บทที่ 23
“สุขสันต์วันเกิดนะคะอากงขอให้อากงมีความสุขมาก ๆ นะคะ สุขภาพแข็งแรงอยู่กับหยกอีกสักร้อยปีเลยน๊า”
“หลานกงก็พูดแปลกใครจะอยู่ถึงตั้งร้อยปีตอนนี้ก็แปดสิบกว่าแล้ว”
“ไม่รู้ไม่ชี้ค่ะเพราะหยกอยากให้อากงอยู่กับหยกไปนาน ๆ”
ผมนั่งมองหยกน้องสาวแสนสวยของขุนศึกที่กำลังนั่งคุกเข่ากอดอากงตัวเองหน้าเก้าอี้ไฟฟ้าภายในห้องนั่งเล่น บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของสองบ้านใหญ่ วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษของทุกคนเพราะอากงของผมกับอากงของขุนศึกดันเกิดวันเดียวกันจึงทำให้ครอบครัวผมต้องเดินทางมาร่วมงานวันเกิดกันที่บ้านศิริเจริญสกุลตั้งแต่เช้า
“สุขสันต์วันเกิดนะครับอากงผมขอให้อากงทั้งสองคนมีอายุที่ยืนยาวอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของหลานไปนาน ๆ เลยนะครับ”
วงแขนของตัวผมโผล่เข้าสวมกอดสองร่างชายแก่ด้วยความรัก ถึงแม้อากงของขุนศึกผมเพิ่งจะได้เข้ามาสัมผัสและรู้จักได้ไม่นานแต่ตัวผมรับรู้ได้ว่าท่านเอ็นดูผมเหลือเกิน เอ็นดูราวกับผมเป็นลูกหลานแท้ ๆ เสียอย่างนั้น
“ขอแค่ลื้อมีชีวิตคู่ที่มีความสุขมันก็เป็นของขวัญสำหรับคนแก่อย่างกงแล้วคับฟ้าหลานรัก”
“อากง…”
ผมเอื้อนเอ่ยออกมาเสียงแผ่วก่อนที่ฝ่ามืออันเหี่ยวย่นของชายวัยชราภาพยกขึ้นมาลูบหัวผมอย่างทะนุถนอม รอยยิ้มบางเผยออกมาเพื่อสื่อให้ผมรับรู้ว่าของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดของอากงคือการเห็นผมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เห็นแบบนี้มันก็พาลทำให้น้ำตาผมคลอเบ้าอย่างอดไม่ได้
“หลานชายอั๊วทำให้ลื้อไม่สบายกายไม่สบายใจหรือเปล่าอาคับฟ้า เหนื่อยไหมที่มีหลานชายอั๊วเข้าไปอยู่ในชีวิต”
ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เอ่ยถามผมด้วยรอยยิ้มเช่นกันหากแต่ประโยคที่อากงถามออกมานั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเริ่มไหลลงมาปริ่ม ๆ จนผมต้องรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าตัวเองและรีบส่งยิ้มกลับไปแทน
“อาขุนศึกมันดื้อตั้งแต่เด็ก รายนั้นยอมใครเขาไม่เป็นนักหรอกอยากได้อะไรก็ต้องเอาเดี๋ยวนั้น มันได้ลื้อมาเป็นคู่ชีวิตก็ถือเป็นบุญล้นฟ้าล้นหัวมันแล้ว อดทนกับหลานอั๊วหน่อยนะอาคับฟ้าเอ๊ย เห็นอย่างนั้นตัวตนจริง ๆ ของหลานอั๊วคนนี้เหมือนเด็กไม่รู้จักโตเลยละ”
เนื้อผิวหลังมือที่เหี่ยวย่นของอากงตบลงบนหัวผมเบา ๆ พร้อมส่งรอยยิ้มอย่างเอ็นดูและรักใคร่มาให้ ผมพยักหน้าตอบกลับไปเป็นอันรับรู้ในคำขอของอากงและสิ่งอากงบอกมานั้นก็ดูเหมือนจะจริงอย่างที่ท่านพูด เพราะยิ่งใช้ชีวิตกับขุนศึกนานวันเข้าดูเหมือนผมจะได้เด็กโค่งมาเป็นสามีแทน
“คับฟ้ามานั่งตรงนี่มาลูก ม๊าซื้อผลไม้ไว้ให้หนูเยอะแยะเลยมานั่งกินข้างม๊าเร็ว”
ม๊าของขุนศึกกวักมือเรียกผมหวังจะขุนให้ผมอ้วนขึ้นหรืออย่างไรกันเพราะตั้งแต่เท้าแตะธรณีประตูบ้านมาตัวผมก็ถูกพาเข้าหาแต่ของกินจนตอนนี้พุงแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ถ้าให้ผมปฏิเสธความหวังดีของแม่สามีก็คงจะดูไม่ดี
“ม๊าแวะซื้อข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าดังมาให้ ร้านเดิมที่ลูกชอบแถมรอบนี้มะม่วงหวานมาก ม๊าลองชิมแล้วหอมหวานอร่อยสุด ๆ ป๊าเรากับหมวยซัดไปแล้วคนละครึ่งจานแหนะ”
ม๊าของผมเอ่ยขึ้นในระหว่างที่ผมหย่อนตัวนั่งลงตรงกลางสาวสวยทั้งสองโดยมีจานข้าวเหนียวมะม่วงและผลไม้ที่ถูกปอกเปลือกเสร็จสรรพพร้อมกินวางอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้า
นี่ทุกคนกะขุนให้ผมอ้วนใช่ไหม…
“เฮีย อาทิตย์หน้าหมวยกับหยกจะปิดเทอมแล้วพอปิดเทอมพวกหมวยก็จะว่าง ว่างแบบว่างไปจนกว่าจะเปิดเลยอ่ะเฮีย…”
ผมที่นั่งลงยังไม่ถึงนาทีตัวป่วนขาประจำก็รีบเดินเข้ามาโอบรอบคอผมอย่างออดอ้อน การกระทำดังกล่าวทำไมผมจะไม่รู้ว่ายัยน้องสาวสุดแสบคิดจะทำอะไร
”กว่าจะเปิดก็อีกหลายอาทิตย์ ถ้าให้พวกเราอยู่แต่บ้านคงเฉาตายแน่เลยค่ะซ้อ เรียนก็เหนื่อยแต่พอปิดเทอมทั้งทีจะขอม๊ากับป๊าไปตั้งแคมป์กับเพื่อนก็ไม่ให้…เฮ้อ ชีวิตวัยรุ่นทำไมมันถึงน่าเบื่อขนาดนี้นะ ใช่ไหมหมวย…”
“ใช่…เฮ้อ พูดแล้วก็เศร้า…”
วินาทีนี้ราวกับผมถูกลูกลิงสองตัวกำลังโอบกอดรัดตัวไม่ห่างทั้งหยกและหมวยต่างกระซิบใส่หูผมอย่างตัดพ้อมาให้ โดยเฉพาะประโยคของหยกนั้นมันช่างทำให้ผมนึกถึงพี่ชายเจ้าตัวเสียเหลือเกิน นิสัยชอบตัดพ้อของสองพี่น้องตระกูลนี้ถอดแบบกันมาอย่างไม่มีใครยอมใคร
“อ้อนขนาดนี้จะหวังอะไรจากเฮียกันหมวย เราด้วยวันนี้มาแปลกตาจะอ้อนเอาอะไรซ้อล่ะหื้ม”
ผมเอ่ยถามในขณะสายตาก็หันไปดูอาม่ากับป๊าของสองบ้านที่กำลังเปิดเพลงรำไทเก๊กอยู่บริเวณลานจอดรถด้านหน้าอย่างเพลินตาในระหว่างรออาหารมื้อเช้าตั้งโต๊ะเสร็จ
“ไม่ต้องไปเกะกะเฮียเราเลยนะหมวย คิดว่าม๊าจะยอมให้ไปหรือไงถึงเฮียจะขอแทนก็เถอะเพราะยังไงม๊าก็ไม่อนุญาต”
เหมือนม๊าผมจะไวต่อความรู้สึกเพราะยังไม่ทันที่หมวยจะเอ่ยคำร้องขอม๊าถึงกับพูดดักทางไว้หมด เมื่อน้องสาวผมได้ยินถึงกับเอาใบหน้าซุกลงบนไหล่ผมอย่างหมดแรง
“เราก็ด้วยอีกคน ไม่ต้องไปขอร้องซ้อให้ช่วยพูดซะให้ยากจะไปตั้งแคมป์ตั้งไกลมีผู้ชายด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ใช่แค่ม๊านะที่ไม่อนุญาตเพราะถ้าเฮียเรารู้เข้าก็ไม่ให้ไป ตอนกลางค่ำกลางคืนมาอันตรายเข้าไปใหญ่ไม่เอา ๆ ม๊าไม่ให้ไปหรอก”
เมื่อม๊าทั้งสองยื่นคำขาดออกมาเสียขนาดนี้แล้วผมจะไปช่วยอะไรยัยตัวแสบสองคนได้ ตอนนี้ผมได้แต่นั่งยิ้มแห้งเมื่อเห็นแววตาพิโรธของม๊าทั้งสองคนมองผมไม่วางตา โดยมีร่างที่ไร้วิญญาณของสองแสบซุกลงบนไหล่ผมไม่ห่างตัว
“ใครว่าพวกเราจะขออนุญาตม๊าไปกับเพื่อนกัน พวกเราจะมาขอร้องให้ซ้อกับเฮียพาไปต่างหาก ถ้าเป็นอย่างนี้ม๊าจะยังขัดขวางพวกเราอยู่ไหมคะ”
เสียงหยกเอ่ยขึ้นโดยที่ใช้ผมเป็นเครื่องมือในการต่อรองสถานการณ์คับขันตรงหน้าเพราะยัยตัวแสบไม่คิดจะยอมแพ้ ด้วยความอยากไปขั้นสุดถึงขนาดพลิกเกมแปรเปลี่ยนเป็นร่วมทริปกับผมแทนอย่างนั้นหรือ
เจ้าเล่ห์เสียจริง…
เจ้าเล่ห์เหมือนขุนศึกไม่มีผิดเพี้ยน…
“ถ้าเป็นอย่างนั้นม๊าให้ไป ย้ำนะว่าถ้าซ้อกับเฮียเราพาไปม๊าก็จะไม่ขัดอะไร”
ม๊าของขุนศึกรีบตอบทันควันแทบไม่ต้องคิดไตร่ตรองอะไรให้มากความ ส่วนม๊าผมก็รีบพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อทริปที่หยกเอ่ยปากออกมานั้นมีผมเป็นหัวโจกในทีม
“จริงนะม๊า! ซ้อคะพาพวกเราไปนะคะ หยกอยากไปเที่ยวแบบธรรมชาติบ้างเห็นเพื่อนไปกันก็ได้แต่อิจฉาเพราะม๊าไม่อนุญาตให้ไปสักที นะคะซ้อ…พาพวกเราไปนะคะ”
เมื่อไร้ซึ่งการโต้แย้งตัวผมจึงถูกเขย่าจนสั่นราวกับเจ้าเข้าทรง เสียงดีอกดีใจของยัยสองแสบดังขึ้นข้างหูผมก่อนที่จะกระโดดโลดเต้นวิ่งลับหายไปยังห้องดูหนังของบ้านโดยมีเสียงดังกรี๊ดกร๊าดไล่หลังเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ๆ ส่วนตัวผมได้แต่นั่งหน้าเจื่อนกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ราวกับยัยสองแสบมัดมือชกให้ตกลงโดยไม่ต้องการคำตอบจากผมเสียอย่างนั้น
“จะขึ้นมหาลัยกันอยู่ไม่กี่เดือนยังกระโดดโลดเต้นอย่างกับเป็นเด็กน้อยไม่หาย ม๊าละห่วงน้องเราเหลือเกิน ห่วงว่าขึ้นมหาลัยแล้วไปอยู่หอคนเดียวจะเป็นยังไง”
ผมเผลอหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อม๊าตัวเองกำลังนั่งบ่นพึมพำให้กับยัยน้องสาวสุดแสบและสิ่งที่ม๊าคิดก็ทำให้ผมวิตกกังวลใจไม่น้อยเพราะถ้าเกิดว่ายัยหมวยไปอยู่หอจริง ๆ ต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเองผมก็คงเป็นห่วงน้องไม่ต่างกัน
”แต่จะว่าไปไอ้ลูกชายตัวดีของม๊ามันหายหัวไปไหนเนี่ย พอตัวถึงบ้านก็เดินหน้าไม่รับแขกแยกตัวออกจากคนอื่น ทั้งที่วันนี้เป็นวันเกิดอากงแท้ ๆ แทนที่จะมาอยู่กับอากงแต่ดันหายตัวเข้าไปในกลีบเมฆ”
มือที่กำลังวางแก้วน้ำชาลงโต๊ะถึงกับชะงักเมื่อม๊าพูดถึงชายผู้เป็นสามีของผมและมันก็เป็นจริงตามที่ม๊าพูดทุกอย่างเพราะตั้งแต่เหยียบเท้าเข้าบ้านขุนศึกก็แยกตัวขึ้นห้องตัวเองโดยไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ กับทุกคน ส่วนผมก็ไม่ได้ห้ามหรือทักท้วงเพราะบรรยากาศระหว่างเรายังคงตึงเครียดไม่หาย
“ทะเลาะกันเหรอลูก ม๊าไม่เห็นขุนศึกเป็นแบบนั้นเลยสักครั้งเดียว”
ม๊าของขุนศึกเอี้ยวหน้าเอ่ยถามผมเมื่อความเงียบเข้ามาปกคลุม ผมเลือกที่จะยิ้มตอบกลับไปเพราะเรื่องพรรค์นี้ผมไม่อยากบอกผู้ใหญ่สักนิด เรื่องภายในบ้านมันควรจบลงแค่ระหว่างเราสองคนหากไม่ใช่เรื่องใหญ่ปางตายผมจะไม่มีทางบอกถึงแม้จะเป็นแม่สามีก็ตามที ผมถือว่าเราทั้งคู่แยกตัวออกจากบ้านอย่างเต็มตัวฉะนั้นเราก็ควรจะแก้ปัญหากันเองน่าจะดีกว่า
“เงียบแบบนี้มีแววว่าจะใช่… ทะเลาะอะไรกันลูกค่อยพูดค่อยจากันเอานะคับฟ้า”
ม๊าผมรีบดึงมือผมเข้าไปกุมไว้แล้วลูบหลังมืออย่างนุ่มนวล หากถามว่าผมได้นิสัยใจเย็นและนิ่งมาจากใครก็คงต้องตอบได้เต็มปากว่าม๊า ผมได้แบบม๊ามาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ว่าได้ส่วนน้องสาวผมได้นิสัยป๊ามาเต็ม ๆ เหมือนกัน
“ไม่มีอะไรครับม๊า ถ้ายังไงเดี๋ยวผมขอตัวขึ้นไปตามขุนศึกลงมากินข้าวนะครับ”
ผมพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเพื่อไม่ให้ม๊าทั้งสองคนต้องเป็นกังวลใจถึงแม้ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาบรรยากาศอึมครึมชวนน่าอึดอัดยังมีมากอยู่และขุนศึกก็พยายามอย่างมากเพื่อที่จะเข้าหาผมด้วยหลากหลายวิธี แต่กลับเป็นผมเองที่หลีกเลี่ยงจะเปิดบทสนทนากับเจ้าตัว
ต้องยอมรับว่าช่วงแรกอารมณ์ผมยังคงเคืองแต่พอให้เวลากับตัวเองมากขึ้นและขุนศึกก็ไม่ได้มาวอแวเหมือนตอนแรกความโกรธก็พอทุเลาลงไปค่อนข้างเยอะ แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศระหว่างเราที่ถูกปกคลุมด้วยความอึดอัดยังดำเนินต่อไปอยู่ดี
ราวกับว่าหากใครเป็นฝ่ายพูดหรือเข้าหาก่อนจะเสียฟอร์มซะอย่างนั้น…
“จ๊ะ ไปเถอะลูก”
ผมพาร่างตัวเองเคลื่อนย้ายขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน เดินตรงไปห้องนอนของขุนศึกถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเข้าไปสักครั้งแต่ก็พอรับรู้มาจากหยกบ้างว่าห้องขุนศึกอยู่ห้องไหน ผมเดินขึ้นมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดสองเท้าจึงมาหยุดอยู่ตรงบานประตูสีขาว ผมไม่รอช้ายกมือขึ้นเคาะประตูสามทีตามมารยาทสากลที่ถูกสั่งสอนมาหากแต่คำตอบรับที่ได้กลับเป็นความเงียบ เมื่อมีเพียงความเงียบส่งมาผมจึงเริ่มเคาะขึ้นใหม่และผลที่ได้ก็คือความเงียบเหมือนเดิม
หรือว่าขุนศึกหลับ…
เมื่อไร้สิ่งตอบสนองจากภายในห้องผมจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป เมื่อร่างกายผมเดินเข้าสู่อาณาเขตของห้องดำ…ใช่แล้ว ห้องดำที่มืดสนิทราวกับผมก้าวเข้ามาอีกโลกหนึ่งอุณหภูมิที่เย็นยะเยือกกระทบกับเนื้อผิวกายยิ่งทำให้ผมนึกคิดไปว่าหรือบางทีขุนศึกไม่ใช่คน
“ขุนศึกกินข้าว ม๊าให้ขึ้นมาตาม”
เสียงฝีเท้าจากรองเท้าแตะสลิปเปอร์สีเทาอ่อนก้าวเข้าไปยังด้านในจนถึงเตียงนอนกว้าง สายตาผมหันซ้ายทีขวาทีเพื่อหาตัวเจ้าของห้องแต่กลับไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตใด ๆ อาศัยอยู่แม้แต่สิ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นระเบียงด้านนอกหรือเตียงตรงหน้าที่ผมยืนเท้าเอวมองด้วยความสงสัย
สงสัยว่าขุนศึกอยู่ไหน…
“ขุนศึก! ขุนศึก! อยู่ไหนของมึงเนี่ย! ลงไปกินข้าวม๊าตามแล้ว!”
ปากผมทำหน้าที่ตะโกนด้วยระดับเสียงไม่ดังมาก ริมฝีปากยังคงขานเรียกหาผู้เป็นสามีพร้อม ๆ กับที่ตัวผมเดินลากขาหาจนทั่วห้องก็ไม่เจอแม้แต่เงา คิ้วขมวดเป็นปมและอดสงสัยไม่ได้ว่าขุนศึกหายไปไหนเพราะคนทั้งคนมันไม่สามารถหายอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ สองแขนตัวเองยกขึ้นเท้าเอวอีกครั้งส่วนหัวสมองก็ครุ่นคิดไม่ตก
“ไม่ใช่น้อยใจจนกระโดดลงจากหน้าต่างไปข้างล่างนะ…แต่ไม่ใช่หรอก บ้าน่า มึงก็คิดไปได้นะไอ้คับฟ้า”
ผมยืนเท้าเอวพึมพำกัดริมฝีปากล่างด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่เพราะถึงแม้จะบอกว่าความคิดนั้นดูจะเกินจริงแต่สองขาผมกลับเร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังระเบียงด้วยความร้อนรน เนื่องจากอีกด้านหนึ่งของความคิดมันฉุดให้ผมคิดกลัวขึ้นมาเสียงไม่ได้
“ก็ไม่มีนี่หว่า…แล้วจะหายไปไหนวะ”
เมื่อชะโงกหน้าลงไปมองระเบียงห้องก็ไม่เป็นอย่างที่ใจคิด ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกพลิกตัวพิงระเบียงรับลมด้านนอกเข้าเต็มปอดเพื่อไล่อาการวิตกกังวลใจเมื่อครู่ให้หายก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังตัวห้องอีกครั้ง แต่ในระหว่างเดินผ่านห้องน้ำผมก็ดันได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากด้านในห้อง ผมหยุดยืนอย่างตั้งใจฟังและคราวนี้มันไม่ใช่แค่เสียงน้ำแต่มันยังมีเสียงเพลงเล็ดลอดดังออกมาอีกต่างหาก เมื่อแน่ใจแล้วว่าบุคคลที่ผมกำลังตามหาสุดท้ายแล้วไปมุดหัวอยู่ในนี้นี่เอง
“ขอโทษที่ทำให้เธอเสียใจ!!! โอ้ว!!! ฮา!!! ฮ๊า!!!”
ในจังหวะที่มือตัวเองกำลังผลักบานประตูห้องน้ำออกภาพตรงหน้าจึงปรากฏชายหนุ่มร่างสูง มีเพียงผ้าขนหนูสีขาวพันรอบเอวส่วนด้านบนโชว์เรือนร่างอันเปลือยเปล่ากำลังยืนหลับตาร้องเพลงตรงหน้ากระจกบานด้วยสีหน้าจริงจังและพยายามร้องออกจนสุดเสียง เจ้าของน้ำเสียงตั้งมั่นอย่างมุมานะด้วยการไล่ตัวโน้ตแตะจากต่ำไปสูงราวกับเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี แต่สภาพความเป็นจริงนั้น
หมาหอนยังเพราะกว่าเป็นไหน ๆ…
“หางอนได้ไหมเมียจ๋า!!! ฮ๊า! ฮ๋า! ฮะ เฮ้ย!!...”
ผมยืนกำกลอนลูกบิดด้วยสีหน้าเหวอกับภาพที่เห็น ปากอ้าค้างไม่ต่างกับขุนศึกที่หันมามองผมราวกับเห็นผี ดวงตาคมกริบและดุดันที่สามารถทำให้คนอื่นสยบยอมได้โดยง่าย แต่ตอนนี้เหลือเพียงดวงตาที่เบิกกว้างราวกับเป็นคนละคน
คนละคนที่ไม่ใช่ท่านประธาน…
แต่เป็นนักร้องเสียงหอนแทน…
“ขะ เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่…”
ประโยคแรกเอื้อนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่ว ผมเห็นสีหน้าและแววตาของขุนศึกก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรสงสารหรือขำดีเพราะเจ้าตัวคงจะเสียฟอร์มไม่น้อยเมื่อผมดันเปิดเข้ามาเห็นในสภาพที่ไม่ควรเห็น
“ม๊าเรียกไปกินข้าว ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้วก็รีบลงไปซะ”
หลังจากยืนหน้าเหวอกับสิ่งที่เจอผมก็สามารถเรียกสติตัวเองกลับมาได้ในเวลาอันรวดเร็วแล้วบอกให้ขุนศึกได้รับรู้ถึงจุดประสงค์ที่ผมเข้ามาตามถึงห้อง เมื่อการส่งสารไปยังผู้รับเสร็จสิ้นผมจึงเตรียมหันหลังเดินกลับไปทางเดิมที่เดินมาแต่ทว่าแขนผมดันถูกกระชากให้หันกลับมาปะทะกับเรือนร่างอันเปลือยเปล่าที่ยังมีหยดน้ำเกาะบนตัวเต็มไปหมด
“จะรีบไปไหนอยู่ด้วยกันก่อน…”
น้ำเสียงแผ่วเอื้อนเอ่ยลงมากระซิบข้างหูผมอย่างจงใจ ท่อนแขนแกร่งโอบรอบเอวผมกระชับเข้าหาตัวเองมากขึ้น หยดน้ำจากใบหน้าผู้เป็นสามีหยดลงใส่เสื้อยืดสีขาวผ้าบางจนเป็นวงหลายจุด
“ทุกคนรอกินข้าวอยู่ข้างล่าง วันนี้วันเกิดอากงมึงอย่ามาลีลา”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบและยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคคางของขุนศึกก็ก้มลงมาวางบนไหล่ผมพร้อมกับกระชับท่อนแขนให้แน่นขึ้น ใบหน้าเราใกล้กันมากเสียจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของผู้เป็นสามีที่กำลังโอบกอดผมแน่นราวกับกลัวว่าผมจะหนีหายไป
“ขอโทษ…”
เสียงทุ้มแฝงร่องรอยความอัดอั้นจนทำให้การกระทำที่ดิ้นในวงแขนแกร่งนี้หยุดลง น้ำเสียงนั้นมันช่างอ้อนวอนขอร้องอย่างคนหมดหนทางเสียจนผมใจกระตุก
“ขอโทษ ขอโทษ…”
“…”
“หายโกรธได้แล้ว หายโกรธได้ไหม…”
หัวใจเต้นแรงแทบไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา คางที่เกยบนไหล่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นการฝังใบหน้าลงบนผิวกายผมแทน จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียบนบ่าผมคล้ายกับแมวกำลังอ้อนเจ้าของไม่ห่างไหนจะน้ำเสียงครวญครางราวกับเด็กน้อยเมื่อโดนต่อว่าไม่ให้เล่นของเล่น
“ปล่อนก่อน ตัวมึงเปียกเนี่ย…เดี๋ยวเสื้อกูเปียกไปด้วยขุนศึก!”
ผมกลับมาดิ้นออกจากท่อนแขนแกร่งคู่นี้อีกครั้งเมื่อน้ำจากปลายผมขุนศึกกำลังไหลลงมาใส่เสื้อจนเริ่มจะเปียกชุ่มมากขึ้นกว่าเดิม ร่างสูงที่เอาแต่กอดเอวผมเหมือนเพิ่งจะรับรู้ได้ว่ากำลังทำให้เสื้อผ้าเมียอย่างผมเปียก เจ้าตัวจึงผละออกให้ผมเป็นอิสระ แต่สิ่งที่คาดคิดไว้ว่าขุนศึกจะปล่อยกลับไม่ใช่อย่างนั้นเพราะท่อนแขนที่เคยโอบกอดคลายออกและเปลี่ยนเป็นยกสะโพกจนตัวผมลอยเหนือพื้น จนตัวผมมานั่งอยู่บริเวณขอบอ่างล้างหน้าแทน
“ทะ ทำอะไรของมึงขุนศึก...”
ร่างสูงที่เปลือยท่อนบนทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าและทำสิ่งที่ผมตกใจไม่น้อยคือขุนศึกเอาใบหน้าซุกลงบริเวณท้องผมแถมยังโอบกอดสะโพกผมแน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไป
นี่ผมกำลังมีสามีหรือมีลูกติดกันแน่…
“ถ้ามึงไม่ยอมกลับมาคุยกับกูเหมือนเดิมกูจะไม่ลงไปกินข้าว เมียโกรธเมียงอนมาเป็นอาทิตย์ แต่ละคืนกูนอนหลับลึกที่ไหน ขนาดหน้ากูมึงแทบไม่มอง…ไปทำงานกูก็เอาแต่คิดหาวิธีง้อมึงจนไม่เป็นอันทำงาน กูไม่อยากคุยกับใครเข้าประชุมกูก็ไม่อยากเข้า ไม่มีอารมณ์”
“…”
ริมฝีปากผมระบายยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อคนที่กำลังกอดผมแน่นถือโอกาสระบายความในใจสุดแสนจะอัดอั้นมาตลอดทั้งสัปดาห์ หากร่างสูงไม่บอกผมว่าเจ้าตัวนั้นกระวนกระวายใจจนทำงานไม่ได้และนอนไม่หลับทั้ง ๆ ที่เราสองคนนอนร่วมเตียงกันทุกคืนผมคงจะไม่รู้เลยว่าขุนศึกวิตกกังวลใจขนาดนี้
”ทำไมซ้อใจร้ายกับเฮียขนาดนี้วะ ทำไมถึงใจร้ายแบบนี้”
เสียงทุ้มพูดเสียงเบาแฝงไปด้วยคำถามที่อยากเอื้อนเอ่ยออกมาราวกับน้อยใจและตัดพ้อให้ผมฟัง สายตาผมหลุบต่ำลงมาหัวมนของขุนศึกที่กำลังเขกลงมาบริเวณท้องผมเบา ๆ ราวกับยอมจำนนทำร้ายร่างกายตัวเองทางอ้อมโทษฐานทำให้ผมโกรธและรู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“หยุดโขกหัวสักทีเถอะมันเจ็บ หัวมึงใช่ว่าจะเบาหนักอย่างกับลูกบอลอัดใส่ท้อง”
สองมือผมคว้าไปจับหัวที่เปียกปอนให้หยุดการกระทำดังกล่าวแล้วช้อนใบหน้าหล่อ ๆ ขึ้นมาสบตากับตัวเอง แววตาเศร้าสร้อยเกินกว่าที่คาดไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นเริ่มสั่นไหวเมื่อถูกผมประคองหน้าขึ้น ดวงตาคมกริบคู่นี้ทำท่าจะหลบสายตาและหลุบหัวลงซุกหน้าท้องอีกรอบ…แต่มีหรือผมจะยอม
“อยากให้มองหน้าไม่ใช่เหรอ นี่ไง กูมองแล้วนี่ไงแต่ทำไมมึงไม่อยากมองล่ะ”
ผมโน้มตัวลงไปหาขุนศึกจนระยะห่างระหว่างหน้าของเราแทบไม่ถึงคืบ เมื่อสิ้นประโยคที่ผมเอื้อนเอ่ยจากใบหน้าที่มาดนิ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนที่กำลังจะร้องไห้
ขุนศึก ศิริเจริญสกุลกำลังจะร้องไห้…
“ขอโทษ ขอโทษ…”
น้ำเสียงเบาหวิวเอ่ยคำขอโทษออกมาซ้ำ ๆ สายตาที่สั่นไหวและน้ำตาที่คลอเบ้ามันทำให้ผมอดที่จะก้มลงไปฝังจูบบนริมฝีปากหนาด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ส่วนขุนศึกก็ไม่นิ่งเฉยจากมือที่กอดเอวเลื่อนขึ้นมากุมใบหน้าผมอย่างทะนุถนอม บทจูบในครั้งนี้มันช่างอ่อนหวานและนุ่มนวลราวกับเป็นตัวปิดผนึกความโกรธที่อยู่ภายในใจผมให้หายไปและแทนที่ด้วยความรู้สึกอื่นแทน