00 45
เจ้าโจนาสไปอยู่กับฉัตรตะวันได้เกือบสามวันแล้ว และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มาลีวัลย์ไม่ยอมคุยกับเขา และยิ่งเขาไม่ใช่คนที่ต้องตามไปง้อหรือเอาใจใครก่อนก็ยิ่งทำให้เด็กสาวบึ้งตึงใส่ตนมากขึ้นไปอีก คงเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็ไม่เคยเลยที่จะโกรธหรือเอาแต่ใจกับเขา มาลีวัลย์เป็นเด็กที่ว่าง่าย ถึงจะดื้อเงียบแต่ก็เชื่อฟังเป็นอย่างดี พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาพฤกษ์ที่ฉลาดกับทุกเรื่องกลับไม่รู้วิธีที่จะง้อน้องสาวของตนเองเสียได้
“คุณพฤกษ์ครับ” ในช่วงสายของวันเสาร์ พงพีเดินมาหาเขาที่ห้องหนังสือพร้อมกับถือบางอย่างอยู่ในมือ เขาปิดวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง สวนเที่ยงคืน ที่อ่านได้เพียงครึ่งเล่มลงและเพ่งมองสิ่งที่อยู่ในมือของน้องชาย มันเป็นผ้าสีขาว ดูแล้วคงเป็นผ้าไอด้าหรือไม่ก็ผ้าลินินซึ่งเป็นที่นิยมในการใช้ปักครอสติช ที่เขารู้ก็เพราะมักจะเห็นพงพีใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนนั่งปักครอสติชเงียบ ๆ คนเดียวอยู่เสมอ นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดีเพราะเมื่อก่อนพฤกษ์เคยแอบกังวลเรื่องอาการสมาธิสั้นของน้องชาย เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะใช้ชีวิตปกติไม่ได้ แต่คุณหมอบอกว่าอาการเหล่านี้มันจะค่อย ๆ หายไปเมื่อพงพีโตขึ้นและได้รับการดูแลที่ถูกต้อง และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แม้ว่าในทีแรกพนาจะไม่ค่อยชอบใจที่ลูกชายคนรองมีอดิเรกไม่สมชาย (ในความคิดตนเอง) แต่พอเขาค่อย ๆ อธิบายว่ามันจะช่วยให้พงพีฝึกใช้สมาธิกับตนเองมากขึ้น ผู้เป็นพ่อที่ได้ฟังเช่นนั้นจึงได้ลดความขุ่นเคืองลงไปบ้างแต่ก็ยังแสดงท่าทีฉุนเฉียวทุกครั้งที่ลูกชายนั่งทำงานอดิเรกให้เห็น
“มีอะไรล่ะ” พฤกษ์ถาม คิดว่าอีกฝ่ายคงอยากเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งปักครอสติชในห้องหนังสือทำนองนั้น ทว่าพงพีกลับยิ้มแฉ่งก่อนจะส่งผ้าที่พับไว้หนึ่งทบผืนนั้นมาให้ เขารับมันมาด้วยความมึนงงและกางสิ่งที่ได้รับมาทันที
“ว้าว..” ชายหนุ่มอุทานก่อนจะสลับมามองน้องชายด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
“งดงามมาก” เขาว่าขณะลูบไปบนเส้นไหมสีหวานสดสวยที่เรียงร้อยเป็นรูปดอกโบตั๋น
พงพียิ้มจนแก้มเมื่อย “คราวก่อนคุณบอกว่าอยากได้”
“ใช่ ฉันบอกแบบนั้น” พฤกษ์รำลึกความ “ขอบคุณนะ สวยจริง ๆ ฉันชอบมันมาก เดี๋ยวจะเอาใส่กรอบทองอย่างดีเลย เอ แล้วฉันจะแขวนไว้ตรงไหน”
“ห้องนั่งเล่น” พงพีว่า “คุณพฤกษ์บอกไว้คราวก่อน”
เขานิ่งอย่างใช้ความคิด “ไม่เอาดีกว่า ฉันจำได้ว่าห้องทำงานยังไม่ค่อยมีรูปแขวน”
“แต่นั่นเป็นห้องทำงานของคุณพ่อนี่ครับ”
พฤกษ์ส่ายนิ้วชี้ “อีกไม่นานมันจะกลายเป็นห้องของฉันแล้วล่ะ”
“จะเริ่มทำงานแล้วหรือครับ” ชายหนุ่มตาโต “คุณพฤกษ์ในชุดสูทต้องเท่มาก ๆ ”
“ว่าไปนั่น” เขาหัวเราะก่อนจะเชิดคางขึ้นนิด ๆ อย่างภูมิใจ “ฉันก็ดูดีอยู่ตลอดนั่นแหละ”
พฤกษ์ก้มลงชื่นชมผ้าปักครอสติชที่ได้จากน้องชายอยู่สักครู่ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะข้างโซฟา พงพียังไม่ได้ไปไหน อีกฝ่ายกำลังยืนสำรวจหนังสือที่อยู่บนชั้นด้วยความสนอกสนใจ
“ยายเด็กขี้งอนไปไหน” เขาเอ่ยขึ้นขณะหยิบสวนเที่ยงคืนขึ้นมาอ่านต่อจากที่ค้างเอาไว้ พงพีหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น เด็กหนุ่มเดินมานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม พูดว่า
“เห็นออกไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ สงสัยคงไปเที่ยว”
“อืมม” มือเรียวกรีดหน้าหนังสือ “พูดอะไรถึงฉันบ้างไหม”
“เห็นจะพูดเมื่อวันก่อน”
“พูดว่าอะไร”
“เกลียดคุณพฤกษ์ที่สุดเลย”
เขาแทบจะกระอักเลือด ทว่าก็ได้แต่หัวเราะอยู่ในคอ
“น้องคงยังไม่หายโกรธที่คุณยกโจนาสให้คุณฉัตร” พงพีเข้าประเด็น “ทำไมจู่ ๆ ถึงยกให้คนอื่นไปล่ะครับ”
“เขาไม่เคยขออะไรจากฉันมาก่อน” ยกเว้นร้องขอความรัก ซึ่งพฤกษ์ให้อีกฝ่ายไม่ได้ ถ้ามีอะไรที่ทดแทนได้เขาก็จะทำให้เพื่อปลอบประโลมใจที่แหลกลาญนั้นด้วยความยินดี
“เพราะเขาไม่เคยขอก็เลยให้ไปโดยไม่คิดอะไรเลยหรือครับ”
“คิดสิ” เขายกยิ้ม “อย่างแรก หมานั่นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางวันที่ฉันอยู่มันจะเชื่อง บางวันก็ไล่กัดคนไปทั่ว โดยเฉพาะไอ้โจอี้ ฉันก็คิดไว้สักพักแล้วว่าควรจะแยกมันสองตัวออกจากกัน อีกอย่าง ฉันเห็นคุณฉัตรดูเหงา คิดว่าควรมีอะไรเยียวยาบ้างก็คงจะดี ประจวบเหมาะกับที่เขามาขอหมา ฉันก็เลยยกให้ไปเลยเดี๋ยวนั้น อันที่จริงก็ไม่คิดว่ามะลิจะโศกเศร้าปานนี้ ดูสิ ยังไม่พูดกับฉันสักคำ”
“เยียวยาอะไร ไม่เห็นเข้าใจเลย แล้วมะลิล่ะครับ น้องเสียใจมาก ร้องไห้มาหลายวันแล้ว”
“ยายเด็กนั่นร้องไห้เดี๋ยวก็มีวันที่หยุดร้อง” พฤกษ์ถอนใจ “แต่คุณฉัตรนี่สิ ฉันยังไม่รู้เลยว่าเขาจะมีวันนั้นไหม”
“เขาเจอเรื่องไม่ดีมาหรือครับ จะว่าไปวันที่ตีแบดด้วยกันก็ดูซึม ๆ ”
“เจอเรื่องหนักเลยล่ะ แกควรจะเห็นใจเขาให้มาก”
พงพียักไหล่ “ยังไงก็ได้ครับ ผมไม่ได้อคติเสียหน่อย”
“ดี” แล้วพวกเขาทั้งสองก็ไม่คุยเรื่องนี้กันอีก พฤกษ์อ่านหนังสือในมือต่อ ส่วนพงพีก็พลิกหนังสือของตนไปมา เด็กหนุ่มนั่งอ่านเรื่องย่อจากปกด้านหลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำหน้าเหม็นเบื่อและวางมันลงกับโต๊ะทันที พฤกษ์ที่เห็นการกระทำนั้นก็รู็สึกขัน
“อย่าตัดสินหนังสือจากเรื่องย่อสิ” เขาพูด
“ผมว่าถ้าเราอ่านเรื่องย่อแล้วไม่ถูกใจก็ควรปิด” พงพียิ้มแห้ง “ดีกว่าอ่านต่อไปแล้วหงุดหงิดทีหลัง อีกอย่างผมไม่ชอบหนังสือเด็กเลย”
“ก็จริงของแก” เสียงทุ้มเอ่ย “แต่ฉันชอบหนังสือเด็กมาก”
“ผมว่าคุณชอบทุกอย่างที่เป็นหนังสือมากกว่า” เด็กหนุ่มมองสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายสลับกับมองไปรอบ ๆ ห้องที่มีหนังสืออยู่นับร้อยนับพัน
“ผมเห็นคุณพฤกษ์อยู่แต่กับหนังสือตลอดเลย บางครั้งก็รู้สึกอิจฉา บางครั้งก็ดูน่าเบื่อ”
นี่คงเป็นครั้งแรกที่พงพีพูดอะไรแบบนี้กับเขา พฤกษ์จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย เขาถามต่อไปว่า
“ทำไมถึงอิจฉา”
“คุณพ่อชอบบอกว่าให้เอาอย่างคุณพฤกษ์บ้าง เพราะคุณพ่อชอบคนฉลาด แต่ผมไม่ฉลาดก็เลยอิจฉา”
“แต่แกก็บอกว่ามันน่าเบื่อ”
“อ่านหนังสือมันดูน่าเบื่อจริง ๆ นี่ครับ ตัวหนังสือเยอะแยะจะตายไป”
“ปักครอสติชก็ดูน่าเบื่อเหมือนกัน”
ชายหนุ่มสะอึก “ใจร้าย” และเริ่มเบ้หน้า “มันสนุกจะตาย”
พฤกษ์ที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา เขายกมือขึ้นขยับแว่นสายตาเล็กน้อยก่อนที่น้ำเสียงนุ่ม ๆ รื่นหูจะเอ่ยความ
“ถ้าเราทำอะไรสักอย่างด้วยความหลงใหลมันจะกลายเป็นเรื่องสนุก ถ้าเมื่อไหร่ที่ต้องจำใจทำมันจะกลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับแกและฉัน ฉันรักหนังสือ หลงใหลมาตลอด มันพาฉันไปในที่ ๆ ฉันไม่เคยไป พาไปรู้จักกับคนที่ฉันไม่รู้จัก พาฉันท่องไปทั่วจักรวาลที่ฉันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความยิ่งใหญ่นั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงจินตนาการไม่รู้จบของใครสักคนก็ตามแต่มันก็น่าหลงใหลจนทำให้ถอนตัวไม่ได้สักที เพราะแบบนี้ฉันจึงอ่านมันได้โดยไม่รู้จักเบื่อ ก็เหมือนแกกับการปักครอสติชนั่นแหละ ถ้าแกไม่หลงใหลหรือชื่นชอบมันเลยสักนิด แกจะทำมันออกมาได้ดีขนาดนี้เชียวหรือ”
พงพีนิ่งไปก่อนจะคิดตามในสิ่งที่พี่ชายคนโตพูด ครู่ต่อมาเขาจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นที่ทิ้งไปก่อนก่อนหน้าขึ้นมาดูอีกครั้ง ชายหนุ่มเปิดปกของมันออก เปิดไปอีกหน้าและอีกหลายหน้าจนเห็นคำว่า บทที่หนึ่ง เด่นหราอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาและเริ่มอ่านเนื้อความในหน้านั้นอย่างบรรจง
พฤกษ์ที่มองเห็นการเติบโตนั้นของน้องชายก็ได้แต่ยิ้มน้อย ๆ ออกมาท่ามกลางความเงียบงันและจินตนาการที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาในหัวของชายหนุ่มที่ขยาดการอ่านหนังสือเป็นที่สุด
“จะไปไหน”
ในช่วงสายของวันเสาร์ พฤกษ์ที่นั่งเรื่อยเปื่อยอยู่ก็ถามขึ้นเมื่อเห็นมาลีวัลย์เดินลงมาจากห้องนอน หญิงสาวแต่งตัวด้วยเดรสสีฟ้าอ่อน ปล่อยผมสยายสวมหมวกเบเร่ต์สีครีมและประดับสร้อยคอที่เขาเคยซื้อให้เป็นของขวัญเมื่อไม่นานมานี้ หากเป็นวันหยุดปกติพฤกษ์คงไม่หวั่นใจขนาดนี้เพราะดูเหมือนเธอจะแต่งหน้าเข้มกว่าทุกวันนิดหน่อย นั่นจึงเป็นเหตุให้เขารู้สึกวิตกว่ามาลีวัลย์อาจจะกำลังออกเดตอยู่กับใครสักคนโดยที่เขาไม่รู้
“ฉันถามว่าจะไปไหน ทำไมไม่บอก”
หญิงสาวหันมาสะบัดหน้าใส่ พูดด้วยน้ำเสียงแง่งอนว่า
“จะสนใจทำไมคะ ทีตอนเอาโจนาสไปให้คนอื่นยังไม่เห็นบอกมะลิเลยสักคำ”
“ฉันขอโทษ” พฤกษ์ถอนหายใจยาวเหยียด “นึกว่าเราจะเข้าใจกันแล้วซะอีก”
“เข้าใจไปคนเดียวเถอะค่ะ”
หลังจากวันนั้นมาพฤกษ์ไม่ได้นิ่งนอนใจหรือเพิกเฉยต่อความน้อยอกน้อยใจของน้องสาว เขาพยายามเข้าหา พูดคุย ขอโทษและอธิบายในสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรมาลีวัลย์ก็ดูจะไม่ยอมยกโทษให้เขาได้โดยง่าย หญิงสาวเอาแต่ตีมึนทุกครั้งที่เขาเรียก ไม่ก็ประชดประชันเวลาที่ีถามอะไรสักอย่าง จนพักหลังพฤกษ์ก็เริ่มยอมแพ้และคิดว่าจะปล่อยให้น้องสาวโกรธเขาได้นานเท่าที่อีกฝ่ายต้องการ
“มีแฟนแล้วหรือไง”
ใบหน้าสวยบึ้งตึงทันที “หนูจะมีหรือไม่มีก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“เอาเถอะ” เขายอมแพ้ ไม่อยากพูดอะไรให้มาลีวัลย์ต้องขุ่นเคืองใจ “ยังไงก็อย่ากลับเย็นนัก คุณพ่อคงกลับมาบ้านวันนี้”
“หนูคงกลับค่ำ ไม่ต้องรอเพราะอาจจะเลยเวลาอาหารเย็น เรามีนัดติวข้อสอบ เสร็จแล้วก็จะไปเที่ยวกันต่อ”
“ถ้าอย่างนั้นก็โทรมาตอนที่เสร็จแล้ว ถ้าค่ำเกินไปฉันจะไปรับ”
หญิงสาวส่ายหน้า พูดด้วยท่าทางเฉยฉาว่า “ไม่จำเป็นค่ะ”
“งั้นฉันจะไปส่ง” เขาทำท่าจะลุกขึ้นจากโซฟา ทว่าหญิงสาวก็เดินผ่านหน้าออกไปทันทีพร้อมกับทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่แสบสันว่า
“หนูจะไม่พึ่งคุณอีกแล้ว”
พฤกษ์คิ้วกระตุก เขาตะโกนไล่หลังไปว่า
“ยายเด็กอวดดี”
อินทรชิตที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จเดินสวนกลับเข้ามาพอดีจึงตกใจ เขากำลังจะอ้าปากถามน้องสาวว่าเกิดอะไรขึ้นทว่าอีกฝ่ายก็เดินก้มหน้าก้มตาออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างใน พอเห็นสีหน้าของพฤกษ์ก็เริ่มปะติปะต่ออะไรขึ้นมาได้ เขาเดินอ้อมไปด้านหลังโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว วางมือลงบนบ่าทั้งสองก่อนจะออกแรงนวดเบา ๆ อย่างเอาอกเอาใจ
“ไหล่คุณตึงมากเลยนะ”
เขาว่าพลางนึกถึงอีกฝ่ายในวัยผู้ใหญ่ คุณพฤกษ์ของเขาไม่ว่าเมื่อไหร่ก็งานรัดตัวอยู่เสมอ ไหล่เล็ก ๆ และบอบบางนี้คงจะตึงและแข็งมากกว่าตอนนี้เป็นสิบเท่า เขานึกถึงคุณพฤกษ์ที่เป็นคนบ้างานและเข้มงวดกับทุกอย่าง ทำอะไรก็มักจะรอบคอบและมีแบบแผนเป็นระบบระเบียบ ทั้งเก่งและฉลาด เป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่ทำให้คนแก่ ๆ ในบอร์ดบริหารหน้าหงายมานักต่อนัก เขากุมอำนาจเบ็ดเสร็จด้วยความสามารถของตนเอง เป็นที่เคารพและยกย่องจากบุคลากร และภายในระยะเวลาไม่กี่ปีก็ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสูง ๆ ได้อย่างง่ายดายโดยไม่พึ่งพาอำนาจจากพนาผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย
เมื่อไหร่ก็ตามเวลาที่เขาเห็นอีกฝ่าย มือหนึ่งจะต้องถือไอแพด มือหนึ่งถือโทรศัพท์ สวมใส่ชุดสูทราคาแพงมากกว่าชุดลำลอง ใช้เวลาอยู่กับงานมากกว่าคนรัก ทานข้าวกับเลขาหลี่มากกว่าครอบครัวและหลับนอนที่เพนต์เฮาส์บนยอดตึกสูงมากกว่าบ้านของตนเองเสียอีก บางครั้งเขาก็คิดขึ้นมาเล่น ๆ ว่าที่อัครานอกใจอาจจะไม่ใช่เพราะกมลสันดานของเจ้าตัวแต่เป็นเพราะคุณพฤกษ์ไม่ค่อยมีเวลาให้ได้เท่าที่ควรต่างหาก และที่บ้างานก็คงเพราะอยากจะทำตัวให้เป็นที่ยอมรับเพื่อที่จะสร้างกำแพงกับผู้เป็นพ่อ คุณเขาคงไม่อยากให้อีกฝ่ายมาก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวอีก
ความพยายามที่ยากลำบากนั้นเขาเห็นมันทั้งหมดนั่นแหละ และเพราะเป็นแบบนี้เขาถึงได้ยินดีกับคุณพฤกษ์ที่สุดเวลาที่อีกฝ่ายประสบความสำเร็จ ถึงแม้สิ่งที่ได้ตอบกลับมาจะเป็นคำพูดเย็นชาที่อีกฝ่ายมักพูดใส่เวลาที่เจอหน้ากันก็ตาม
‘ยินดีด้วยกับโครงการนี้ คุณต้องทำออกมาได้ดีแน่’
‘ขอบคุณครับคุณอินทร์’
อีกฝ่ายพูดกับเขาแบบนั้นในตอนที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่พออยู่กันแค่สองคนก็จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทันที
‘ฉันไม่ต้องการคำยินดีจากแกหรอกนะ’
แต่ถึงอย่างนั้นอินทรชิตก็ยังคงยิ้มและถามไถ่เรื่องสุขภาพเหมือนทุกครั้ง เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาได้มีโอกาสเจอหน้าอีกฝ่ายถ้าไม่ใช่เรื่องงานหรือความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างครอบครัว
‘คุณดูผอมลงนะ ช่วงนี้ยังปวดไมเกรนอยู่หรือเปล่าครับ’
คุณเขาเป็นไมเกรนมานานแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำงานแรก ๆ เลยด้วยซ้ำ ทว่าคุณพฤกษ์ชะล่าใจคิดว่ามันเป็นอาการปวดศีรษะทั่วไปที่มีผลมาจากความเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ กระทั่งมาปวดรุนแรงจนกระทบกับการทำงานก็อายุย่างเข้าสามสิบ วันนั้นอินทรชิตยังจำได้ดีเพราะเขาเองก็อยู่ด้วยในฐานะผู้ถือหุ้น คุณเขาล้มลงขณะกำลังพูดออกไมค์ ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมดกระทั่งรถพยาบาลพาตัวคุณพฤกษ์ไป วันต่อมาจึงได้ทราบข่าวว่าไมเกรนกำเริบ
‘ไม่ใช่เรื่องของแก’
เดี๋ยวสิ อินทรชิตถึงกับใจหายวาบ ทำไมเขาถึงลืมเรื่องไมเกรนไปได้ ?
“พอแล้ว..” เสียงนุ่มตอบกลับก่อนจะส่งสายตาตำหนิมองมา “อย่าทำประเจิดประเจ้อที่นี่”
“เมื่อก่อนเราก็เป็นแบบนี้ปกตินี่ครับ” อินทรชิตแสร้งยิ้มทั้งที่กำลังกังวลใจ เขาตอบคุณพฤกษ์กลับไปด้วยน้ำเสียงราบรื่น
“คุณพฤกษ์นั่นแหละที่กำลังทำตัวมีพิรุธ”
ดวงหน้าขาวเหลือบตาขึ้นมามอง
“นั่นเพราะเมื่อก่อนฉันไม่รู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ในหัวน่ะสิ”
เขาหัวเราะก่อนจะกระซิบ
“อย่าพูดดังนักซี่” และใช้ข้อนิ้วสัมผัสตามแนวซอกคออย่างแผ่วเบา “เดี๋ยวคนอื่นอาจจะมาได้ยินนะครับ”
“จะไปทำอะไรก็ไป๊” คุณพฤกษ์โบกมือไล่ก่อนจะยกแก้วทรงสูงที่บรรจุน้ำสีแดงข้นขึ้นดื่ม ดูรสนิยมแล้วคงไม่ใช่น้ำหวานหรือน้ำอัดลมดาษดื่นพวกนั้น อินทรชิตเท้ามือกับพนักโซฟาและหรี่ตามองอย่างสงสัย
“คุณนึกอะไรถึงดื่มไวน์ตั้งแต่หัววันแบบนี้”
คุณพฤกษ์สำลัก ไอค่อกแค่กจนหน้าแดงเรื่อ
“แค่ก นี่มันน้ำกระเจี๊ยบ!”
แม้จะหน้าแตกดังเพล้งแต่ชายหนุ่มก็ฝืนหัวเราะออกมา อินทรชิตอ้อมมาหยิบทิชชูบนโต๊ะส่งให้อีกฝ่ายซับน้ำที่เปื้อนไหลมาถึงคาง
บนโลกนี้คงจะมีแค่คุณพฤกษ์คนเดียวที่จิบน้ำกระเจี๊ยบได้เหมือนจิบไวน์ (อวยล้วน ๆ)
“บ้าจริง” เสียงนุ่มว่า “ฉันต้องอาบน้ำอีกรอบเพราะแกคนเดียว”
“รู้สึกผิดจัง” เขาตีหน้าเศร้าพลางเขี่ยนิ้วเล่นบนหลังมืออีกฝ่าย “ผมขอรับผิดชอบด้วยการอาบให้ได้ไหมครับ”
เพี๊ยะ!
มือเรียวฟาดลงบนต้นแขนแกร่งทันทีที่เขาพูดจบ คุณพฤกษ์จ้องเขาตาเขม็ง พูดว่า
“เดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย”
ชายหนุ่มทำหน้าทะเล้น
“โดนอะไรหรือครับ”
“เหม็นเหงื่อ ไปไกล ๆ” คุณพฤกษ์เฉไฉ เขาก็ว่าจะหยุดพูดแต่พอเห็นแก้มที่แดงขึ้นเล็กน้อยก็อดใจไม่อยู่อยากจะรังแกต่ออีกสักหน่อย
“ทีเหงื่อตอนนั้นไม่ยักเห็นคุณรังเกียจ คุณพฤกษ์ยังบอกเองแท้ ๆ ว่าเร้าอารมณ์ดี”
“ไอ้เขี้ยว”
“ไม่แกล้งแล้วครับ ผมขอโทษนะคนดี”
พอถูกคุณเขาดุจริงจัง ไอ้เขี้ยวก็ไม่กล้าที่จะยั่วยวนกวนอารมณ์ให้ของขึ้นไปมากกว่านี้ แค่หยอกพอโกรธพอโมโหบ้างนิดหน่อยเพราะอยากเห็นใบหน้าน่ารักตอนกำลังหงุดหงิด ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเขาที่รู้สึกความมันเขี้ยวคุณพฤกษ์อยู่ตลอดเวลา
ร่างโปร่งลุกขึ้นยืน เขาเชื่อว่าคุณพฤกษ์คงจะขึ้นไปอาบน้ำอีกรอบเหมือนอย่างที่เพิ่งพูดแน่นอน ความคิดก่อนหน้านี้โผล่มากวนใจเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มลังเลที่จะตัดสินใจ เขาควรทำอย่างไรกับความคาค้างนี้ดี จะพูดหรือจะเก็บเอาไว้ ในระหว่างที่คิดภาพในกาลก่อนก็แว่บเข้ามาในสมอง มันเป็นตอนที่คุณพฤกษ์ล้มลงไปเพราะไมเกรนกำเริบหนัก เขาในตอนนั้นใจกระตุกวูบเหมือนจะตายเสียให้ได้
ไม่เอานะ ..ถ้าต้องมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
“คุณพฤกษ์ครับ” เขาร้องเรียก
คุณเขาหันกลับมามองด้วยสีหน้าสงสัย อินทรชิตพยายามยิ้มและซุกซ่อนความกังวลเอาไว้ให้ลึกสุดใจ เขาไม่อยากให้คุณพฤกษ์รู้สึกสะกิดใจกับคำพูดที่เหมือนจะรู้อะไรบางอย่างของตัวเอง
“ผมได้ยินมาว่าคุณจะเริ่มทำงานแล้ว”
“ใช่ แต่คงอีกสักพัก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณควรจะไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลบ้างก็ดีนะครับ”
คิ้วสวยเริ่มขมวดเข้าหากัน ดวงตาเฉี่ยวคมเองก็กวาดมองเขาราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“ทำไม?”
“ผมเห็นคุณพฤกษ์หน้าซีด ๆ ” ถึงจะซีดเพราะผิวที่ขาวเกินมนุษย์ทั่วไปก็ตามที แต่มันเป็นข้ออ้างเดียวที่เขานึกขึ้นได้ในตอนนี้
“หน้าฉัน?” คุณพฤกษ์ยกมือขึ้นจับหน้าอย่างวิตกกังวล “ไม่ใช่เพราะฉันขาวหรอกหรือไง หรือว่าเราจะทารองพื้นหนักไป”
“ขาว เอ้ย มันไม่ได้ขาวแบบสุขภาพดีนี่ครับ มันเหมือนคุณกำลังป่วย”
“ปะ ป่วย..”
“ใต้ตาก็ดูคล้ำ ๆ นอนไม่พอหรือครับ หรือช่วงนี้เครียด ปวดหัวด้วยหรือเปล่า อ่า นี่ไง คุณควรจะไปหาหมอบ้าง ตรวจหัวสักหน่อยเผื่อจะเจออะไรแปลก ๆ”
“อะไรแปลก ๆ หมายถึงอะไร แกคงไม่ได้หมายถึงเนื้องอกหรอกนะ!”
อินทรชิตโบกมือและยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ
“ผมก็พูดไปเรื่อย เอาเป็นว่าหาเวลาไปตรวจสุขภาพบ้างก็ดีนะครับ เจาะเลือด ตรวจความดัน ตรวจสมองอะไรก็ว่าไป เร็ว ๆ นี้ผมก็ว่าจะไปตรวจอยู่บ้างเหมือนกันน่ะครับ”
เขาจงใจยกตัวเองมากล่าวอ้างเพื่อให้คำพูดดูสมเหตุสมผลและไม่น่าสงสัย แต่อีกใจก็นึกหวั่นเพราะคุณพฤกษ์เป็นคนฉลาด กลัวว่าสักวันความจริงที่ว่าเขาเองก็ย้อนกลับมาในอดีตเหมือนกันจะถูกเปิดเผยขึ้นมา ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายไม่นึกเอะใจอะไรกับสิ่งที่เขาพูดออกไป
“อืมม.. จะว่าไปก็ไม่ได้ตรวจสุขภาพนานแล้วเหมือนกัน” ตลอดสามปีที่ผ่านมานี้คุณพฤกษ์ไม่เคยตรวจสุขภาพเลยสักครั้งต่างหาก
“ขอบใจแกที่เตือน” คุณเขายิ้มบาง ท่าทางไม่ได้ติดใจอะไรทำให้เขาโล่งอก อินทรชิตจึงส่งยิ้มตอบอีกฝ่ายกลับไปก่อนจะป้องปากแล้วพูดเสียงเบาหวิวว่า
“คืนนี้ไปหาที่ห้องนะครับ”
คุณพฤกษ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเช่นกัน
“วันนี้คุณพ่อกลับบ้าน แต่ถ้าจะมาก็มาดึก ๆ หน่อย แกต้องรอให้แน่ใจว่าคุณพ่อหลับไปแล้วเข้าใจไหม?”
กลางดึกคืนนั้นอินทรชิตฝันร้ายอีกแล้ว ที่เขารู้ก็เพราะพฤกษ์ถูกกอดแน่นจนหายใจไม่ออก อันที่จริงชายหนุ่มสังเกตมาสักพักแล้วทุกครั้งที่พวกเขาหลับนอนอยู่ด้วยกันอินทรชิตมักจะฝันร้ายและร้องไห้ออกมากลางดึกทุกครั้ง โดยปกติพฤกษ์เป็นคนที่รู้สึกตัวตื่นก่อนและจะเข้าไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้จนกว่าจะสงบแล้วผล็อยหลับไปจนถึงเช้า เขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับอินทรชิต ไม่รู้เพราะว่าไม่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่หรือลึก ๆ เองก็กลัวว่าการกระทำของเขาในอดีตอาจจะเป็นฝันร้ายของชายหนุ่ม
เขาเคยรู้มาว่าเด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายหรือจิตใจมันจะกลายเป็นหลุมดำเป็นปมด้อยที่ตามหลอกหลอนเด็กคนนั้นแม้กระทั่งในฝัน พฤกษ์กลัวว่ามันอาจจะเป็นเช่นนั้นเขาจึงไม่เคยที่จะปริปากพูดถึงเรื่องนี้ในยามที่อีกฝ่ายตื่น เขาคิดว่าถ้าหากจะฝันร้ายก็ให้มันจบที่ฝัน อย่าตื่นขึ้นมารับรู้ถึงมันอีกเลยและเขาจะไม่พูดรื้อฟื้นหรือตอกย้ำให้อินทรชิตรู้สึกเจ็บปวดเพราะเขาอีก
ทุกครั้งมักจะจบแบบนั้น แต่ทว่าครั้งนี้มันเกินกว่าที่พฤกษ์จะรับมือไหว อินทรชิตเป็นชายร่างโตและมีกล้ามเนื้อแน่นจากการออกกำลังกายอย่างหนัก พอชายหนุ่มออกแรงกอดรัดแรง ๆ ก็ป่นกระดูกเขาให้หักได้ในพริบตา
พฤกษ์หอบหายใจจนหน้าแดงเถือกขณะที่พยายามปลุกให้อินทรชิตตื่นจากฝันร้าย
“อึ่ก เขี้ยว ..ตื่นสิ”
“ไม่เอา.. อย่าไป ผมขอโทษ”
คำพูดสามคำเท่านั้นที่อินทรชิตละเมอพูดขึ้นมาทุกครั้งที่ฝันร้าย เขาเคยสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังอ้อนวอนใครหรือกำลังขอโทษอะไรอยู่ แต่พอนึกถึงเรื่องสมัยเด็กที่เขามักจะแกล้งให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำน้ำใจ อินทรชิตก็มักจะพูดติดปากว่า ผมขอโทษ ผมขอโทษ เสียทุกครั้งขึ้นมาก็ทำให้พฤกษ์เลิกตั้งคำถามไปโดยปริยาย
“เขี้ยว! ไอ้เขี้ยว ตื่นเดี๋ยวนี้! ฉันหายใจไม่ออก!”
พฤกษ์รัวกำปั้นทุบไปที่อกหนาอย่างแรง กระนั้นก็ไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มหลุดพ้นจากฝันร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ได้ ท้ายที่สุดเขาจึงไม่มีทางเลือก พฤกษ์ตัดสินใจใช้กำปั้นเสยคางอีกฝ่ายจนเสียงดังกึ้ก!
“เฮือก!” เขาสะดุ้งโหยงก่อนจะร้องออกมาเพราะรู้สึกเจ็บแปลบที่ปลายลิ้น ดูเหมือนเขาจะกัดลิ้นตัวเองจนเลือดออกเสียแล้ว “โอ๊ย..”
“เขี้ยว.. ” เขาเห็นใครบางคนลุกขึ้นนั่งหอบ “ตื่นเสียทีนะ”
“คุณ.. คุณพฤกษ์” อินทรชิตร้องเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เขาไม่รู้แล้วว่าตนเองกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่หรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือความฝันหรือความจริง แต่คุณพฤกษ์ก็มาอยู่ตรงหน้าและเรียกชื่อแล้ว เขาน้ำตาตกอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นแล้วคว้าอีกคนมากอดไว้แนบอกแน่นราวกับกลัวว่าคุณเขาจะสลายหายไปไหนอีกเป็นครั้งที่สอง
“คุณพฤกษ์ ..คุณพฤกษ์”
“อืม” คุณพฤกษ์ครางรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใช้ฝ่ามือเรียวตบลงบนหลังอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลมใจที่บอบช้ำของเขา
“คุณพฤกษ์จริง ๆ ใช่ไหมครับ”
เขาถามย้ำและจูบลงบนขมับซ้ำ ๆ เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เห็นคือความจริง คุณพฤกษ์อยู่ที่นี่ อยู่กับเขาและจะไม่จากไปไหน
“ใช่ ฉันอยู่นี่”
ทันที่ที่ได้รับคำตอบ ใบหน้าหล่อคมคายก็เหยเกพร้อมกับหยาดน้ำตามากมายที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุด อินทรชิตผละจากอีกฝ่ายแล้วมานั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่กลางเตียงอย่างน่าเวทนา
ร่างโปร่งมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังสั่นเทาไปตามแรงสะอื้นก็พลันรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมากลางอก เขายืดตัวขึ้นและโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้จากด้านหน้า ใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะหวังจะเยียวยาชายหนุ่มให้สงบลงได้
“ผมฝันร้าย” อินทรชิตพูดเสียงอู้อี้ขณะที่แนบใบหูสัมผัสกับแผ่นอก เขาอยากจะแน่ใจว่าข้างในนั้นมันยังเต้นเป็นปกติอยู่ ...เขาเพียงต้องการรู้ว่าคุณพฤกษ์ยังไม่ตาย
“มันก็แค่ฝัน”
“มันไม่ใช่แค่ฝัน” แต่มันคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น เหตุการณ์วันนั้นที่เขายิงคุณพฤกษ์จนเสียชีวิตมันคอยหลอกหลอนเขาทุกครั้งที่หลับตา ความรู้สึกผิดและเสียใจรุนแรงทับถมจนกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตามากมายไม่รู้จบ แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจชะล้างภาพติดตาในวันที่คุณพฤกษ์นอนไร้ลมหายใจออกไปจากจิตใต้สำนึกได้
“ฮือ ผมกลัว ผมทรมาน.. ไม่เอาแล้ว”
“ไม่เป็นไรเขี้ยว ตั้งสติดี ๆ แกมองฉันสิ”
มันสลักลึกและหยั่งรากลงเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่แผ่ขยายไปทั่วทุกอนูความรู้สึกนึกคิด อินทรชิตไม่รู้เลยว่าเขาจะหยุดพ้นจากมันไปได้เมื่อไหร่ ต้องนานอีกแค่ไหนเขาถึงจะให้อภัยตัวเองได้
“ผมกลัว..” อินทรชิตพูดขึ้นก่อนจะกลับมานั่งคุดคู้กอดเข่าตัวเอง เขารู้หวาดกลัวจนวิตกจริตทุกครั้งที่นึกถึงภาพเหตุการณ์วันนั้น ถ้าจิตใจอ่อนแอกว่านี้เขาก็คิดว่าตนเองคงจะเสียสติได้ง่าย ๆ
“อย่ากลัวเลยนะ ถ้าฉันยังอยู่จะไม่มีอะไรทำร้ายแกได้”
คุณพฤกษ์ปลอบเขาราวกับปลอบเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง แต่แทนที่ชายหนุ่มจะรู้สึกสบายใจมันกลับทำให้เขาร้องไห้รุนแรงขึ้นเพียงเพราะได้ยินถ้อยคำที่ว่า ถ้าฉันยังอยู่
“คุณพฤกษ์จะอยู่กับผมใช่ไหม”
อินทรชิตช้อนสายตาขึ้นมอง คุณพฤกษ์ยิ้มบางก่อนจะกุมใบหน้าเขาเอาไว้ นิ้วโป้งข้างหนึ่งค่อย ๆ เกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มให้อย่างทะนุถนอม
เสียงนุ่มพูดว่า
“ฉันก็อยู่กับแกแล้วนี่ไง”