานถิงไม่เหมือนแม่ของนาง เมื่อสร้างปัญหาแล้วก็ไม่มีหลิ่วเสออีกคนมาคอยช่วยเก็บกวาดแทน ดังนั้นจึงพึ่งพาตัวเองดีกว่า
สาวใช้ไม่เข้าใจ “แต่…ฟูเหริน เอ้อร์หลางจวินทำเช่นนี้ ชื่อเสียงมิใช่ว่า…”
เตี๋ยฟูเหรินหัวเราะเฮอะ เฮอะ กล่าวว่า “เขาเป็นบุตรชายของตระกูลหลิ่ว มิใช่หญิงสาวที่เก็บเนื้อเก็บตัวแบบชาวบ้านธรรมดา การกระทำไม่ว่ารุนแรงเพียงใด จะเป็นคนใหญ่คนโตต้องอำมหิต วันนี้คุณชายคนอื่นๆ ต่างมัวแต่ผัดแป้งทาหน้า ปักหยกเลือกอาภรณ์ มองดูแล้วช่างไร้รสชาติสิ้นดี”