บทที่ 28
“โปรเจกต์เราคืบหน้าไปมาก ต้องขอบคุณทุกคนที่ร่วมด้วยช่วยกันจนในที่สุดก็ออกมาเกือบสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดไม่เกินสิ้นเดือนนี้คงได้ปิดงานสำหรับโปรเจกต์ส่งท้ายปีของทีมเราแน่นอน!”
เสียงหัวหน้าฝ่ายทีมโปรเจกต์อย่างคุณปริชญ์ยืนพูดกลางห้องประชุมด้วยสีหน้าอารมณ์ดีเมื่อโปรเจกต์ดำเนินไปตามเป้าหมายที่พวกเราทุกคนวางกันไว้ เสียงปรบมือดังระงมเมื่อถูกผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยปากชมในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา เพราะทุกครั้งคุณปริชญ์มักจะมีสีหน้าที่เคร่งเครียดอยู่ตลอด อาจจะเป็นเพราะโดนกดดันจากระดับบนของแผนกเลยพาลทำให้เครียดสะสมจนต้องมาลงที่ลูกน้องอย่างพวกเราก็เป็นได้
“หลังจากผ่านโปรเจกต์ทรหดนี้ผ่านไป เพลนว่าเราต้องฉลองกันหน่อยแล้วล่ะค่ะ!”
เสียงของเพลนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นราวกับเฝ้ารอเวลานี้มาแสนนาน ทุกคนพยักหน้ารัว ๆ อย่างเห็นด้วยและเริ่มออกแสดงความคิดเห็นเรื่องร้านที่จะไปกันอย่างคึกคัก แต่มีแค่ผมเท่านั้นที่นั่งนิ่งเงียบไม่มีบทสนทนาร่วมกับคนอื่นในทีม สายตาเหม่อลอยมองลงบนโต๊ะยาวกลางห้องเพราะในหัวตอนนี้มันมีแต่คำถามให้ผมต้องคิดเยอะเสียเหลือเกิน
ท้อง…
ท้องหรือเปล่าวะ…
“คุณคับฟ้าสนใจไปร้านไหนดีคะ…”
“…”
“คุณคับฟ้าคะ…คุณคับฟ้า!!”
ตัวผมสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงขานเรียกของเพื่อนร่วมงานอย่างเพลนตะโกนดังขึ้นหลายครั้งจนคนอื่นพากันมองมาที่ผมเป็นตาเดียว สายตาทุกคนที่สื่อมาดูจะเป็นกังวลมากเมื่อเห็นผมนั่งเงียบไม่พูดไม่จาตลอดระยะเวลาการประชุมในครั้งนี้
“วะ ว่ายังไงนะครับ เพลนถามว่าอะไร”
ผมเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งเพราะเมื่อครู่ผมไม่ได้สนใจกับบทสนทนาภายในห้องแม้แต่ประโยคเดียว…
“เอ่อ เพลนถามว่าคุณคับฟ้าอยากไปร้านไหนเป็นพิเศษไหมคะเพราะหลังจบโปรเจกต์เราจะไปฉลองกันค่ะ”
“เอ่อ ผมว่า…”
เมื่อเพลนพูดจบสายตาทุกคู่หันมองมายังผมอย่างลุ้นคำตอบในการออกความคิดเห็น แต่ในระหว่างที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอาการคลื่นไส้ก็ตีขึ้นมาจุกอยู่ลำคอเสียดื้อ ๆ ทำให้ตัวผมรีบลุกขึ้นวิ่งออกจากห้องประชุมทันที สองขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อตรงไปยังห้องน้ำก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างภายในท้องจะอ้วกออกมาตามทางเดินแทน เมื่อสามารถพาร่างเข้าไปยังห้องน้ำได้ตัวผมจึงรีบปรี่เข้าไปปลดปล่อยสิ่งที่ตีขึ้นคอให้ไหลออกด้วยความทรมาน เสียงโก่งคออ้วกดังระงมไปทั่วห้องน้ำ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบของใครบางคนก็วิ่งมาหยุดอยู่ตรงบานประตูห้องที่ผมนั่ง
“คับฟ้า! คับฟ้า! โอเคไหม!”
เสียงธามดังขึ้นหน้าห้องโดยที่ผมทำได้เพียงตอบกลับไปด้วยเสียงอ้วกของตัวเอง น้ำตาเอ่อล้นจนไหลอาบแก้มเป็นทางด้วยความทรมานกับสิ่งที่กำลังเจอะเจอ ความรู้สึกสับสนและกลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่คิดมาตลอดทั้งอาทิตย์มันจะเป็นจริง
.
.
.
.
.
.
“พี่หวานอาการของคนแพ้ท้องเป็นยังไงเหรอ”
ผมเอ่ยถามในขณะที่นั่งมองเจ้าบูบู้วิ่งเล่นในสวนหน้าบ้านในยามเช้า พี่หวานที่กำลังนวดตัวให้อยู่ด้านข้างถึงกับชะงักไปเล็กน้อยแล้วย่อตัวนั่งลงเพื่อนวดบริเวณลำแขนให้ผมอย่างเบามือ
“คลื่นไส้ ไวต่อความรู้สึก เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวกว่าปรกติ อารมณ์แปรปรวนและอยากกินของเปรี้ยว น่าจะประมาณนี้มั้งคะคุณคับฟ้า เท่าที่หวานทราบก็น่าจะประมาณนี้ค่ะ”
สายตาผมหลุบต่ำมองไปยังโต๊ะนั่งเล่นที่ตอนนี้มะม่วงทุกสายพันธุ์ที่เขาบอกว่าเปรี้ยวนักเปรี้ยวหนาถูกวางเรียงรายด้วยคำสั่งของผมหลังจากที่เมื่อเช้าสั่งพี่หวานหาซื้อมาให้ มือขวาหยิบชิ้นมะม่วงกัดเข้าปากเพื่อดับความอยากกินตลอดทั้งอาทิตย์เพราะแค่คิดว่าตัวเองจะได้กินของเปรี้ยวน้ำลายก็สอจนอดใจไว้ไม่อยู่
“แล้วของที่ผมให้พี่หวานซื้อได้มาไหม”
ผมกัดกินมะม่วงเปรี้ยวชิ้นสุดท้ายเข้าปากและรสชาติความเปรี้ยวที่ได้รับจนตัวผมสะดุ้งเป็นรอบที่ร้อยของวัน ผมเอี้ยวหน้าหันไปถามผู้เป็นแม่บ้านคนสนิทที่ตอนนี้นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้างกาย พี่หวานก้มลงหยิบถุงยาส่งมาให้พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุขที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา ผมเอื้อมมือรับไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นราวกับกำลังยืนพรีเซนต์งานต่อหน้าผู้คนนับร้อย
“หวานซื้อมาให้สองชุดเลยค่ะ แต่คนละยี่ห้อเพื่อความแม่นยำในการตรวจ”
“…”
“หวานตื่นเต้นดีใจจังเลยค่ะคุณฟ้า หวานจะรอลุ้นนะคะ”
ใบหน้าของสาววัยกลางคนเลื่อนมากระซิบข้างหูเพื่อไม่ให้ศิลป์ที่กำลังเดินอยู่ตรงหน้าผมได้ยินในสิ่งที่เราสองคนกำลังพูดคุยกัน ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจและหลุบต่ำมองลงมายังถุงยาในมือแล้วถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ด้วยความรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นในขณะเดียวกัน
ใช่แล้ว…
สิ่งที่อยู่ในมือผมตอนนี้…
คือชุดทดสอบการตรวจครรภ์…
ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาจากอาการต่าง ๆ ทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองทุกวันเพราะสาเหตุของอาการทั้งหมดทำให้ผมเริ่มนั่งไล่หาอาการของสภาวะตั้งครรภ์เริ่มแรกตามอินเทอร์เน็ตและสิ่งที่ได้กลับมาจากการค้นคว้าด้วยตัวเองผลปรากฏว่า
มีเกณฑ์ในการตั้งครรภ์สูง…
ด้วยความเชื่อสุดใจที่ไม่อาจยอมรับได้ว่าอาการเหล่านี้เป็นอาการของการตั้งครรภ์จึงทำให้อารมณ์ผมไม่คงที่อยู่ตลอดเวลา ผมพยายามแยกตัวออกจากสังคมในที่ทำงานจนพาลทำให้บรรยากาศตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาตึงเครียดไม่น้อย รวมไปถึงขุนศึกที่ตลอดทั้งอาทิตย์ผมพยายามหลีกเลี่ยงจะเปิดบทสนทนาพูดคุยกับชายผู้เป็นสามีอยู่บ่อยครั้งจึงทำให้บรรยากาศระหว่างเราตึงเครียดไม่ต่างกัน
“ศิลป์ ขุนศึกทำอะไรอยู่”
ผมเอ่ยถามศิลป์ที่เดินวนไปวนมาบริเวณสวนหน้าบ้านไม่ห่างจากผมเท่าไหร่นัก เมื่อศิลป์ได้ยินเสียงผมเรียกก็รีบปรี่เข้าหาราวกับกำลังรอจังหวะให้ผมเรียกเสียอย่างนั้น ในระหว่างที่รอลูกน้องคนสนิทของขุนศึกตอบกลับสองมือผมกำถุงใบเล็กไว้แน่นเพื่อระบายอาการสั่นของตัวเองให้คลายลง
“ท่านประธานนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นครับ คุณคับฟ้าเข้าไปหาท่านประธานตอนนี้เลยไหมครับเพราะดูท่าทางของท่านประธานคงอยากจะเข้ามาหาคุณครับฟ้ามากเลยครับ”
จากประโยคของศิลป์ที่ตอบกลับด้วยท่าทีร้อนใจจนผมอดไม่ได้ที่จะเอี้ยวตัวหันหลังไปมองบุคคลที่ถูกกล่าวถึง เมื่อสายตาเพ่งเล็งไปยังด้านในก็เห็นขุนศึกกำลังชะโงกหน้าสอดส่องมองผมอย่างใจจดใจจ่อ แต่ยังคงมาดนิ่งและเคร่งขรึมไว้และราวกับจงใจส่งศิลป์ออกมาด้านนอกเพื่อคอยสังเกตพฤติกรรมของผมให้เจ้าตัวได้รับรู้
ผมหันกลับมานั่งตัวตรงเพื่อทำใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเต็มความสูงหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านหาผู้เป็นสามีที่ตอนนี้ยังคงนั่งชะเง้อคอมองผมตัวแทบไม่ติดเบาะ เมื่อสายตาคมเข้มเห็นร่างของผมย่างเท้าเข้ามาหาขุนศึกจึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับระบายยิ้มอย่างดีอกดีใจเมื่อคนเป็นเมียเลิกหลบหน้าเจ้าตัวเสียที
“คิดถึง คิดถึงเสียงเมีย…”
ไร้ซึ่งการคาดคั้นถามหาสาเหตุอาการตึงเครียดของผมในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา มีเพียงน้ำเสียงอ่อนโยนบอกคิดถึงให้ผมฟังเท่านั้น สีหน้าของชายผู้เป็นสามีฉายแววเป็นห่วงเป็นใยสุดแสนจะเอ่อล้นออกมาจากนัยน์ดุดันคู่นั้น เมื่อผมเห็นปฏิกิริยาของขุนศึกก็ถึงกับเขย่งตัวยกแขนขึ้นคล้องคอและซุกใบหน้าซบลงบนอกกว้างด้วยความคิดถึงกลิ่นกายของสามีที่ไม่ได้โอบกอดมานานนับหลายวัน
“ขุนศึกกูมีอะไรจะบอก…”
ผมพูดออกมาทั้ง ๆ ที่ยังซบลงบนอกแกร่งทำให้ขุนศึกต้องใช้สองมือผลักตัวผมออกเพื่อให้ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด สีหน้าขุนศึกฉายแววกังวลใจขึ้นมาเมื่อผมเปิดประเด็นอย่างสองแง่สองง่าม แต่ก่อนที่คิ้วหนาจะขมวดเป็นโบถุงร้านขายยาที่พี่หวานเป็นคนซื้อมาเมื่อเช้าถูกยื่นออกไป ขุนศึกเอื้อมมารับถุงจากมือผมด้วยสายตาไม่เข้าใจก่อนจะก้มลงเปิดออกอย่างเชื่องช้าและทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของร่างสูงทำเอาใจผมสั่นด้วยความตื่นเต้น
“นะ นี่มัน…”
ใบหน้าขุนศึกรีบเงยขึ้นมองผมทันควันพร้อมกับดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นบางสิ่งที่อยู่ในถุง ผมเม้มปากเข้าหากันด้วยความรู้สึกประหม่าแล้วสบตามองผู้เป็นสามีด้วยแววตาจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ
“เราไปตรวจด้วยกันไหม กูไม่อยากนั่งตรวจคนเดียว…”
ร่างสูงไม่รีรอให้ผมได้พูดจบข้อมือก็ถูกฉุดให้เดินตรงขึ้นไปยังห้องนอนทันทีแต่ดูเหมือนการก้าวเท้าของผมจะช้าจนไม่ทันใจ ขุนศึกจึงหันกลับมาอุ้มผมในท่าเจ้าสาวแล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ขุนศึกใช้เวลาไม่ถึงนาทีร่างของผมก็ถูกวางลงบนฝาชักโครกภายในห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อย
“ตรวจ! ตรวจเลย!”
เสียงดังในระดับที่มากกว่าปรกติของร่างสูงกำลังยืนแกะกล่องชุดตรวจครรภ์ให้ อาการลนลานที่แสดงออกมามากจนทำให้กล่องที่อยู่ในมือของขุนศึกตกลงพื้นไปหลายรอบ ผมนั่งมองอาการของชายผู้เป็นที่รักด้วยรอยยิ้มกับท่าทีที่ไม่เป็นตัวเองจนต้องเอื้อมไปจับฝ่ามือใหญ่หวังเรียกสติของคนตรงหน้าให้กลับมาอยู่ที่ตัว
“ไม่ต้องรีบค่อย ๆ แกะ…”
“กูสั่นไปหมดเลยคับฟ้า ขอโทษกูคุมตัวเองไม่อยู่…”
“ไม่เป็นไร เรามาตรวจพร้อมกันนะ…”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วพร้อมกับระบายยิ้มส่งให้ขุนศึกถึงแม้ในใจของผมก็เกิดอาการลนลานตื่นเต้นไม่ต่างกัน เมื่อเวลาผ่านพ้นไปไม่นานนักชุดตรวจครรภ์ยี่ห้อแรกถูกยื่นมาให้ผม แน่นอนว่าก่อนที่จะให้พี่หวานจัดการซื้อของพวกนี้มาผมได้เตรียมความพร้อมศึกษาวิธีใช้งานในระดับหนึ่ง ผมเอื้อมมือรับเจ้าสิ่งนั้นแล้วก้มลงทำการตรวจตามขั้นตอนในแบบที่ถูกต้องโดยที่ขุนศึกยืนกอดอกมองผมไม่วางตา
การตรวจยี่ห้อแรกผ่านพ้นไปผมจึงรีบคว้ายี่ห้อที่สองก้มลงตรวจต่ออย่างไม่ให้ขาดช่วงขาดตอน จนทุกอย่างเสร็จสิ้นชุดตรวจสองอันถูกนำมาวางไว้บนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าโดยมีขุนศึกจับเวลานาฬิกาเรือนแพงบนข้อมือไม่ห่าง ผมจัดการทำความสะอาดให้ตัวเองจนเสร็จจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่แขนแกร่งของผู้เป็นสามีเลื่อนมาสอดเอวรั้งเข้าหาตัวไปพร้อมกับหัวใจที่สั่นระรัวหนักว่าเดิม
“คับฟ้ากูตื่นเต้น…”
น้ำเสียงสั่นเครือของขุนศึกที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนดังขึ้นตรงหน้า สองแขนผมยกขึ้นคล้องคอหนาแล้วเลื่อนใบให้หน้าผากแนบชิดติดกันจนได้ยินเสียงลมหายใจที่ผิดแปลกไปคล้ายกับอาการของคนตื่นเต้นสุดชีวิต
“กูก็ตื่นเต้น…”
ผมตอบกลับด้วยเสียงสั่นและนี่คือสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมผมไม่ต้องการให้บุคคลที่สามมารับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะหากผลลัพธ์ออกมาว่าผมนั้นท้องจริงผมอยากให้เราทั้งคู่รับรู้ก่อนเป็นสองคนแรก ให้รับรู้ถึงความรู้สึกของการตรวจครรภ์ด้วยตัวเองว่ามันรู้สึกเป็นอย่างไรและแน่นอนว่าตอนนี้ผมรู้สึกตื่นเต้น
ตื่นเต้นที่สุด…
ขุนศึกยกแขนขึ้นมาดูเวลาทุกวินาทีที่เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า เราสองคนยืนหน้าผากแนบชิดติดกันมานานนับหลายนาทีจนในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราทั้งคู่ต้องหันกลับไปดูผลตรวจจากชุดตรวจครรภ์ที่เกิดจากฝีมือของเราสองคน
“พร้อมไหม…”
สายตาสอดประสานแฝงไปด้วยความรู้สึกและอารมณ์ที่หลากหลาย ผมเอื้อนเอ่ยถามร่างสูงก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้ากลับมาเบา ๆ ท่อนแขนผมคลายออกจากต้นคอแล้วพลิกตัวหันไปมองยังกระจกบานใหญ่ สองเท้าเดินเข้าใกล้แท่งสองอันที่วางไว้บนเคาน์เตอร์โดยมีวงแขนกว้างโอบรอบเอวผมไม่ห่าง
สายตาผมหลุบต่ำลงมองเจ้าสิ่งนั้นด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นระรัว มือขวาเอื้อมไปคว้าชุดตรวจครรภ์ขึ้นมาไว้และค่อย ๆ หงายขึ้นดู มือซ้ายผมยกขึ้นปิดปากด้วยความตกใจทันทีเมื่อผลลัพธ์ที่ออกมานั้นทำเอาตัวผมชาวาบ ผมช้อนสายตาขึ้นมองไปยังกระจกเพื่อสบตากับคนด้านหลังด้วยสีหน้าเหวอและอึ้ง
สองขีดทั้งสองอัน…
ท้อง…
ผมท้องงั้นเหรอ…
“ขะ ขุนศึกกูท้อง…”
สิ้นเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาทำให้ร่างผมถูกพลิกกลับไปเผชิญหน้ากับขุนศึกที่ตอนนี้มีสีหน้าตกใจสุดขีด สองมือที่เคยโอบเอวผมไว้แปรเปลี่ยนเป็นยกขึ้นลูบใบหน้าตัวเองราวกับสิ่งที่ได้ยินนั้นมันเหนือความคาดหมายที่เจ้าตัวคิดไว้ ผมหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาแล้วชูสิ่งที่อยู่ในมือโชว์ให้ชายผู้เป็นสามีได้เห็น ขุนศึกเอื้อมมาหยิบและก้มลงดูอีกรอบก่อนจะเงยหน้ามองผมอย่างไม่เชื่อว่าทั้งหมดตรงหน้ามันคือเรื่องจริง
“กะ กู…”
“…”
”กูกำลังจะเป็นพ่อคนเหรอวะ…”
ผมพยักหน้ารัว ๆ พร้อมกับส่งยิ้มกลับไปให้เป็นคำตอบ…
“เรากำลังจะมีลูกด้วยกันเหรอ มึงไม่ได้ล้อกูเล่นใช่ไหมคับฟ้า…”
ผมพยักหน้าตอบกลับไปอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะขึ้นกลางห้องสี่เหลี่ยมที่อบอวลไปด้วยน้ำตาแห่งความดีใจจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ขุนศึกเมื่อได้ยินและได้เห็นการยืนยันจากผมก็ถึงกับทรุดเข่าล้มตัวลงไปกับพื้นก่อนจะระเบิดเสียงร้องไห้สลับกับเสียงหัวเราะดังสุดเสียงเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะทำได้ ใบหน้าของท่านประธานผู้น่าเกรงขาม ชายหนุ่มสุดแสนจะเพลย์บอยไม่ยอมอ่อนข้อและก้มหัวให้ใคร แต่ตอนนี้กำลังโน้มใบหน้าลงมาจรดบนปลายเท้าผมก่อนจะแน่นิ่งไป เสียงร้องไห้ดังระงมของชายผู้เป็นสามีทำเอาผมต้องทรุดตัวลงนั่งเพื่อเข้าไปโผล่กอดทั้งน้ำตา
“ลูกเหรอวะ ลูก…”
ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาเงยขึ้นจากปลายเท้าผมราวกับคนไร้ซึ่งสติไปชั่วขณะ ผมโผล่เข้ากอดชายผู้เป็นสามีอย่างเต็มรักก่อนที่ขุนศึกจะผลักตัวออกจากผมและพึมพำด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา ผมพยักหน้าให้ขุนศึกเบา ๆ แล้วยกมือขึ้นปาดน้ำใส ๆ ของลูกผู้ชายให้แก่คนที่ผมรักด้วยหัวใจที่สั่นระรัวกับความจริงที่เกิดขึ้น
“ใช่ เรากำลังจะมีลูก…มีลูกด้วยกัน…”
“…”
“ดีใจไหม มึงดีใจหรือเปล่าขุนศึก…”
ผมเอ่ยถามเสียงสั่นเครือก่อนที่ฝ่ามือหยาบกร้านของผู้ชายตรงหน้าจะกอบกุมใบหน้าผมไว้แล้วรั้งขึ้นไปจูบหน้าผากอย่างทะนุถนอม
“ขอบคุณ ขอบคุณ…”
ตัวผมถูกรั้งเข้าไปกอดด้วยวงแขนของชายผู้เป็นสามีอีกครั้งแต่คราวนี้กลับมีเพียงเสียงหัวเราะแห่งความสุขอบอวลไปทั่วห้องโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใด ๆ ความดีใจที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนทั้งชีวิตจนกระทั่งมาถึงวันนี้…วันที่ผมได้รับรู้ว่าจะมีอีกหนึ่งชีวิตกำลังเกิดมาจากความรักของเราสองคน
.
.
.
.
.
“ยินดีด้วยไอ้หลานรัก เมียเราตั้งครรภ์ได้หกสัปดาห์แล้ว”
สิ้นเสียงของอาหมอทั้งผมและขุนศึกต่างหันมองหน้ากันด้วยอาการน้ำตาซึมเมื่อความชัดเจนตอนนี้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม คำพูดของอาหมอเป็นดั่งคำพิพากษาว่าเราสองคนนั้นกำลังจะมีลูก…ลูกที่เกิดจากผมและขุนศึก
“บอกทางบ้านหรือยังว่ากำลังจะมีหลาน…ยังใช่ไหมล่ะเพราะถ้ารู้ป่านนี้คงเรียกตัวสะใภ้คนโปรดบึ่งไปบ้านกันตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้แล้วมั้ง”
อาหมอพูดปนขำก่อนจะหันมาเช็กร่างกายผมอีกรอบ ผมเอี้ยวหน้ามองขุนศึกตลอดระยะเวลาอยู่ในห้องตรวจโดยที่ขุนศึกก็ไม่ปล่อยให้ผมออกห่างตัวแม้แต่เซ็นต์เดียว ขนาดไปเข้าห้องน้ำเพื่อตรวจครรภ์ซ้ำเป็นรอบที่สามร่างสูงข้างกายก็ไปเป็นเพื่อนไม่ทิ้งผมให้ไปเพียงลำพัง มันจึงทำให้ทุกย่างก้าวของผมตอนนี้มีขุนศึกเดินไปด้วยเสมอ
“รู้เพศหรือยังอาหมอ ผมได้ลูกชายหรือลูกสาว”
เสียงทุ้มเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ถึงกับรีบเอ่ยถามออกไปทันควัน อาหมอช้อนสายตามองแล้วยิ้มให้กับท่าทีของผู้เป็นหลานเพราะดูจากอาการที่แสดงออกมานั้นตื่นเต้นยิ่งกว่าผมเสียอีก
“อายุครรภ์ยังไม่มากพออาบอกไม่ได้หรอก อีกสองสัปดาห์ค่อยมาหาอาใหม่วันนั้นอาจะอัลตราซาวนด์ให้ เราทั้งคู่จะได้เห็นหน้าลูก”
สิ้นประโยคของอาหมอสีหน้าของขุนศึกก็แลดูจะผิดหวังไม่น้อยผมถึงกับต้องตบหลังมือเจ้าตัวที่กอบกุมมือผมไว้เบา ๆ
“อาดีใจด้วยนะคับฟ้าจะเป็นแม่คนแล้วเวลาเดินหรือทำอะไรก็แล้วแต่ต้องระวังให้มาก ยิ่งช่วงอายุครรภ์อ่อน ๆ แบบนี้ยิ่งต้องระวัง”
“ครับอาหมอ”
น้ำตาเริ่มคลอเบ้าทันทีเมื่ออาหมอพูดคำว่าแม่ออกมา ขุนศึกเมื่อเห็นผมเริ่มจะร้องไห้ก็รั้งตัวผมเข้ากอดและฝังรอยจูบลงบนขมับด้านซ้ายโดยมีสายตาของอาหมอลอบมองเป็นระยะ ๆ
“กำลังจะเป็นพ่อคนเตรียมตัวไว้ให้ดีนะไอ้หลานรัก เตรียมรับมือกับอารมณ์ฉบับคนท้องไว้ให้ดี อาบอกเลยนะมีหนาวตลอดเก้าเดือนแน่”
“จะหนาวแค่ไหนกันเชียว”
เสียงทุ้มก้มลงพึมพำตรงหน้าผมราวกับไม่เชื่อคำเตือนของอาหมอที่ว่าอารมณ์ฉบับคนท้องนั้นจะแปรปรวนมากขึ้นในทุก ๆ วัน ยิ่งมีอายุครรภ์มากขึ้นอารมณ์ก็จะไม่ค่อยคงที่ ผมส่ายหน้าไปมาอยู่บริเวณหน้าอกแกร่งอย่างออดอ้อนและสูดดมกลิ่นกายชายผู้เป็นสามีเข้าปอดอย่างรู้สึกดี
ผมกับขุนศึกเราใช้เวลานั่งคุยกับอาหมอนานนับชั่วโมงกว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมง หลังจากที่ฝากครรภ์เสร็จเราทั้งสองก็บึ่งตรงกลับเข้าบ้านไม่ได้แวะที่ไหนเพราะผมเริ่มมีอาการแพ้ท้องขึ้นมา อาการเมื่อยตามตัวก็ยังเป็นอยู่ทุกครั้งถ้าเคลื่อนไหวร่างกายนานเกินไป
“กินแล้วมีแต่อ้วก กูเหนื่อยจะวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วนะ…มันทรมาน”
ผมนั่งบ่นอยู่บนโซฟาตัวยาวโดยมีเจ้าบูบู้นอนขดอยู่บนตักไม่ออกห่างจากตัว ขุนศึกวางจานอาหารที่พยายามยกขึ้นป้อนแต่ทุกครั้งที่อาหารเข้าปากและลงท้องไม่ถึงห้านาทีตัวผมก็ต้องวิ่งตรงไปยังห้องน้ำทุกครั้ง จนตอนนี้ผมทำได้เพียงเอนกายพิงพนักโซฟาเบาะนุ่มด้วยอาการของคนหมดแรง
“กินไม่ได้ก็ต้องฝืนกินไม่ฟังที่อาหมอพูดหรือไง”
สายตาผมทอดมองอย่างไร้จุดหมายเมื่อร่างกายของตัวเองแทบจะไม่มีแรงหายใจ ความเหนื่อยล้าจากการอ้วกทุกสิ่งอย่างที่กินลงไปในกระเพาะแถมยังต้องมาเหนื่อยวิ่งไปห้องน้ำเพราะงั้นผมขอไม่กินเลยจะดีกว่า เมื่อขุนศึกเห็นท่าทีต่อต้านในการกินข้าวจึงเปลี่ยนวิธีหันไปคว้ากล่องผลไม้มาไว้ในมือแทน
“ถ้าไม่กินข้าวก็กินผลไม้ กินสักหน่อยพอให้มันมีอะไรตกถึงท้อง โอเคไหม”
ขุนศึกที่นั่งอยู่ข้างตัวผมเอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ลูกสตรอว์เบอร์รีสีแดงสดถูกยื่นมาตรงหน้าหวังป้อนใส่ปากให้ สายตาผมเล่ห์มองผู้เป็นสามีสักพักหนึ่งก่อนจะอ้าปากรับผลไม้จากมือเจ้าตัวที่ตั้งใจหยิบยื่นให้มาฝืนกิน แต่ผลปรากฏว่าลูกสตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ผมกลืนลงท้องแล้วไม่อ้วก เมื่อขุนศึกเห็นว่าผมกินได้ก็ระบายยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“อร่อยไหม…”
“อื้อ…”
“ท่าทางจะชอบ…”
เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอื้อมฝ่ามือตัวเองมาทาบลงบนหน้าท้องผมเบา ๆ สัมผัสแรกรู้สึกวูบวาบในใจเพราะไม่ชินเอาเสียเลยที่ต้องมาโดนกระทำแบบที่ขุนศึกทำอยู่
“ศิลป์!”
เสียงของว่าที่คุณพ่อมือใหม่ตะโกนเรียกลูกน้องคนสนิทในระดับเสียงที่ดังพอสมควร ไม่ถึงวินาทีร่างสูงหนากำยำของศิลป์ก็รีบเดินปรี่เข้ามาหาผู้เป็นนายในเวลาอันรวดเร็ว
“ครับท่านประธาน”
“ไปเหมาสตรอว์เบอร์รีมาให้เมียฉันหน่อย เหมามาทุกร้านที่แกหาได้ เหมาพวกองุ่น ส้ม ผลไม้ทุกอย่างสำหรับคนท้องอ่อน ๆ กินได้มาให้หมด ชั่วโมงนึงกลับมาทันไหม…”
“ทันครับท่านประธาน ผมจะจัดการตามที่ท่านประธานต้องการให้เร็วที่สุดครับ”
“อืม ดี”
ขุนศึกเอี้ยวหน้าไปสั่งศิลป์ก่อนจะหันมาป้อนลูกสตรอว์เบอร์รีให้ผมต่อ เมื่อศิลป์ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายก็รีบหันหลังเดินออกไปจากตัวบ้านทันทีโดยไม่ต้องรอให้สั่งซ้ำเป็นรอบที่สอง
“จะสั่งอะไรมาเยอะแยะ กินไม่หมดเสียดายของ”
ผมบ่นออกไปในขณะที่ปากก็ยังอ้ารับผลไม้ในมือของชายผู้เป็นสามีด้วยสายตาไม่เข้าใจว่าทำไมขุนศึกต้องสั่งให้ศิลป์ซื้อมาเยอะขนาดนั้น ถ้าเกิดซื้อมาเยอะแล้วผมจะกินหมดให้ทันเวลาได้อย่างไร
“ไม่เป็นไร กินเท่าที่กินได้ก็พอเผื่อเจ้าก้อนในท้องจะได้กินด้วย”
ผมระบายยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูกับสรรพนามที่ขุนศึกเรียกลูกว่าเจ้าก้อน แววตาอบอุ่นของคนตรงหน้าหลุบสายตามองต่ำลงมายังบนท้องพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่ยังคงทาบไว้บริเวณหน้าท้องผมไม่ละออกไปไหน ส่วนเจ้าบูบู้ก็ไม่น้อยหน้าเพราะมันกำลังใช้หัวตัวเองคลอเคลียบริเวณหน้าท้องผมเช่นกัน
อบอุ่น…
อบอุ่นหัวใจเหลือเกิน…