บทที่ 16
สองวันเต็มที่ผมนอนพักอยู่บ้านด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย อาการไข้ของผมหายไปตั้งแต่วันแรกที่พบอาหมอเพราะผมใช้เวลาทั้งหมดไปกับการนอนเป็นผักเป็นปลาอยู่บนเตียงจะลุกก็ต่อเมื่อต้องการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเท่านั้น ส่วนอาการเจ็บเสียดบริเวณช่องทางหลังค่อนข้างดีขึ้นตามลำดับ ไม่เจ็บมากเหมือนวันแรกและผมสามารถเดินได้คล่องแคล่วกว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ถึงจะหายดีมากแค่ไหนผมก็ยังถูกปรนนิบัติเกินกว่าเหตุอย่างเช่นตอนนี้ที่ผมถูกช้อนตัวขึ้นอุ้มด้วยฝีมือของขุนศึก มันไม่ได้รู้สึกดีสักนิดแต่มันกำลังทำให้ผมรู้สึกไม่ชอบใจเสียมากกว่า
“จะอุ้มทำไมนักหนา ไม่ได้พิการจนเดินเองไม่ได้ ปล่อยให้กูเดินเองสักทีเถอะ!”
ผมช้อนสายตาขึ้นมองร่างสูงที่วันนี้มาในชุดสูทสีกรมส่วนผมถูกเซตให้เข้ากับรูปหน้า หน้าตาคิ้วขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อผมเอ่ยปากอย่างไม่ค่อยชอบใจ สองเท้าที่กำลังเดินตรงไปยังรถกลับหยุดชะงักลงและในระหว่างนั้นสายตาผมดันเหลือบไปเห็นศิลป์ที่กำลังยืนเปิดประตูรอด้วยสีหน้าไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา ถึงแม้ศิลป์จะไม่เบนสายตามองมาผมก็รู้สึกประหม่าอยู่ดีเพราะวันที่ขุนศึกบอกผมว่าห้ามเดินตั้งแต่วันนั้นผมก็ถูกอุ้มตลอดในระยะสองวันที่หยุดพักไป
“ก็บอกแล้วว่าอยู่บ้านห้ามเดิน ทำไมมึงชอบดื้อไม่ฟังกูวะคับฟ้า!”
เสียงเข้มพูดขึ้นในระดับดังกว่าปรกติเมื่อเห็นว่าผมเริ่มจะไม่อยู่เฉยและกำลังดิ้นจนท่อนแขนแกร่งที่อุ้มผมไว้ชักจะเอาไม่อยู่ ตลอดระยะเวลาที่นอนพักอยู่บ้านผมแทบจะไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนเองเพราะขุนศึกดันหอบงานมาทำที่บ้านด้วยเหตุผลว่าจะเวิร์คฟอร์มโฮม ด้วยเหตุผลของสามีจอมลวงผมจึงเลือกที่จะนอนอยู่แต่ในห้องเพราะถ้าหากผมก้าวเท้าลงมาข้างล่างขุนศึกก็จะรีบปรี่ตัวเข้ามาอุ้มผมทันที
ผีตัวไหนเข้าสิงคนบ้าอำนาจให้มาคอยปรนนิบัติผมกัน…
“ไม่ได้ขอร้องให้ทำและอะไรที่กูไม่ได้ร้องขอมึงก็ไม่ควรทำ! อย่างตอนนี้!...มึงควรปล่อยให้กูเดินเองได้แล้ว!”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องลงมาผมอย่างไม่สบอารมณ์ สันกรามคมชัดได้รูปขบเข้าหากันบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เดือดดาลขึ้นมาเล็กน้อย หากแต่ผมเกรงกลัวเสียเมื่อไหร่เพราะสายตาไม่พอใจและไม่ยินยอมฉายแววจ้องมองกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ถ้าไม่ทะเลาะกันสักวันมันจะตายไหมวะคับฟ้า! กูจองตัวมึงมาเป็นเมียไม่รู้กี่สิบล้านไม่ใช่ให้มึงมาเป็นเครื่องปั่นทางอารมณ์ให้กับกู! พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยไม่ได้หรือไง!”
เสียงเข้มไต่ระดับขึ้นมาอีกขั้นเมื่อประโยคที่ผมตอบกลับไปเป็นการจี้จุดความโมโหของเจ้าตัวได้อย่างดี สายตาผมมองค้อนอย่างเอือมระอากับคนเจ้าอารมณ์ ใครกันที่ชอบการทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่องการที่ผมเอ่ยปากพูดไปแต่ละครั้งขุนศึกเคยฟังผมที่ไหน…ก็ไม่
“บอกว่าเดินเองได้แล้วจะคะยั้นคะยออุ้มทำไม ถ้าเสื้อสูทยับเดี๋ยวมึงก็หาเรื่องทะเลาะกับกูอีก”
หากขึ้นเสียงก็จะมีแต่พาให้อารมณ์ของเราพรั่งพรูหนักเข้าไปกันใหญ่ ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วหันมาเลือกใช้วิธีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเพราะผมไม่อยากจะมายืนทะเลาะต่อหน้าคนอื่นโดยใช่เหตุ ถึงแม้ว่าจะเป็นศิลป์ลูกน้องคนสนิทของขุนศึกก็ตามที
“ยับก็ให้มันยับไป! สูทตัวไม่กี่หมื่นซื้อใหม่ร้อยตัวยังได้ กูสนที่ไหน!”
ประโยคโต้กลับช่างเอาแต่ใจราวกับเด็กน้อยมันทำให้ผมที่อยู่ในท่อนแขนแกร่งถึงกับอ้าปากค้างในความคิดของคนตรงหน้า สองขายาวก่อนหน้านี้ที่หยุดลงกลับมาเคลื่อนไหวใหม่อีกครั้งแล้วพาร่างผมเดินตรงไปยังรถคันที่จอดรออยู่หน้าบ้าน
“ศิลป์แกได้วางเบาะรองนั่งหรือยัง”
“เรียบร้อยครับท่านประธาน ผมวางเบาะรองนั่งให้คุณคับฟ้าตามคำสั่งของท่านประธานเรียบร้อยครับ”
ก่อนที่ตัวผมจะถูกวางลงภายในตัวรถใบหน้าหล่อคมเข้มถูกเซตผมอย่างดูดีได้เอี้ยวหน้าหันไปถามศิลป์ที่ยืนโค้งตัวให้ เมื่อประโยคคำถามที่ขุนศึกเอ่ยออกไปดันทำให้ใบหน้าผมเกิดอาการร้อนผ่าวตั้งแต่เช้าของวัน เมื่อคำตอบของศิลป์เป็นไปดั่งที่เจ้าตัวพอใจอ้อมแขนแกร่งที่โอบอุ้มตัวผมไว้จึงโน้มตัววางร่างผมลงกับเบาะหลังคนขับอย่างเบามือ เบาเสียจนผมอดคิดไม่ได้ว่าขุนศึกกลัวผมเจ็บอย่างนั้นหรือ
เสียงหัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ…
อีกแล้ว ความรู้สึกบ้าบอนี้มันมาอีกแล้ว…
“คุณครับเข้าไปไม่ได้นะครับ! เข้าไปไม่ได้ครับคุณ!”
เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของคนสวนดังขึ้นแต่เช้าเพราะตอนนี้เป็นเวลาเพียงแปดโมงแต่ทำไมถึงเสียงดังจนวุ่นวายไม่เกรงใจบ้านหลังอื่น ตัวผมที่นั่งอยู่ในรถเบี่ยงตัวหันไปมองกระจกหลังเพื่อสอดส่องว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
“ฉันยืนรอหน้าบ้านมาหลายนาที! จะมาห้ามทำไมก็ฉันบอกอยู่ว่ารู้จักกับเจ้าของบ้าน! ฉันมาหาขุนศึกไม่ได้ยินที่บอกหรือไง!”
“ผมได้ยินครับ…แต่คุณเข้ามาในนี้ไม่ได้มันเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลนะครับ”
เมื่อสายตาผมหันมองก็ถึงกับหน้าตึงขึ้นทันทีเพราะหญิงสาวกำลังเดินเข้ามาอย่างไม่เกรงใจเจ้าของบ้านอย่างผมแม้แต่น้อย ร่างของขุนศึกที่ยืนนิ่งอยู่นอกตัวรถหันไปมองแขกไม่ได้รับเชิญที่กำลังย่างเท้าเข้ามาหาอย่างหน้าตั้ง จากอาการเคอะเขินเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นความไม่พอใจเพราะสิ่งที่ผมเคยบอกไว้กับร่างสูงในชุดสูทนี้ว่าห้ามผู้หญิงในคลังเดินเข้ามาภายในอาณาเขตบ้าน แต่ดูเหมือนขุนศึกกลับไม่สามารถคุมพฤติกรรมของบรรดาสาวเหล่านั้นได้เลย
“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามเข้ามาในบ้าน ดูเหมือนมึงจะผิดสัญญา”
ขาสองข้างผมเปลี่ยนเป็นนั่งไขว่ห้างเข้าหากัน ใบหน้ามองตรงโดยที่ริมฝีปากก็เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นประโยคด้วยน้ำเสียงนิ่งกว่าปรกติ สองมือผมสอดประสานเข้าหากันแล้ววางไว้บริเวณหัวเข่าเพื่อนั่งรอคำตอบของคนที่มีศักดิ์เป็นสามีว่าจะแก้สถานการณ์ตอนนี้อย่างไร
เหตุการณ์ช่างคล้ายกับครั้งนั้นเสียจริง…
“วุ่นวายอะไรกันนักหนาแต่เช้าวะ!”
เสียงส้นสูงในจังหวะที่เร่งรีบเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ขึ้นจนเสียงนั่นเดินมาหยุดอยู่ตรงข้างประตูรถ เสียงแรงปะทะตัวเข้าหาร่างสูงที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่ตรงที่เดิม สีหน้าแววตาของขุนศึกจะแสดงออกยังไงผมไม่อาจจะรู้ได้เพราะระดับตัวผมมันนั่งอยู่ต่ำเกินกว่าที่จะสามารถมองเห็น
“ฮึก! ขุนศึกแพรมคิดถึงคุณค่ะ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม! ฮือ คราวนี้แพรมจะไม่งี่เง่าจะทำตามที่ขุนศึกบอกทุกอย่าง เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะคะขุนศึก…นะคะ”
เสียงร่ำไห้สะอื้นปานจะขาดใจของดาราสาวสวยที่กำลังโด่งดังในขณะนี้ นางเอกดาวรุ่งในละครแต่ชีวิตจริงกลับเดินมาถวายตัวให้ชายอื่นได้อย่างง่ายได้ แต่ประเด็นมันอยู่ตรงผู้ชายที่เธอกำลังอ้อนวอนร้องขอนั้นกลับเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม ถึงแม้จะไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ก็ตามแต่ในสภาพความเป็นจริงผมคือเมียหมั้นหมายที่เห็นพ้องต้องกันระหว่างผู้ใหญ่ของสองครอบครัว
“ฉันบอกเธอไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีก! แล้วทำไมถึงมาเสนอหน้าให้ฉันเห็น!”
“ฮือ! ไม่นะคะขุนศึก ถ้าไม่มีคุณแพรมอยู่ไม่ได้! อย่าทิ้งแพรมไปเลยนะขอร้อง ฮึก!”
ดาราสาวกำลังกอดเอวร้องไห้เหมือนในฉากละครฉากหนึ่งที่หญิงสาวคนนี้เคยเล่น ตอนนั้นผมค่อนข้างทึ่งกับการแสดงในฉากร้องไห้กลางสายฝนถึงขนาดอินจนร้องตาม ฉากละครในเรื่องนั้นราวกับถูกยกออกมาฉายซ้ำเป็นครั้งที่สองเพียงแค่เปลี่ยนฉากตากฝนมาเป็นกลางบ้านของผมแทน
“อย่าทำให้ฉันอารมณ์เสียแต่เช้าได้ไหม! ไม่อยากมีงานทำ?…อยากตกงานว่างั้น?...ถ้าบอกว่าหยุดแล้วไม่หยุดก็เตรียมตัวหางานใหม่ที่ไม่ใช่ดาราไว้ซะ คนอย่างฉันไม่เคยพูดเล่น! แล้วไม่ต้องมากอดรำคาญ!”
มุมปากผมยกยิ้มขึ้นเมื่อประโยคที่ตอกกลับของขุนศึกสุดแสนจะโหดร้ายและเจ็บปวดเกินไป ถ้าเป็นใครก็คงจะสะอึกไปบ้างไม่มากก็น้อยเพราะผมที่นั่งฟังยังสะอึกแทน นี่หรือคือธาตุแท้ของขุนศึก ศิริเจริญสกุล หากได้ลิ้มลองจนพอใจไร้ความตื่นเต้นก็จะถูกเขี่ยทิ้งโดยวิธีการพูดจาทิ่มแทงใจแบบนี้เชียวหรือ
แล้วถ้าหากผมเป็นเหมือนผู้หญิงคนนี้ล่ะ….
ถ้าหากวันหนึ่งผมถูกเขี่ยทิ้งเพราะหมดความเร้าใจผมก็คงไม่ต่างอะไรกับผู้หญิงในวันนี้สินะ…
“ที่ขุนศึกทิ้งแพรมเพราะมีคนอื่นเหรอ ฮือ แพรมไม่ว่าเลยถ้าคุณจะมีคนอื่นตอนที่มีแพรม แต่อย่าทิ้งแพรมไปเลยนะ ฮือ อย่าทิ้งนะคะ อย่าทิ้งแพรมเลย ฮือ”
เสียงถอนหายใจดังเฮือกใหญ่เมื่อเหตุการณ์เริ่มดูจะไม่จบลงง่ายดายอย่างที่ผมคิด จากที่นั่งไขว่ห้างฟังมาได้สักพักถูกปรับเปลี่ยนท่านั่งโดยการยื่นขาสองข้างออกมาจากตัวรถและตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นใบหน้าสวยของดาราที่ชื่อแพรมกำลังร้องไห้กอดเอวขุนศึกเพื่อยื้อตัวของสามีผมไว้ให้อยู่กับตัวเองสุดชีวิต
ภาพตรงหน้ามันช่างน่าเวทนาเสียเหลือเกิน…
“นะ นี่เธอ ผู้ชายวันแรกที่ฉันเจอบนรถ…ละ แล้วทำไมมาอยู่กับขุนศึกที่บ้านหลังนี้ได้…”
ลำตัวของเธอถูกขุนศึกผลักออกอย่างไม่ไยดีจนร่างบางตรงหน้าแทบล้มลงไปกับพื้น สีหน้าของหญิงสาวที่ชื่อแพรมตกใจไม่น้อย ยิ่งเห็นผมนั่งอยู่ภายในรถของขุนศึกยิ่งทำให้ผู้หญิงคนนี้สับสนและไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า
“เลิกร้องไห้เถอะครับ เอาเวลาที่คุณร้องไห้ให้กับผู้ชายกลับไปทำตัวเองให้ดูดีขึ้นแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้มันดีกว่าที่คุณกำลังทำอยู่เถอะ… ถือซะว่าเป็นคำแนะนำจากผมก็แล้วกัน”
ผมช้อนสายตาขึ้นมองดวงตาเฉี่ยวคมตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ระบายยิ้มบางส่งให้ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมตั้งใจทำนั้นจะเท่ากับศูนย์ เมื่อฝ่ามือบางของเธอฟาดลงมาที่แก้มผมจนใบหน้าหันไปตามแรงตบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วเสียจนผมไม่ทันได้ตั้งตัวและก็ไม่คิดในหัวด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนี้จะเข้ามาทำร้ายร่างกายเจ้าของบ้านอย่างผมได้
โดนตบอย่างนี้ความสงสารที่ก่อขึ้นในใจเมื่อครู่หายวับไปกับตา...
“ทำอะไรของเธอ! ใครอยู่แถวนี้มาลากมันออกไปโยนทิ้งหน้าบ้านหน่อยสิวะ!”
เสียงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราดและความโกรธเคืองสุดขีดของขุนศึกดังระงมไปทั่วบริเวณเมื่ออดีตสาวที่เคยร่วมหลับนอนได้ฟาดฝ่ามือลงมาตบผมอย่างไม่คาดคิด ตัวของขุนศึกรีบย่อลงมาดูอาการแก้มผมที่ตอนนี้น่าจะแดงไม่มากก็น้อย ขุนศึกไม่สนใจเสียงร้องไห้ของผู้หญิงด้านหลังที่กำลังยืนมองเราทั้งน้ำตา
ไร้การถามใด ๆ มีเพียงฝ่ามือหยาบกร้านเอื้อมขึ้นมาทาบแก้มด้านที่เกิดรอยแดงเถือก นัยน์ตาโกรธจัดของเจ้าตัวเอาแต่มองรอยฝ่ามือทั้งห้าราวกับกำลังสะกดอารมณ์ไม่ให้ระเบิดพลั้งมือตบหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผมที่มองการกระทำของขุนศึกก็พาลทำให้คิดไปไกลว่าผู้ชายคนนี้กำลังห่วงผมอยู่ใช่หรือเปล่า
“ไม่ต้องมาจับ! ฉันยังคุยกับเจ้านายแกไม่เสร็จ! แล้วอย่าเอามือสกปรกนั่นมาแตะต้องตัว…รังเกียจ!”
เสียงแหลมนั่นแผดดังสนั่นขึ้นเมื่อคนสวนสองสามคนที่กำลังจะเดินเข้าไปจับตัวปัญหาออกจากบ้าน แต่ทว่าร่างบางกลับตะคอกด้วยคำพูดที่ดูถูกดูแคลนจนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่ามารยาทขั้นพื้นฐานทางบ้านของเธอได้สั่งสอนมาบ้างหรือเปล่า ผมเกลียดคนประเภทยกตนไว้ที่สูงแล้วกดให้คนอื่นต่ำทั้ง ๆ ที่การกระทำของเธอนั้นต่ำกว่าพนักงานคนสวนของผมเป็นไหน ๆ
“ทำไมถึงเสียมารยาทกับคนของผมขนาดนี้ครับ มารยาทพื้นฐานก็ควรจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองแต่ทำไมผมถึงไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นในพฤติกรรมของคุณเลย”
“ไม่ต้องมาสอนฉันหรอกแล้วไม่ใช่เรื่องที่เธอจะมานั่งฟังเรื่องระหว่างฉันกับขุนศึกด้วย เป็นแค่คนนอกก็ควรจะเดินออกจากบทสนทนา…ไม่ใช่หน้าด้านนั่งฟังอยู่แบบนี้!”
สายตาผมจับจ้องสาวร่างบางนิ่งและเมื่อได้ฟังประโยคนั้นถึงกำลังหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมละความสนใจจากอดีตคู่นอนของสามีจอมลวงและหลุบสายตามองต่ำกับการกระทำของขุนศึกที่ยังคงนั่งยองดูอาการแก้มผมโดยไม่สนใจเสียงของหญิงสาวด้านหลังแม้แต่น้อย มันจึงเริ่มเป็นสัญญาณบ่งบอกให้กับสาวตรงหน้าได้ประมวลผลด้วยตัวเองขึ้นมาบ้าง เมื่อความโง่เขลาเริ่มละลายออกจากสมองอันน้อยนิดแววตาที่จ้องกลับมานั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นความคับแค้นใจอยู่นัยน์ตาเชี่ยวคู่ตรงหน้าแทน
“ไม่มีใครสอนคุณหรือไงว่าการที่มายุ่งกับสามีของคนอื่นมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถึงความคันของคุณจะมีมากขนาดไหนคุณก็ไม่ควรมาอ่อยสามีของผมแบบนี้นะครับ”
สายตาแข็งกร้าวของผมฉายแววสู้กลับอย่างไม่อ่อนข้อ แต่คำพูดผมคงจะแทงใจดำไปมากจนร่างของดาราสาวถึงกับจะถลาเข้ามาตบผมอีกรอบ แต่คนงานในบ้านรวมทั้งศิลป์คอยขวางไว้ได้ทันทำให้หญิงสาวตรงหน้าทำได้เพียงกลั้นความโกรธแค้นไว้และแสดงสีหน้าที่แดงก่ำฉายออกมาให้เห็น
“ผมถือว่าคุณรับรู้เรื่องสถานะของผมแล้วนะครับ ถ้าเกิดรับรู้อย่างชัดเจนแต่ยังเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตคู่ของผมอีก มันก็คงจะมีแต่ผู้หญิงเลว ๆ เท่านั้นที่ทำกัน”
เมื่อพูดจบประโยคผมไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอย่างมีมารยาทส่งให้ก่อนจะเอี้ยวตัวหันกลับไปนั่งในรถเหมือนเดิมโดยมีขุนศึกปิดประตูให้ผมอย่างรู้งาน เสียงกรีดร้องแผดดังจนแทรกผ่านเข้ามาภายในตัวรถ ประตูอีกฝั่งถูกเปิดออกโดยมีร่างของขุนศึกเข้ามานั่งข้างกาย เมื่อตัวรถเคลื่อนออกไปผมเลือกที่จะหลับตาลงตัดการรับรู้ภายนอกทุกสิ่งอย่างเพราะยังไม่อยากฟังเสียงอะไรทั้งนั้น
ยิ่งเสียงของขุนศึกผมยิ่งไม่อยากได้ยิน…
.
.
.
.
.
ธาม P
“เมื่อวานกูสรุปพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มเป้าหมายที่ทีมเราดิสคัสกันมาเรียบร้อยแล้วนะ ส่วนที่เหลือมึงก็อธิบายให้คุณคับฟ้าเข้าใจต่อ ตามนี้นะไอ้ธาม…ได้ยินกูไหมเนี่ย! ไอ้ธาม!”
ตัวผมสะดุ้งกับเสียงเรียกของไอ้ดรันเพื่อนในทีม อาการเหม่อลอยจากภวังค์ถูกฉุดกลับขึ้นมาด้วยเสียงตะโกนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานผม สายตาไอ้ดรันกับไอ้ทัตที่มองมาด้วยความเป็นห่วงเพราะตั้งแต่ที่คับฟ้าหนุ่มหน้าหวานไม่มาทำงานผมก็อดที่จะเป็นกังวลใจไม่ได้
ผมห่วงในฐานะเพื่อนร่วมงานเพราะหากเป็นฐานะอื่นผมไม่มีสิทธิ์อยู่แล้ว…
“เฮ้อ เกิดเป็นมึงนี่ลำบากดีจังวะ เกิดมาทั้งทีดันไปชอบคนที่มีเจ้าของซะงั้น ตัดใจเถอะว่ะ…สถานะของคุณคับฟ้ากับท่านประธานมันไม่ใช่แค่คบกันในฐานะคนรัก ถ้ามึงยังดันทุรังแสดงออกไปมากกว่านี้นะไอ้ธาม…ตัวมึงเองจะตกที่นั่งลำบากโทษฐานไปยุ่งกับเมียของท่านประธานบริษัท”
“…”
“เขามีผัวแล้วไอ้สัส ชัดไหม!”
เสียงไอ้ทัตที่ยืนกอดอกมองผมด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งสองคนรับรู้ว่าผมคิดยังไงกับคับฟ้าพนักงานคนใหม่ของทีมเพราะตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอกับคับฟ้าเป็นวันเดียวกันที่ผมเล่าให้พวกมันสองคนฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์หน้าลิฟต์
เป็นครั้งแรกที่ผมเจอคนที่ทำให้หัวใจของตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะ…
แต่ข่าวร้ายกลับกลายเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เมื่อไอ้ทัตกับไอ้ดรันนั่นบอกกับผมว่าหนุ่มหวานที่ผมเจอเป็นภรรยาของท่านประธานที่เพิ่งจะหมั้นหมายกันไม่กี่เดือน
อกหักตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม…
คนที่ถูกใจแต่ดันผิดที่ผิดเวลาก็พาลทำให้เจ็บดีไม่น้อย…
“พวกกูยังอยากทำงานกับมึงอยู่นะไอ้ธาม จะทำห่าอะไรมึงคิดให้ดี อะไรที่มันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ถึงมึงจะอยากได้ แต่เขามีเจ้าของแล้วนะไอ้สัส ผัวเขาก็เป็นเจ้านายมึง…ศีลข้อสามน่ะมึงมีไหม! ถือว่ากูเตือนครั้งนี้ครั้งเดียวเพราะเห็นว่ามึงเป็นเพื่อนหรอกถึงพูดเตือนสติ”
สายตาเหม่อลอยเอาแต่จับจ้องไปยังนาฬิกาทรายที่กำลังไหลลงตามจังหวะเวลาของมันอย่างสม่ำเสมอ ประโยคที่ถูกพรั่งพรูออกมาจากปากเพื่อนตัวเองทำเอาผมถึงกับนั่งแน่นิ่งไปต่อไม่ถูก ในหัวก็อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าหากผมเจอคับฟ้าเร็วกว่านี้ผมคงจะมีโอกาสเดินเข้าไปจีบให้มันสมศักดิ์ศรีที่เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย แต่ฟ้าดันเล่นตลกให้ผมมาเจอคนที่ตัวเองตกหลุมพรางตั้งแต่ครั้งแรกให้มีสถานะเป็นถึงภรรยาของคนที่ผมไม่สามารถสู้ได้
ถึงจะให้เวลาทั้งชาติผมก็สู้คนอย่างท่านประธานไม่ได้…
ไม่ใจร้ายกับคนอย่างผมหน่อยหรือไง…
“คุณคับฟ้าหายดีแล้วแน่นะคะ เพลนเป็นห่วงจังเลย”
เสียงเพลนพนักงานของทีมที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้องพร้อมกับร่างบางราวกับผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากที่เป็นกระจับ จมูกโด่งปลายมนเป็นหยดน้ำมันยิ่งยากที่จะละสายตาไปจากใบหน้าสวยนั่นได้
“ผมหายดีแล้วไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ตอนนี้พร้อมทำงานมาก”
เสียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉีกกว้างจนเห็นไรฟันเรียงสวย ไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะหันไปมุมไหนผมบอกได้คำเดียวว่าสวย คับฟ้าเป็นผู้ชายคนแรกที่ผมเอ่ยปากว่าสวยได้เปลืองมาก
“สวัสดีครับทุกคน ขอโทษทีนะครับที่หายไปสองวันเต็มพอดีผมไม่สบายนิดหน่อย”
ร่างบางเอ่ยทักทายพวกผมสามคนด้วยรอยยิ้มละมุนที่ทำเอาผมตกหลุมพรางของความน่ารักได้โดยง่าย ในระหว่างที่คับฟ้าเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานสายตาผมก็ลอบมองหน้าของคนที่ผมชอบจนความดีใจมันพลุ่งพล่านในอกเต็มไปหมด มันดีใจจนลืมคำตักเตือนของไอ้ดรันกับไอ้ทัตไปเสียสนิท
“คับฟ้า…น้ำแตงโมปั่นผมซื้อมาให้ ถือซะว่าเป็นของขวัญต้อนรับการกลับมาทำงานนะ”
“อ้อ ขอบคุณนะ ที่จริงไม่ต้องลำบากซื้อมาก็ได้ผมเกรงใจ”
ความเกรงใจฉายแววมองกลับมายังผมอย่างที่คนตรงหน้ารู้สึกจริง ๆ ยิ่งนัยน์ตาคู่นั้นช้อนขึ้นมองด้วยรอยยิ้มหวาน มันยิ่งทำให้ผมตกอยู่ในวังวนของคนที่ชื่อคับฟ้าจนหาทางออกไม่เจอ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ใจผมอ่อนไหวกับชายหนุ่มหน้าหวานนี้ได้อย่างไร
“ไม่เป็นไรเลย ผมตั้งใจซื้อมาให้คับฟ้าอยู่แล้วเห็นบอกว่าไม่ชอบดื่มกาแฟผมเลยซื้อผลไม้ปั่นมาแทน”
แน่นอนว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคับฟ้าถูกผมเก็บใส่ไว้ในเมมโมรีความจำของตัวเองไว้หมด สีหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มส่งกลับมาแทนคำขอบคุณ ฝ่ามือเล็กกว่าผมหลายเท่าเอื้อมคว้าแก้วน้ำผลไม้ปั่นขึ้นดูด ปากเล็กเป็นกระจับอมชมพูยิ่งทำให้ผมถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่และเมื่อเจ้าตัวจะรู้สึกว่าผมมองจึงเอียงคอเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างสงสัยจนผมต้องหันหลังเดินกลับไปโต๊ะทำงานของตัวเอง
“พวกกูพูดเมื่อกี้ไม่ได้เข้าหูมึงเลยใช่ไหมไอ้ธาม!”
ไอ้ดรันกับไอ้ทัตที่ยืนอยู่ที่เดิมลอบมองดูพฤติกรรมของผมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเอือมระอาแถมยังก่นด่าผมในระดับเสียงคล้ายจะกระซิบเพราะไม่อยากให้มีพิรุธ ส่วนผมก็ทำหน้านิ่งตีเนียนเดินหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้อย่างหน้าตาเฉยโดยที่ไม่ได้ฟังคำบ่นของเพื่อนตัวเองเสียเท่าไหร่
ผมรับรู้ทุกอย่างที่เพื่อนกำลังบอก…
ผมรับรู้ทุกอย่างว่าตัวเองสามารถเข้าใกล้ได้แค่ไหน…
ผมรับรู้แม้กระทั่งผลที่จะตามมาหากเข้าใกล้ของต้องห้ามอย่างคับฟ้า…
ถึงจะรับรู้ทุกอย่างแต่ความรู้สึกและการกระทำของผมมันก็ไม่อาจหักห้ามใจได้ ถึงแม้สถานะที่ได้รับเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้น แต่มันก็ดีกว่าที่ผมไม่มีสถานะฐานะอะไรเลยไม่ใช่หรือ…ขอแค่ให้ผมได้อยู่มองคับฟ้าไปในทุกวันก็เพียงพอแล้ว ถ้าผมร้องขอเพียงเท่านี้คงจะไม่มากเกินไปใช่หรือเปล่า…