บทที่ 18
“วันนี้ตื่นมาครัวเองแต่เช้าเลยนะคะคุณคับฟ้า จะทำอะไรคะเนี่ย มาค่ะเดี๋ยวหวานช่วย”
แสงแรกของเช้าวันอาทิตย์สุดสัปดาห์ แดดยามเช้ารับอรุณวันแห่งครอบครัว ผมตื่นนอนค่อนข้างเร็วกว่าปรกติเพราะตั้งใจอยากจะเข้าครัวทำกับข้าวมื้อเช้าด้วยตัวเองหลังจากเมื่อวานได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของขุนศึกจากการทำงาน ผมก็อดไม่ได้ที่อยากจะลุกขึ้นมาทำอาหารบำรุงร่างกายให้ถือซะว่าเช้าวันนี้เป็นการฝึกฝนการเข้าครัวเพื่อให้ขุนศึกลองชิมก็แล้วกัน
“วันนี้ผมอยากลองทำแกงพะแนงหมู พี่หวานต้องยืนเฝ้าผมทำนะ”
“ได้เลยค่ะ หวานยินดีช่วยคุณคับฟ้าเต็มที่ เดี๋ยวผักพวกนี้หวานล้างให้เองนะคะ”
ผมที่ยืนหันหมูสามชั้นชิ้นยาวเงยหน้าส่งยิ้มให้พี่หวานก่อนจะก้มลงหั่นต่อ ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเข้าให้ผมใช้เวลาในการทำน่าจะไม่เกินหนึ่งชั่วโมงคงเสร็จและทันเวลาที่ขุนศึกตื่นนอนพอดี ปรกติขุนศึกจะตื่นไม่เกินเก้าโมงหรือวันนี้อาจจะตื่นสายก็เป็นไปได้เพราะเมื่อคืนกว่าทุกคนจะกลับก็เกือบเที่ยงคืนมัวแต่ติดลมดูศิลปินเกาหลีกันเพลินไปเสียหน่อยพอมารู้ตัวอีกทีก็ไร้ร่างของขุนศึกเสียแล้ว หากให้ผมเดาเจ้าตัวคงจะขึ้นไปเคลียร์งานต่ออีกตามเคย
“ขั้นตอนแรกต้องเคี่ยวกะทิก่อนใช่ไหมพี่หวาน”
เมื่อหั่นหมูเสร็จผมจึงเดินไปที่เตาไฟฟ้าเพื่อตั้งกระทะโดยใช้ไฟกลาง ๆ ให้ได้ที่แล้วเอี้ยวตัวหันหน้าถามพี่หวานผู้เป็นแม่บ้านประจำตัว
“ใช่แล้วค่ะ คุณคับฟ้าต้องเคี่ยวหัวกะทิด้วยไฟไม่ต้องแรงมากนะคะ ให้หัวกะทิมันแตกมันแกงพะแนงจะได้ออกมาหอม ๆ ค่ะ”
ผมพยักหน้าให้กับคำบอกกล่าวของแม่บ้านคนสนิทแล้วหันกลับมาลงมือทำเมนูแกงพะแนงด้วยความตั้งใจ เพราะครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมทำอาหารจัดหนักจัดเต็มมากกว่าครั้งไหน ๆ ส่วนเรื่องรสชาติคงต้องมาดูกันอีกทีว่าจะอร่อยตามความตั้งใจของตัวเองหรือเปล่า
การทำอาหารของผมดำเนินไปด้วยดีโดยมีลูกมืออย่างพี่หวานคอยแนะนำอยู่ตลอดเวลาจนในที่สุดอาหารที่ตั้งใจทำก็ออกมาสมบูรณ์แบบ สองมือถือถ้วยแกงพะแนงหมูสามชั้นเดินตรงไปวางบนโต๊ะอาหารที่มีเมนูอีกสามอย่างถูกยกมาเสิร์ฟก่อนหน้านี้เป็นที่เรียบร้อย ใบหน้าเปื้อนยิ้มของตัวเองผุดขึ้นเมื่อภารกิจสำหรับมื้อเช้าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเกินคาด
“น่าทานมากเลยค่ะ แบบนี้คุณขุนศึกต้องอึ้งในฝีมือการทำอาหารของศรีภรรยาแบบคุณคับฟ้าของหวานแน่นอนเลยค่ะ”
ประโยคของพี่หวานเอ่ยแซวอย่างตั้งใจจนทำให้อาการเก้อเขินเกิดขึ้นบนใบหน้าของตัวเอง หากบอกว่าผมลุกขึ้นมาแต่เช้าเพราะอยากจะเอาใจขุนศึกมันก็คงจะไม่ใช่เสียหมดเพราะผมแค่อยากลองหัดทำกับข้าวและแบ่งปันอาหารมื้อเช้าในฐานะคนอยู่อาศัยภายใต้หลังคาบ้านเดียวกันก็เท่านั้น
“ให้หวานตักข้าวใส่จานเลยไหมคะ”
เมื่อแม่บ้านสาวเห็นผมยืนนิ่งแสดงอาการที่ไม่เป็นตัวเองออกไปจึงรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้อาการของผมกลับมาเป็นปรกติ เมื่อพี่หวานเอ่ยถามผมจึงพยักหน้าเป็นคำตอบพร้อมกับใช้มือสองข้างปลดผ้ากันเปื้อนออกไปจากตัว แต่ในขณะนั้นเองสายตาผมดันเหลือบไปเห็นศิลป์ที่เดินลงมาจากบันไดของตัวบ้าน ใบหน้าผมฉายแววสงสัยขึ้นทันทีว่าทำไมศิลป์ถึงมาอยู่ที่นี่แต่เช้าเพราะปรกติวันอาทิตย์เป็นวันหยุดพักผ่อนไร้ซึ่งการทำงานใด ๆ ไม่ใช่หรือ
หรือว่างานที่ขุนศึกทำอยู่มันเยอะเสียจนต้องให้ศิลป์มาช่วยแต่เช้ากันนะ…
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณคับฟ้า”
“อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้เข้ามาทำงานแต่เช้าเลยนะครับ”
ร่างของศิลป์เดินตรงเข้ามาหาผมเพื่อเอ่ยคำทักทายอย่างให้เกียรติและในจังหวะที่พูดถึงเรื่องงานดูเหมือนคนตรงหน้าจะนิ่งชะงักไปเล็กน้อย
“เอ่อ ผมอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับท่านประธานต้องเคลียร์งานค่อนข้างเยอะผมเลยต้องอยู่ช่วยท่านประธานน่ะครับคุณคับฟ้า”
หัวคิ้วผมขมวดเข้าหากันเมื่อได้ฟังประโยคลูกน้องคนสนิทของขุนศึกก็อดที่ผมจะเริ่มเป็นห่วงไม่ได้ ในหัวตอนนี้มันมุ่งตรงไปแค่คำเดียวนั่นคืองาน งานเยอะขนาดที่ต้องอยู่ข้ามวันข้ามคืนกันเชียวหรือ…สีหน้าที่ดูจะเป็นกังวลใจฉายแววขึ้นพร้อม ๆ กับตวัดสายตาไปมองยังด้านบนเป็นระยะ
“ตอนนี้ขุนศึกยังทำงานอยู่หรือเปล่าครับ”
ผมเอ่ยถามออกไปโดยที่ตัวเองหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อจัดการกับอาหารเช้าในมื้อนี้เพียงลำพัง แต่ทว่าเมื่อทรุดตัวนั่งลงสายตาดันไปมองจานข้าวเปล่าที่วางอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยแต่ผมก็พยายามสลัดความรู้สึกนั้นออกไปจากหัวตัวเอง
“เอ่อ ครับ ท่านประธานยังนั่งทำงานอยู่ครับ”
ในระหว่างเอื้อมมือไปตักแกงพะแนงหมูใส่จานหวังจะนั่งกินต่อไปคนเดียวโดยพยายามไม่สนใจความรู้สึกลึก ๆ ที่มันกำลังเป็นห่วงใครบางคนที่อยู่ภายในห้องทำงานชั้นบนของบ้าน แต่ถึงจะพยายามไม่สนใจความอยากอาหารของผมแทบจะเป็นศูนย์จนต้องวางช้อนลงและถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างไม่ชอบใจตัวเองเท่าไหร่นัก
ไม่ชอบใจที่ตัวเองดันรู้สึกเป็นห่วงผู้ชายพรรค์นั้น…
เมื่อความเป็นห่วงฉายแววออกมามากขึ้นผมจึงตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะหวังเดินตรงขึ้นไปด้านบนเพื่อเรียกขุนศึกลงมากินข้าวเพราะการที่นั่งทำงานทั้งคืนขนาดนั้นผมรู้สึกว่ามันหักโหมร่างกายจนเกินไป ยิ่งเมื่อวานผมเห็นสภาพของขุนศึกที่นั่งหลับก็ยิ่งเป็นห่วงสุขภาพเข้าไปใหญ่ แต่นี่เจ้าตัวเล่นนั่งทำทั้งคืนแบบนี้ผมกลับมองว่ามันดูจะเกินลิมิตของร่างกายที่จะรับไหวไปเสียหน่อย
“คุณคับฟ้าครับ เอ่อ ท่านประธานสั่งไว้ไม่ให้ใครขึ้นไปรบกวนขณะทำงานครับ ห้ามให้ใครเข้าจนกว่าท่านประธานจะเคลียร์งานเสร็จครับ”
ขาที่กำลังก้าวขึ้นไปในแต่ละขั้นถึงกับหยุดก้าวลงทันทีเมื่อศิลป์เอ่ยปากบอกตามหลังมาแถมปฏิกิริยาค่อนข้างจะลุกลี้ลุกลนเกินกว่าเหตุ มันยิ่งทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่ว่าขุนศึกนั่งทำงานอะไรอยู่กันแน่ ทำไมลูกน้องของเจ้าตัวถึงทำท่ามีพิรุธขนาดนี้และความคิดเจ้ากรรมที่อยู่ในหัวดันคิดไปถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์
หรือว่าขุนศึกพาผู้หญิงเข้ามาในบ้าน…
“คงไม่กล้าห้ามเมียตัวเองเข้าไปหรอกมั้งครับ”
ผมเอี้ยวใบหน้าตอบกลับด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังห้องทำงานต่อโดยมีศิลป์เดินตามหลังมาติด ๆ เมื่อตัวผมเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบานเดิมหัวใจที่เต้นรัวราวกับกำลังตีกลองดังสนั่นเชียร์ในงานกีฬาก็ปะทุขึ้น
“เอ่อ คุณคับฟ้าครับ…”
เสียงของศิลป์ตอนนี้ราวกับเป็นแค่อากาศธาตุที่ผมไม่แม้แต่สนใจ แน่นอนว่าผมไม่รอช้ามือขวารีบเอื้อมไปบิดกลอนประตูแล้วเปิดออกเพื่อที่จะได้รู้เสียทีว่าขุนศึกนั่งทำงานหรือนั่งทำอย่างอื่นกันแน่
“ซี้ด!....”
หากแต่ภาพตรงหน้าทำเอาผมยืนนิ่งค้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าขุนศึกกำลังนอนอยู่บนเตียงเปล่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวดออกมาเบา ๆ สายตาของคนที่นอนอยู่มุมห้องเหมือนจะรับรู้ได้ว่ามีแขกเข้ามาเยือนจึงโผล่หัวขึ้นมอง เมื่อเจ้าตัวรู้ว่าใครคือแขกที่เข้ามาก็ถึงกับทำสีหน้าเหวอด้วยความตกใจเล็กน้อย
“ทำอะไรของมึงเนี่ยขุนศึก!”
ผมรีบเดินปรี่เข้าไปใกล้กับเตียงสักที่ช่างกำลังละเลงวาดอยู่บนท่อนแขนโดยมีขุนศึกนอนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตัวผมยืนกอดอกคิ้วขมวดกับเหตุการณ์ตรงหน้าและอยากจะรู้เสียเหลือเกินว่าอะไรเข้าสิงร่างสูงทำให้ตัดสินใจทำแบบนี้
“สองสามวันก่อนไปดูดวงมา ซินแสบอกว่าถ้าอยากจะเปิดโหงวเฮ้งมันต้องสักที่แขนเพราะถ้าสักแล้วมันจะช่วยเสริมดวงให้หน้าที่การงานราบรื่นไม่มีอุปสรรค กูเลยทำตามคำแนะนำของซินแส”
ผมยืนฟังเหตุและผลที่ทำให้คนตรงหน้าตัดสินใจสักแขนแบบนี้และดูเหมือนสิ่งที่ขุนศึกนอนพูดอธิบายกับผมนั้นมันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อได้ ตั้งแต่ผมเกิดและโตมาจนอายุยี่สิบสามปีผมไม่เคยเห็นซินแสที่ไหนให้คำแนะนำเหมือนที่ขุนศึกบอกสักคน
“ทำไมยืนหน้านิ่งไม่พูดไม่จา มันไม่สวยหรือไง”
เสียงทุ้มต่ำปนเสียงสั่นเครือเล็กน้อยเมื่อช่างกำลังก้มลงจัดการละเลงบนเนื้อผิวบนแขนต่อ ดูจากสภาพแล้วเจ้าตัวคงจะนอนทนเจ็บมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ส่วนลายที่ช่างกำลังละเลงดูเหมือนจะยาวมาถึงบริเวณฝ่ามือ งานใหญ่แบบนี้คงใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะเสร็จแล้วคนรักในหน้าที่แบบขุนศึกจะทำอย่างไรแล้วเจ้าตัวจะเข้าบริษัทไปทำงานได้หรือ
“ก็สวยดี แต่กว่าจะเสร็จคงอีกหลายวัน”
ผมยืนมองดูช่างที่กำลังละเลงปลายเข็มลงบนแขนและเหมือนจะเริ่มลงมาถึงบริเวณส่วนฝ่ามือด้านขวา สายตาของผมที่ตั้งใจดูลวดลายนั้นไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าหน้าของขุนศึกไม่ค่อยจะพอใจผมเสียเท่าไหร่ มันเลยทำให้สายตาผมตวัดขึ้นไปมองด้วยความสงสัยและมึนงงว่าทำไมเจ้าตัวถึงเอาแต่นอนจ้องหน้าผมไม่วางตา
“ไม่เห็นจะกรี๊ดเหมือนเมื่อคืน…”
เมื่อความสนใจของผมจับจ้องไปกับลายสักที่ช่างกำลังทำเสียงบ่นพึมพำของขุนศึกก็เล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเบา ๆ ผมเบือนหน้าหันกลับไปมองและเลิกคิ้วใส่เพราะเมื่อครู่นี้ผมฟังไม่ทันบวกกับเสียงทุ้มนั้นออกจะเบาเกินกว่าที่ผมจะจับใจความได้
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?”
ข้อมือผมถูกรั้งให้ถลาเข้าไปชิดกับตัวเตียงโดยแรงดึงของขุนศึก สายตาคมเข้มนั้นเอาแต่จ้องมาที่ผมแล้วเลื่อนมือตัวเองที่รั้งข้อมือผมไว้เปลี่ยนมาเป็นลูบไล้บริเวณเอวผมเบา ๆ ต่อหน้าลูกน้องอย่างศิลป์และช่างสัก โดยที่ไม่สนใจสักนิดว่าผมจะเขินอายหรือเปล่า
“ทำไมมึงไม่ตื่นเต้นเหมือนตอนที่เห็นรอยสักของไอ้ผู้ชายเมื่อคืน…”
น้ำเสียงออกแนวขุ่นเคืองปนน้อยใจอยู่มากที่ผมไม่เคยได้สัมผัสและพบเจอในตัวของผู้ชายคนนี้เลยตั้งแต่ถูกจับหมั้นกัน ยิ่งขุนศึกเอ่ยถึงผู้ชายเมื่อคืนผมก็ยิ่งไม่เข้าใจที่เจ้าตัวกำลังจะสื่อเพราะเมื่อคืนอยู่แต่บ้านแล้วผมจะไปเจอผู้ชายคนไหนอีกนอกจากเพื่อนตัวเองกับร่างที่นอนอยู่ตรงหน้าผม
“ผู้ชาย? ผู้ชายที่ไหนเมื่อคืนก็มีแต่เพื่อนกูกับมึงนะ อ๋อ ศิลป์อีกคน ถ้านอกนั้นก็ไม่มีคนอื่นที่เจอ”
ผมโต้กลับขุนศึกอย่างมั่นอกมั่นใจเพราะผู้ชายคนอื่นที่ขุนศึกกำลังพูดถึงดูเหมือนจะไม่มีตัวตนจริง เมื่อถูกถามหาผู้ชายที่ไม่มีตัวตนผมจึงกำลังคิดไปว่าขุนศึกกำลังกุเรื่องขึ้นมาเพื่ออยากจะชวนผมทะเลาะอีกหรือเปล่า
“ผู้ชายในทีวีไง! ทำไมตอนที่เห็นรอยสักของกูมึงไม่กรี๊ดออกมาเหมือนเมื่อคืนบ้างล่ะวะ!”
เสียงเข้มของขุนศึกดูจะหงุดหงิดใจไม่น้อยจนช่างที่กำลังก้มหน้าก้มตาสักให้ถึงกับเงยขึ้นลอบมองด้วยรอยยิ้ม แต่ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์แค่ไหนฝ่ามือหนาก็ยังคงลูบไล้บริเวณช่วงเอวผมเล่นอย่างเพลิดเพลินราวกับมันช่วยบรรเทาความเจ็บบนท่อนแขนขวาตัวเองได้ดี ส่วนผมก็ได้แต่หน้าเหวอเมื่อรับรู้สาเหตุที่แท้จริงของการสักในครั้งนี้ว่าขุนศึกสักเพราะอะไร
ขุนศึกลงทุนขนาดนี้มันก็น่ารักดีไม่น้อย…
หื้อ….น่ารัก?...
นี่ผมกำลังมองผู้ชายที่ทำตัวแย่ ๆ ใส่ว่าน่ารักหรือ…
คิดอะไรของมึงอยู่คับฟ้า…
“เดี๋ยวเก็บกับข้าวไว้ให้ วันนี้ลองทำพะแนงหมูถ้าเสร็จแล้วลงไปกินซะ”
ผมเลือกจะไม่ตอบในประเด็นของขุนศึกที่กำลังเพ้อราวกับน้อยใจ สายตาดุดันยังมองมาด้วยอาการตัดพ้อแต่ผมไม่ได้สนใจและเตรียมหันหลังกลับแต่ทว่าตัวผมดันถูกรั้งด้วยแรงนิ้วมือทั้งห้าที่จับยึดเหนี่ยวเอวผมไม่ให้เดินหนีไปไหน ยิ่งขุนศึกแสดงอาการออกแบบนี้ความเขินอายต่อหน้าช่างสักและศิลป์ยิ่งทวีคูณขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
“ตอบกูก่อนว่าทำไมมึงไม่คลั่งเหมือนเวลาเห็นผู้ชายในทีวีเมื่อคืนบ้าง!”
“อะไรของมึงเนี่ย! ปล่อย! กูจะไปข้าว!”
สีหน้าคมเข้มของขุนศึกเริ่มตึงขึ้นมาเมื่อผมไม่มีคำตอบใด ๆ ให้เจ้าตัว อาการเริ่มเอาแต่ใจอย่างกับเด็กเวลาไม่ได้ของเล่นตามที่ต้องการแสดงออกมาให้เห็น นับวันยิ่งอยู่ด้วยกันผมยิ่งเห็นนิสัยอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยถูกพูดถึงหรือเขียนลงในชีวประวัติบนสื่อออนไลน์ เมื่อได้มาสัมผัสจึงทำให้ผมเห็นเพียงแค่ผู้ชายที่เอาแต่ใจและขี้หงุดหงิดเท่านั้น
“ก็ตอบกูมาก่อน ถ้าตอบแล้วจะปล่อย”
ขุนศึกไม่พูดเปล่ายังเลื่อนแขนมาคว้ามือผมไปดมต่อหน้าช่างอีกต่างหาก จมูกที่สูดดมกลิ่นกายตรงฝ่ามือทำเอาตัวผมขนลุกซู่ จากสูดดมแปรเปลี่ยนมาเป็นฝังริมฝีปากลงบนอุ้งมือของผมเบา ๆ สองสามทีโดยสายตาคมเข้มคู่ตรงหน้าก็ช้อนขึ้นมองผมตลอดเวลา
“ตะ ตอบอะไร…”
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงเบาหวิวเพราะร่างกายรู้สึกตื่นตัวทุกครั้งเมื่อริมฝีปากหนาทาบลงบนอุ้งมือของตัวเอง มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่รู้สึกดี
ดีงั้นหรือ…
เอาอีกแล้ว …
บอกว่าน่ารักไม่พอผมดันรู้สึกดีอีกหรือไง…
“รอยสักบนแขนกู…”
“ทำไม…”
“ทำเมียอย่างมึงคลั่งได้หรือยัง ได้มากกว่าผู้ชายในทีวีนั่นไหม…”
แววตาที่สื่อออกมาทำให้ใบหน้าของผมถึงกับร้อนผ่าวเมื่อได้ฟังประโยคคำถามที่นุ่มนวลกว่าครั้งไหน ๆ ความรู้สึกผมตอนนี้มีแต่คำว่าเขินเต็มไปหมด เขินสายตาที่สื่อออกมาราวกับเป็นเปลวไฟที่พร้อมจะแผดเผาผมไปทั่วร่าง ฝ่ามือผมยังคงถูกบรรจงรอยยิ้มจูบไม่ห่าง การกระทำที่แสดงออกจะโจ่งแจ้งจนผมอดคิดไม่ได้ว่าขุนศึกไม่เคอะเขินคนอื่นบ้างหรือไงกัน
ส่วนผมเขินจนร่างแทบไหม้แล้ว….
.
.
.
.
‘มึงอยู่ไหนกันแน่ไอ้เนม กูอยู่ตรงทางเข้าแล้วเนี่ย’
มื้อค่ำของครอบครัวในช่วงวันอาทิตย์ถูกยกเลิกเพราะสาเหตุที่ว่าขุนศึกหอบสังขารตัวเองไปไม่ไหวเพราะอาการเจ็บจากแผลสดหลังสักได้วันแรกเริ่มแสดงอาการ ผมจึงต้องโทรไปบอกทั้งม๊าผมและม๊าขุนศึกว่าไปร่วมทานอาหารมื้อค่ำด้วยไม่ได้ ส่วนสาเหตุที่ผมบอกไปคือขุนศึกไม่สบายเพราะมันเป็นเหตุผลที่ง่ายและไม่ต้องอธิบายอะไรให้ยืดยาว
‘เออ ๆ จะถึงแล้วมึงยืนรออีกแป๊บเดียว แต่ลูกพี่ลูกน้องกูถึงแล้วนะกำลังเดินไปหามึง’
‘ลูกพี่ลูกน้อง? มึงไม่เห็นบอกกูเลยว่าจะมีคนอื่นมาด้วย’
‘มันเป็นเหตุสุดวิสัย ลูกพี่ลูกน้องกูถึงล่ะเสื้อสีเทาหมวกสีดำมึงคอยมองไว้ ถ้าเจอกันแล้วก็เดินเข้างานก่อนเลย แค่นี้ก่อนกูขับรถอยู่’
ผมส่ายหัวให้กับคนตรงต่อเวลาอย่างไอ้เนมสุดแสนจะเอือมระอานัดบ่ายโมงแต่พอมาจริงสายไปอีกชั่วโมง ส่วนผมจะทำอะไรได้คงต้องเดินเข้าไปในงานกับลูกพี่ลูกน้องอย่างที่คนปลายสายบอก
วันนี้มีงานเทศกาลดอกไม้ใจกลางเมืองในช่วงวันหยุดคนอย่างผมไม่เคยพลาดเพราะทุกปีผมจะต้องควงเพื่อนในกลุ่มไม่คนใดก็คนหนึ่งมาเดินหรืออาจจะยกโขยงมาครบแก๊งถ้าเกิดว่าง แต่วันนี้ไอ้เนมดันว่างคนเดียวผมเลยคะยั้นคะยอให้มันออกมาเป็นเพื่อนเพราะนาน ๆ ทีผมจะได้มีเวลาส่วนตัวเป็นของตัวเอง
หลังจากที่วางสายของเพื่อนรักลงตัวผมก็ชะเง้อมองดูรอบงานเพื่อมองหาใครบางคนที่ไอ้เนมบอก สายตาผมเริ่มสอดส่องหาผู้ชายเสื้อเทาหมวกดำที่อยู่หน้างานแต่หาเท่าไหร่ผมก็หาไม่เจอสักที ไม่เจอผู้ชายที่แต่งตัวลักษณะที่ไอ้เนมบอกเลยแม้แต่คนเดียว
“ไง มองหาผมอยู่เหรอ”
เสียงนุ่มของคนที่อยู่ด้านหลังทำเอาผมรีบหันกลับไปมองแต่พอหันมาถึงกับตกใจเพราะลูกพี่ลูกน้องของไอ้เนมที่ว่าคือ ธาม เพื่อนร่วมงานของผมนั่นเอง
“อ้าว! นี่อย่าบอกนะว่าธามเป็นญาติกับเพื่อนผม”
ร่างสูงโปร่งรอยยิ้มเคลื่อนที่พยักหน้ามาให้ผมเชิงเป็นคำตอบ มันยิ่งสร้างความประหลาดในความบังเอิญที่เกิดขึ้นเพราะตั้งแต่คบกับไอ้เนมมาผมไม่รู้เลยว่าเพื่อนผมคนนี้มีลูกพี่ลูกน้องด้วย
“ผมก็ตกใจที่รู้ว่าเป็นคับฟ้าเพราะที่มางานนี้ผมก็หาเพื่อนเหมือนกัน พอรู้ว่าเนมจะมาผมก็รีบขอมาด้วยคาดไม่ถึงเลยว่าคับฟ้าจะเป็นเพื่อนของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง”
“รู้แบบนี้แล้วผมคงต้องเรียกธามว่าพี่แล้วมั้ง”
ผมบอกปนขำไปหน่อย ๆ ส่วนธามก็ยิ้มส่งมาให้ จะว่าไปพลังของรอยยิ้มนั่นไม่เคยแผ่วลงเลยจริง ๆ…
“เรียกธามเหมือนเดิมดีแล้วดูสนิทมากกว่าอีก เราเดินเข้าไปในงานกันก่อนไหมกว่าเนมจะถึงคงอีกสักพักใหญ่ ๆ”
ผมพยักแล้วหันตัวเดินเข้าไปในงานพร้อมกับร่างของธามที่มีสายตาของผู้หญิงและผู้ชายต่างเหลียวมองอย่างสนใจ ดูเหมือนธามจะรู้ตัวเลยขยับมาเดินใกล้ผมแถมยกมือขึ้นมาโอบไหล่อย่างถือวิสาสะแต่การกระทำที่ธามแสดงออกมานั้นมันทำผมรู้สึกแปลกประหลาดใจและตกใจไม่น้อย
“ขอยืมตัวหน่อยนะ พอดีผมไม่ค่อยชินกับสายตาที่มองมามันรู้สึกเขิน ๆ ยังไงไม่รู้”
เมื่อเราทั้งคู่เดินเข้ามายังภายในงานแขนที่เคยโอบไหล่ผมก็ถูกเลื่อนออก เราทั้งคู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองและเหตุการณ์เมื่อครู่มันทำให้ผมทำตัวไม่ถูกแถมรู้สึกอึดอัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอยู่มากโข
“เอ่อ เราไปดูโซนดอกไม้กันก่อนไหม เห็นทางเพจลงรูปแล้วมีแต่พรรณไม้สวย ๆ คับฟ้าอาจจะชอบ”
“อะ อื้อ ไปสิ”
ผมพยายามเก็บอาการอึดอัดนั้นไว้ในใจแล้วปั้นยิ้มเหมือนทุกครั้งส่งกลับไปให้เพื่อนร่วมงานในทีม เราสองคนเดินตรงไปยังโซนพรรณไม้ตามที่คนข้างกายบอกและเมื่อผมเข้ามาในอาณาจักรดอกไม้ความรู้สึกเมื่อครู่หายวับไปกับตาเพราะความสนใจทั้งหมดที่ผมมีนั้นจับจ้องไปยังเมืองดอกไม้ตรงหน้าเสียหมด
เมื่อตัวผมเดินตรงมายังดอกไม้หลากสีอย่างเช่นดอกทิวลิปที่ถูกจัดวางเรียงรายเป็นมุมถ่ายรูปให้แก่ผู้คนภายในงาน ในระหว่างที่ผมกำลังก้มตัวลงดูดอกทิวลิปใกล้ ๆ เสียงกดชัตเตอร์ของกล้องตัวใหญ่ก็ดังขึ้น ยิ่งใบหน้าผมเงยขึ้นไปมองเสียงกดชัตเตอร์ก็ยิ่งรัวอย่างกับถูกปาปารัสซีแอบถ่าย รอยยิ้มกว้างของผมฉายแววออกมาเมื่อโดนเล่นงานด้วยกล้องถ่ายรูป ส่วนธามก็ไม่สนใจเสียงร้องห้ามของผมแม้แต่น้อยแถมยังกดถ่ายรูปผมตามอำเภอใจอีกต่างหาก
“คับฟ้าชอบดอกทิวลิปเหรอ”
ตัวผมที่รู้สึกว่าคงยากที่จะบอกให้คนตรงหน้าหยุดจึงหันตัวกลับมาเสพความสุขจากดอกไม้แทน เมื่อธามถ่ายรูปผมจนหนำใจจึงเดินเข้ามายืนขนาบข้างแล้วเอ่ยถามผมด้วยเสียงเรียบ
“อื้ม เป็นหนึ่งในดอกไม้ที่ผมชอบ แล้วธามล่ะชอบดอกไม้อะไร”
ริมฝีปากผมเอื้อนเอ่ยถามแต่สายตายังคงจ้องมองไปยังดอกทิวลิปตรงหน้า ทิวลิปสีแดงที่เปรียบเสมือนกับความรักของผม หากวันข้างหน้าผมต้องเลือกดอกไม้ให้กับคนที่ผมรักผมขอเลือกดอกทิวลิปสีแดงเพราะผมอยากจะบอกกับคนรักของผมไปว่าความรักที่ผมมีให้มันช่างเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์และรักอย่างหมดใจ
หมดใจที่มีคนคนนึงจะมีให้ได้…
“ผมชอบทิวลิปสีขาว…”
“…”
“เพราะผมยอมเสียสละทุกอย่างได้เพื่อคนที่ผมรัก ถึงแม้มันต้องแลกด้วยอะไรผมก็ยอม…”
ตัวผมนิ่งค้างทันทีเมื่อประโยคของธามคล้ายกับกำลังสื่อออกมาเป็นนัย ๆ ให้ผมได้รับรู้ แน่นอนว่าคนอย่างผมไม่ได้โง่พอที่จะดูไม่ออกว่าคนข้างกายรู้สึกกับผมอย่างไร แต่ความรู้สึกที่ธามกำลังมีให้ผมคงจะรับไว้ไม่ได้เพราะผมไม่ใช่หนุ่มโสดอย่างแต่ก่อนตัวผมมีพันธะและไร้ซึ่งความบริสุทธิ์
ธามไม่ควรมารู้สึกกับผมแบบนี้…
เพราะมันมีแต่เสียเวลาเปล่า…
“ถ้าแลกมาแล้วมันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ผมว่าธามอย่าแลกเลย มันไม่คุ้มเสียหรอก…”