บทที่ 15
แสงแรกอรุณยามเช้าสาดส่องกระทบผ่านม่านหลุยส์สีครีมลงมาบนใบหน้าหวานเกินกว่าบุรุษที่ควรจะเป็น เปลือกตาสีนวลราวกับเปลือกมุกเบิกขึ้นบ่งบอกกับเจ้าตัวว่าเช้าของวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ความไม่ชินกับแสงอ่อน ๆ จึงทำให้สองคิ้วบางขมวดเข้าหากันเพื่อปรับม่านตาให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นจึงพลิกกายอันเปลือยเปล่าไปอีกฟากหนึ่งของเตียง
“อื้อ…”
เช้าแล้วเหรอ…
ความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากตื่นมาคือความเจ็บแปลบทางด้านหลัง หากให้ผมเดามันคงจะอักเสบค่อนข้างหนักเพราะผลพวงจากกิจกรรมรักเมื่อคืน สายตาผมจ้องมองไปยังแจกันต้นไม้ภายในห้องอย่างแน่นิ่งและประมวลภาพที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เมื่อคืน…
กิจกรรมรักที่ขุนศึกมอบให้หลังเสร็จกิจจากห้องนั่งเล่นผมก็ถูกพามาต่อบนห้องอีกไม่รู้กี่รอบ เมื่อคืนขุนศึกราวกับไม่ใช่คนที่ผมรู้จักเพราะเจ้าตัวต้องการกลืนกินร่างกายผมจนไม่รู้จักคำว่าพอ ร่างที่เหนื่อยล้าของตัวเองทำเอาผมเผลอเข้าสู่ห้วงนิทราไปโดยที่ขุนศึกคงยังดำเนินกิจกรรมรักอย่างไม่รู้จบ แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ได้ตลอดการร่วมหลับนอนครั้งนี้…ขุนศึกปลดปล่อยเข้ามาในตัวผมจนนับครั้งไม่ถ้วน…
“ไม่มีทาง ผู้ชายที่ไหนเขาจะท้อง”
ก่อนที่สมองจะใช้ความคิดไปมากกว่านี้สองมือจึงเลิกผ้านวมขึ้นมาถึงใต้คางแต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องก้มหน้าลงไปมองคือผ้านวมสีดำเข้มบนตัว…แน่นอนว่ามันไม่ใช่ของผม สายตาตัวเองจึงรีบตวัดขึ้นมองผนังห้องสีดำรวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างล้วนเป็นสีดำเกือบทั้งหมด ผมรู้ได้อย่างอัตโนมัติเลยว่ากำลังนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงของใคร
“แสดงว่านอนเตียงเดียวกันกับขุนศึกทั้งคืนเลยงั้นสิ”
หากเป็นอย่างที่ใจคิดนั่นหมายถึงเราสองคนได้นอนร่วมเตียงกันเป็นครั้งแรกหลังจากหมั้นหมายกันมาหลายเดือนในฐานะสามีภรรยา…แล้วมันเป็นเพราะสาเหตุใดที่ทำให้ผมยอมจำนนต่อสายตาคู่นั้น สายตาที่สามารถสั่งให้ผมยอมนั่งนิ่งเฉยและตอบรับอารมณ์ความต้องการของขุนศึกอย่างไม่มีข้อกังขา
ความรู้สึกนี้มันคืออะไร…
เปลือกตาทั้งสองข้างเลือกที่จะปิดลงอีกครั้งเพื่อสลัดความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนนี้ออกไปจากหัว ยิ่งคิดผมยิ่งไม่เข้าใจกับการกระทำระหว่างเราสองคน การอยู่ร่วมชายคาในบ้านหลังนี้แน่นอนว่าไม่มีวันไหนที่เราทั้งคู่จะไม่เปิดสงคราม… แล้วเมื่อคืนล่ะ…การกระทำของขุนศึกที่สื่อออกมาจนผมไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้นั้นมันหมายความว่าอย่างไร
ขุนศึกกำลังเล่นแง่อะไรกับผมอยู่…
ผมนอนมองเพดานด้วยสายตาที่ครุ่นคิดสักพักใหญ่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมตื่นจากภวังค์แล้วรีบกระชับผ้าแน่นเพราะตอนนี้ตัวผมที่อยู่ภายใต้ผ้านวมผืนใหญ่ไร้สิ่งปกปิด หากจะลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ก็คงจะไม่ทันกาล สายตาผมล่อกแล่กขึ้นมาทันทีเมื่อในหัวฉุกคิดขึ้นว่าหากเป็นเจ้าของห้องปรากฏตัวผมจะทำสีหน้าอย่างไร
“คุณคับฟ้าคะหวานเองค่ะ ขออนุญาตเข้าห้องนะคะ”
เมื่อเสียงหลังประตูพูดขึ้นความโล่งอกถึงกับถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ ผมโล่งอกที่ไม่ใช่เจ้าของห้องอย่างที่ใจคิดประตูห้องสีขาวที่ดูจงใจตัดกับสีห้องถูกง้างและเปิดออก สมาชิกคนใหม่เดินตรงมายังเตียงและสิ่งที่ทำให้คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปมคือชายวัยกลางคนค่อนไปทางหนุ่มใหญ่เดินตามหลังพี่หวานแม่บ้านคนสนิทของผมมานั้นคือใคร
“อรุณสวัสดิ์ยามเช้าค่ะ หวานยกโจ๊กร้อน ๆ กับน้ำสมุนไพรมาให้คุณคับฟ้านะคะแล้วนี่ก็คืออาหมอที่จะมาตรวจไข้ให้คุณคับฟ้าเช้านี้ค่ะ”
ถาดอาหารถูกวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงโดยมีสายตาผมจ้องมองทุกการกระทำของพี่หวาน ผมมองจนถาดถูกวางลงบนโต๊ะก่อนจะเลื่อนสายตามองชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงสะพายกระเป๋าแพทย์สนามเคลื่อนที่ส่งยิ้มมาให้อย่างใจดี ความสงสัยผุดขึ้นในหัวเมื่อหมอเข้าตรวจผมถึงบนห้องเพราะในเมื่อผมปรกติดีทุกอย่างไม่ได้มีไข้หรือไม่สบายแต่อย่างใดมีเพียงความเจ็บแปลบด้านหลังเพียงเท่านั้น แต่ทำไมสามีจอมปลอมอย่างขุนศึกถึงกับต้องเรียกหมอมาดูอาการผมด้วย…
“สวัสดีหนูชื่อคับฟ้าใช่ไหม เห็นแต่คนเขาพูดกัน…อามาเห็นตัวจริงสวยกว่าที่เขาพูดกันอีกนะ”
“อะ เอ่อ…”
ผมที่ยังงง ๆ กับอาหมอตรงหน้าเพราะไม่รู้ว่าเป็นใครทำไมถึงรู้จักผมได้และคำพูดประโยคแรกของอาหมอที่ยืนพูดอยู่ข้างเตียงทำเอาพี่หวานถึงกับหลุดขำให้กับประโยคที่มันไม่ใช่ความจริง…เพราะในเมื่อความเป็นจริงผมเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่อาหมอบอกกล่าว
“อะ เอ่อ ผมผู้ชายครับไม่ใช่ผู้หญิง”
“อะ อ้าวเหรอ…อาเห็นแวบแรกนึกว่าผู้หญิงซะอีก หน้าหวานแบบนี้ไม่คิดว่าจะเป็นผู้ชาย อาขอโทษ ๆ”
“ไม่เป็นอะไรครับ”
ผมยิ้มเจื่อน ๆ ส่งกลับไปเมื่ออาหมอทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย จากนั้นร่างกายเปลือยเปล่าที่นอนแน่นิ่งให้อาหมอตรวจไข้อย่างไม่ขัดขืนและเหมือนอาหมอก็จะรู้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มตรวจด้วยซ้ำว่าที่โดนเรียกมาเนื่องจากสาเหตุอะไรเพราะเมื่อผ้านวมถูกเลื่อนลงทำให้อาหมอเห็นหลักฐานชัดเจนกับตา ไม่ว่าจะเป็นบริเวณซอกคอรอยจ้ำแดงหลายจุดเป็นตัวบ่งชี้ว่าร่างกายที่อ่อนเพลียของผมมันผ่านมรสุมอย่างหนักหน่วงมามากแค่ไหน
“เดี๋ยวอาจะวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนนะ อ้าปากแล้วอมปรอทวัดไข้เอาไว้ใต้ลิ้นสักพัก”
ผมทำตามคำสั่งของอาหมอโดยที่มีพี่หวานคอยยืนดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด อาหมอทำหน้าที่ตรวจอย่างไม่ขาดตกบกพร่องและใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีร่างกายของผมก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระจากเครื่องไม้เครื่องมือของแพทย์ สองมือผมเลิกผ้านวมพื้นใหญ่ขึ้นอีกครั้งจนชิดใต้คางเพราะความรู้สึกอายมีอยู่ไม่น้อยที่ต้องมานอนเปลือยโชว์คนอื่นถึงแม้จะมีผ้าปกปิดไว้ก็ตามที
“ตัวเรามีอาการไข้นะคับฟ้า อาหมอแนะนำให้พักผ่อนสักสองสามวันนะครับ ส่วนบริเวณทางทวารเกิดจากการฉีกขาดอย่างรุนแรง อาหมอจะให้ยาไปกิน ส่วนยาทาให้เราทาเฉพาะบริเวณที่อักเสบ ทาเป็นประจำเช้าเย็นอีกสักประมาณไม่เกินหนึ่งอาทิตย์จะค่อย ๆ ดีขึ้น…แต่หลังจากนี้อาหมอขอแนะนำให้เราควรงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายดีนะบอกเจ้าขุนด้วยล่ะ”
ประโยคสุดท้ายทำเอาใบหน้าผมร้อนผ่าวเมื่อต้องนอนฟังคำแนะนำจากอาหมอ ส่วนพี่หวานก็ยิ้มกรุ้มกริ่มเอียงตัวอย่างเคอะเขินในสิ่งที่ได้ยิน ในระหว่างที่อาหมอกำลังจัดยาให้อยู่นั้นพี่หวานรีบเดินปรี่มายืนข้างเตียงและก้มลงใช้มืออังหน้าผากผมด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงจับใจ
“โธ่ คุณคับฟ้าของหวาน ไม่สบายในรอบหลายปีเลยนะคะ ครั่นเนื้อครั่นตัวหรือเปล่าคะหวานจะได้เตรียมผ้ามาเช็ดตัวให้”
“อยากนอนมากกว่า พี่หวานแค่ไปหยิบเสื้อคลุมให้ผมก็พอ”
พี่หวานพยักหน้าเป็นอันรับรู้ก่อนจะรีบเดินไปหยิบในสิ่งที่ผมต้องการและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาหมอจัดยาให้ผมเสร็จ พี่หวานวางเสื้อคลุมตัวใหญ่ของขุนศึกบนเตียงให้ก่อนที่จะพาอาหมอท่านนั้นเดินออกจากห้องไปโดยเหลือทิ้งไว้เพียงถาดโจ๊กที่เพิ่งจะทำเสร็จหมาด ๆ กับน้ำสมุนไพรตัวเดิมที่ผมต้องกินทุกวัน ถึงแม้ใจจะบอกว่ามันไร้สาระแต่ในความเป็นจริงผมก็เลือกกินเจ้ายานั่นแทนการเททิ้งอยู่ดี
.
.
.
.
.
ขุนศึก P
“ตามที่ผู้อำนวยการธนินได้เสนอมา ผมอนุมัติโครงการนี้จบการประชุม…”
สิ้นประโยคของตัวเองผมรีบลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องประชุมไปโดยที่มีผู้บริหารนับสิบรีบลุกขึ้นอย่างกุลีกุจอ ถึงแม้จะเป็นการประชุมในวาระเร่งด่วนจนทำให้ผมต้องรีบบึ่งจากบ้านมาที่บริษัทตั้งแต่เช้า หากทว่ามานั่งฟังใจความสำคัญของการประชุมผมถึงกับอารมณ์เสียไม่น้อยเพราะเรื่องแค่นี้ปล่อยให้ไอ้ธนินมันจัดการก็สิ้นเรื่องไม่จำเป็นต้องถึงมือผมให้มันยุ่งยาก
“ตอนเที่ยงท่านประธานมีนัดทานข้าวกับบอร์ดบริหารของบริษัทในเครือที่โรงแรมไพรส์ค่ะ จากนั้นจะเป็นการนัดพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดในเรื่องการลงทุน…”
“ยกเลิกให้หมด”
ในขณะที่สองเท้าของตัวเองเดินมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ด้วยสีหน้าหงุดหงิดเพราะอารมณ์ตอนนี้ไม่มีแม้แต่จะฟังตารางงานของตัวเองจากปากของเลขาคนสวยที่กำลังเดินไปพูดไปอยู่ด้านหลัง เมื่อตัวผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูลิฟต์ศิลป์ได้เดินขึ้นมาทำหน้าที่กดปุ่มให้อย่างรู้งานด้วยความว่องไว
“คะ?...”
“ฉันบอกให้เธอยกเลิกทั้งหมดแล้วเลื่อนนัดไปวันอื่น”
ผมกอดอกยืนรอลิฟต์เลื่อนขึ้นจากชั้นหนึ่งมายังชั้นสิบสองโดยที่ริมฝีปากยังเอ่ยกับเลขาของตัวเองเสียงเรียบ ในระหว่างที่ยืนรอแขนขวาของผมก็ยกนาฬิกาเรือนแพงขึ้นมาดูเป็นระยะ เพราะจิตใจผมตอนนี้มันดันอยู่บ้านแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“แต่ท่านประธานคะ…”
“ฉันบอกว่าให้ยกเลิกไปทั้งหมดฟังไม่เข้าใจหรือไงลลิน หรือไม่ก็เลื่อนนัดไปวันอื่นแต่ถ้ามันเลื่อนไม่ได้เธอก็เดินกลับไปหาผู้อำนวยการธนินแล้วบอกไปซะว่าให้ไปแทนฉัน เรื่องง่าย ๆ ขั้นพื้นฐานที่เลขาต้องรู้แต่ทำไมเธอต้องรอให้ฉันบอก!”
ผมเอี้ยวคอเพียงเสี้ยวหน้าให้กับเลขาตัวเองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดขั้นสุด ความหงุดหงิดที่มีตั้งแต่เช้ามันยิ่งทวีคูณขึ้นเมื่อผมต้องมาเจอกับเลขาที่บอกครั้งเดียวแต่ยังจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อ ราวกับพูดหูซ้ายทะลุไปหูขวาแล้วมันจะไม่ให้ผมโมโหได้อย่างไรกัน
“รับทราบค่ะท่านประธาน ลลินจะจัดการให้อย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลยค่ะ”
ผมยกแขนซ้ายแล้วสะบัดมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้เลขาตัวเองออกไปจากตรงนี้ก่อนที่อารมณ์หงุดหงิดของผมจะเริ่มปะทุขึ้นมาใหม่ ประจวบเหมาะในจังหวะเดียวกันกับประตูลิฟต์ถูกเปิดออก ร่างกายของผมจึงรีบย่างเท้าเข้ามายืนหน้านิ่งโดยมีลูกน้องเดินตามเข้ามาติด ๆ
“อาหมอว่ายังไงบ้าง”
สายตาผมคอยมองตัวเลขบนลิฟต์เลื่อนลงอย่างไม่วางตา บรรยากาศภายในอึมครึมจนผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถามศิลป์เรื่องของคับฟ้าด้วยความใคร่รู้ ส่วนเมื่อเช้าผมเป็นคนสั่งให้เจ้าศิลป์โทรเรียกอาหมอไปดูอาการของคับฟ้าเพราะตอนที่ตื่นขึ้นมาผมเช็กอาการเบื้องต้นของร่างบางที่นอนหลับตาพริ้มจึงสังเกตได้ว่าคับฟ้านั้นตัวรุม ๆ เหมือนจะมีไข้ ผมจึงบอกให้ศิลป์จัดการโทรหาอาหมอก่อนที่ตัวเองจะรีบบึ่งเข้าบริษัท
“คุณคับฟ้ามีอาการไข้เล็กน้อยครับ หมอให้ยาตามอาการอีกสักสองสามอาการไข้จะดีขึ้นครับ แต่…”
ผมยืนกอดอกฟังลูกน้องตัวเองรายงานอยู่เงียบ ๆ และอาการของคับฟ้าเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด แต่ก่อนที่ศิลป์จะรายงานต่อประตูลิฟต์ก็เปิดออกจึงทำให้ผมยกมือส่งสัญญาณเพื่อบอกให้หยุดพูดและเดินออกไปโดยมีพนักงานยืนทักทายผมตลอดทาง
“สวัสดีค่ะท่านประธาน/สวัสดีครับท่านประธาน”
ผมพยักหน้าตอบกลับเพื่อเป็นการทักทายก่อนจะเดินตรงออกไปจากตัวตึกโดยมีรถสีดำเคลื่อนตัวมาจอดเทียบอยู่ด้านหน้าเพื่อรอรับผม ประตูรถราคาหลายสิบล้านถูกเปิดออกผมพาร่างตัวเองขึ้นไปนั่งด้านในทันที ข้อมือขวาถูกยกขึ้นดูเวลาอีกครั้งเพราะความใจร้อนที่ผิดปรกติอย่างที่ไม่เคยเป็น ความต้องการผมตอนนี้อยากจะให้เจ้าศิลป์ขับรถไปจอดเทียบหน้าบ้านเลยเสียด้วยซ้ำ
“อาหมอบอกว่ายังไงอีก พูดให้ฉันฟังต่อ”
ผมปรับท่านั่งเป็นไขว่ห้าง มือซ้ายยกขึ้นคลายเนกไทเพื่อระบายความอึดอัดจากชุดสูทส่วนแขนขวายกขึ้นพาดไปวางบนขอบประตู ใบหน้าหันออกไปด้านนอกหน้าต่างพร้อมกับตั้งใจฟังอาการของคับฟ้าอีกครั้งจากลูกน้องคนสนิท
“หมอให้ยาตามอาการคุณคับฟ้าเรียบร้อยครับ แต่หมอแนะนำมาว่าให้คุณคับฟ้างดการมีเพศสัมพันธ์ไปสักระยะเพื่อให้แผลไม่ฉีกขาดไปมากกว่าเดิมครับท่านประธาน”
สายตาผมตวัดขึ้นมองเบาะคนขับทันทีเมื่อประโยคที่ลูกน้องอย่างเจ้าศิลป์พูดมันดูจะไม่เข้าหูผมเสียเท่าไหร่…ให้งดมีเพศสัมพันธ์สักพักอย่างนั้นหรือ คิ้วผมขมวดเข้าหากันในขณะที่มือก็ต่อสายหาอาหมอที่เมื่อเช้ารับหน้าที่เดินทางไปตรวจอาการให้กับภรรยาของผม ถือสายรอไม่นานนักปลายสายจากอาก็กดรับพร้อมกรอกเสียงใส่อย่างอารมณ์ดี
‘ไงเจ้าหลานรัก…โทรมาหาอาก่อนในรอบหลายเดือนเลยนะ ถ้าไม่มีธุระด่วนคงไม่โทรมาหาอาคนนี้ใช่ไหม’
อาชรันเป็นญาติห่าง ๆ ทางฝั่งของป๊าและมีศักดิ์เป็นแพทย์ประจำวงศ์ตระกูลตั้งแต่ผมยังไม่เกิดออกมาลืมตาดูโลก ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างอาหมอกับบ้านผมค่อนข้างที่จะสนิทกันมาก
‘ที่อาหมอบอกงดมีเพศสัมพันธ์หมายความว่ายังไงครับ ห้ามกี่วันแล้ววันไหนถึงมีได้’
ผมถามออกไปอย่างตรงประเด็นไม่อ้อมค้อมให้มากความด้วยน้ำเสียงค่อนข้างขุ่นเคืองในใจไม่น้อยและไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ปลายสายได้ให้คำแนะนำไว้ เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาจากฝั่งอาหมอเมื่อได้ยินใจความสำคัญที่ผมต่อสายตรงมาหา สีหน้าที่เคร่งเครียดไม่มีแม้แต่แววล้อเล่นเพราะหากผมโดนห้ามแตะเนื้อต้องตัวภรรยาตัวเองเป็นเดือน ๆ คนอย่างผมจะไม่ทรมานตายหรืออย่างไรกัน
‘โทรหาอาเพื่อถามแค่เรื่องนี้หรือไง ความคิดถึงอาคนนี้ไม่มีเลยใช่ไหมไอ้หลานคนนี้’
เสียงพูดตอบกลับด้วยอารมณ์ขบขัน แต่สำหรับผมตอนนี้ไม่เป็นอย่างที่อาหมอรู้สึกแม้แต่น้อยเพราะสีหน้าที่ดูจะเป็นกังวลใจของตัวเองฉายแววเครียดขึ้นยิ่งกว่าประชุมอนุมัติโครงการเงินหลายร้อยล้านเป็นไหน ๆ
งดมีเพศสัมพันธ์ช่างเป็นประโยคเดียวที่เหมือนฆ่าผมทางอ้อม…
ฆ่าผมให้ตายเสียจะดีกว่า...
‘อ้าว ๆ อาไม่แกล้งแล้ว…อาให้งดสักอาทิตย์เป็นอย่างต่ำแต่ถ้าทายากินยาตามที่บอกก็จะหายเร็ว’
เมื่อได้ยินคำแนะนำจากปากของอาหมอด้วยตัวเองก็ยิ่งหงุดหงิด เพียงแค่เห็นหน้าสวย ๆ ของภรรยาตัวผมก็แทบจะหักห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ผมยอมรับว่าเมื่อคืนร่างบางทำให้อารมณ์ความต้องการของผมกลับมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมห่างหายอารมณ์ร่วมเซ็กซ์กับใครสักคนอย่างเต็มร้อยมานานมาก นานเสียจนลืมว่าการร่วมหลับนอนกับใครสักคนด้วยความสุขมันเป็นอย่างไร แน่นอนว่าตัวของคับฟ้าเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ให้ผมได้ดีแต่ยังไม่ทันที่จะดื่มด่ำให้หนำใจเหตุการณ์แบบนี้ดันมาเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น
‘อาหมายความว่าควรงดใช่ไหมครับ’
ความคิดแวบแรกผุดขึ้นมาในหัว สายตาที่หมดหวังตอนแรกกลับมาฉายแววเป็นประกายขึ้นอีกครั้ง สีหน้าที่ดูจะเป็นกังวลใจเริ่มระบายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อสิ่งที่ตัวเองคิดมันช่างฉลาดและแหลมคมเสียจริง
‘ใช่แล้ว ควรงดสักระยะให้แผลมันสมานเข้าหากันก่อน’
‘โอเคครับถ้าว่าง ๆ เดี๋ยวผมจะพาป๊าเข้าไปหา’
บทสนทนาดำเนินต่อไปอีกครู่หนึ่งก่อนที่ปลายสายฝั่งอาหมอจะเป็นฝ่ายตัดทิ้งไปเสียเอง ผมกำเครื่องมือสื่อสารราคาแพงหมุนเล่นบนตักด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นอย่างภาคภูมิใจที่ตัวเองดันคิดได้ถึงขนาดนี้เพราะสิ่งที่อาหมอบอกนั้นมันเป็นเพียงข้อแนะนำเท่านั้น ไม่มีคำพูดไหนที่บอกออกมาว่าห้ามเสียหน่อยเพียงแค่ปรับมาคิดในอีกมุมอารมณ์ที่หงุดหงิดก่อนหน้าก็เริ่มจะละลายหายไปในชั่วพริบตา
“รีบขับหน่อยศิลป์ ฉันจะกลับไปทำกับข้าวให้เมียกิน”
“ครับท่านประธาน”
ฝ่ายสารถีลอบมองผู้เป็นนายผ่านกระจกหลังด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ตนที่เข้ามาทำงานอยู่เคียงข้างนายนานนับหลายปีไม่เคยเห็นทายาทของตระกูลศิริเจริญสกุลระบายยิ้มโดยไม่รู้ตัวเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้นายตนจะใจร้อนปากไม่ตรงกับใจก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ครั้งนี้ตนกลับมองว่านายหญิงที่เป็นเมียอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเริ่มจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของท่านประธานเคเอสกรุ๊ปหรือเฮียใหญ่แห่งตระกูลศิริเจริญสกุลเข้าเสียแล้ว
.
.
.
.
.
“โอ๊ย! ซี้ด!”
เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บเมื่อนิ้วมือทาบลงบริเวณช่องทางด้านหลังจนนับครั้งไม่ถ้วน ผมนั่งทำใจอยู่บนชักโครกในห้องน้ำครู่ใหญ่พร้อมกับท่อนล่างที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ใด ๆ สองขาแยกออกกว้างเพื่อหวังจะก้มหัวทายาได้ถนัดแต่ก้มลงป้ายยาครั้งแล้วครั้งเล่ามันก็ยังไม่สัมฤทธิผล เพราะความเจ็บมันทำให้ผมกลัวเสียจนไม่กล้าเอานิ้วแตะลงบนรูสวาทของตัวเอง
“อ๊ะ! เจ็บขนาดนี้ไม่ทาแล้วก็ได้วะเดี๋ยวก็หายเอง!”
ด้วยความโมโหให้ตัวเองจึงวางหลอดยาไว้บนอ่างล้างหน้าแล้วก้มลงจับขอบกางเกงวอร์มขึ้นมาสวมใส่ แต่ในจังหวะที่ผมกำลังถกกางเกงขึ้น บานประตูห้องน้ำก็ถูกง้างออกด้วยแรงมหาศาลจากบุคคลที่ไม่ได้รับเชิญและเมื่อเงยหน้าขึ้นมองหวังจะโวยวายก็ถึงกับทำตัวแข็งทื่อไปไหนต่อไม่ถูก
ขุนศึก…
“ขะ เข้ามาในห้องคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง!”
อาการลนลานแสดงออกมาอย่างชัดเจน โดยมีร่างสูงของขุนศึกยืนกอดอกมองการกระทำด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เมื่อผมใส่กางเกงเสร็จเรียบร้อยจึงลุกออกจากชักโครกแล้วหันไปจับขอบอ่างล้างหน้าเพื่อประคองให้ตัวเองเดินออกไปได้สะดวก การที่ผมจับขอบอ่างไว้อย่างนี้มันช่วยบรรเทาอาการเสียดสีบริเวณด้านหลังให้ทุเลาลงได้มาก
“จะไปไหน ทายาเสร็จแล้วหรือไง”
ในจังหวะที่ตัวเองกำลังเดินผ่านร่างของขุนศึกท่อนแขนแกร่งข้างซ้ายรีบยื่นออกมาขวางไม่ให้ผมเดินผ่าน แต่ไม่นานแขนที่ยื่นออกมากลับตวัดพันรอบเอวผมเสียดื้อ ๆ ผมตั้งใจจะเอี้ยวหน้าหันไปต่อว่าแต่จังหวะที่หันใบหน้าของขุนศึกได้ยื่นเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราจรดเข้าหากัน
หัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจังหวะที่ถี่ขึ้น…
สายตาคู่นั้นทำให้ผมหยุดนิ่งราวกับถูกสาป…
“หันหลังเดี๋ยวทายาให้”
รูปประโยคสุดแสนจะธรรมดาแต่สายตาคมเข้มราวกับเป็นอาวุธชั้นยอดที่สามารถสั่งการกระทำของผมได้ง่าย แต่ก่อนผมไม่เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น…ทำไมผมไม่สามารถมองนัยน์ตาของขุนศึกได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
แค่ผ่านกิจกรรมรักมาเมื่อคืนความรู้สึกผมเปลี่ยนไปไวขนาดนี้เชียว…
มึงเป็นอะไรของมึงคับฟ้า…
“ทาแล้ว ปล่อย…”
เสียงเบาหวิวตอบกลับไปแต่เหมือนเจ้าตัวจะรับรู้ได้ว่าผมกำลังโกหกคำโต ท่อนแขนที่ใช้โอบเอวผมจึงค่อย ๆ จับพลิกตัวหันหน้าไปทางกระจกบานใหญ่ ผมดิ้นขัดขืนทันทีแต่สายตาดุดันที่สะท้อนผ่านกระจกกลับมานั้นบอกผมกลาย ๆ ว่าให้นิ่งอย่าขัดขืน แน่นอนว่าความเจ็บที่มีทำให้ผมไม่สามารถต่อต้านได้จึงจำเป็นต้องจำยอมไปโดยปริยาย
สองแขนผมวางระนาบไปกับอ่างกระเบื้องลายหินอ่อนสีขาว สองมือกำหมัดแน่นเข้าหากันเมื่อกางเกงถูกถอดลงไปกองบนพื้น ฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านหลังจับยึดเข้าที่สะโพกแล้วบังคับให้ผมแอ่นก้นจนตัวผมโน้มไปข้างหน้าเพื่อที่จะให้เห็นบริเวณแผลฉีกขาดได้ชัดเจน
“หยิบยาให้หน่อย กูเอื้อมไม่ถึง”
หลอดยาที่ถูกวางอยู่ข้างแขนของตัวเองถูกมือซ้ายเอื้อมไปหยิบขึ้นมาและทำการยื่นส่งให้ขุนศึกด้านหลัง แต่จังหวะที่ยื่นนั้นปลายนิ้วดันสัมผัสกับฝ่ามือใหญ่และมันทำให้ร่างกายผมขนลุกซู่
“ก้มหน้าลง เขย่งตัวแล้วแอ่นก้นขึ้น”
ขุนศึกเมื่อรับหลอดยาไปจากผมเสร็จก็ยืนกอดอกมองเรือนร่างของผมด้วยความแววตาเป็นประกาย ผมที่มองผ่านกระจกเห็นทุกอิริยาบถว่าคนด้านหลังกำลังทำสีหน้าแบบไหนและตอนนี้ขุนศึกดูจะพึงพอใจไม่น้อยเมื่อตัวผมนั้นทำตามสิ่งที่เจ้าตัวบอกอย่างไม่ขัดขืน
ร่างสูงในเสื้อสูทสีน้ำเงินย่อตัวลงนั่งยองเพื่อหวังจะทายาให้ แต่ความรู้สึกของผมกลับเก้อเขินขึ้นมาเพราะช่องสวาทเพิ่งจะผ่านมรสุมอย่างหนักหน่วงจากฝีมือบุคคลที่อยู่ด้านหลังและมันทำให้ผมกระดากอายใจไม่น้อย
“อ๊ะ!...”
หากสิ่งที่คิดไว้กลับไม่ใช่อย่างที่หวังเพราะสัมผัสแรกที่ผมได้รับคือปลายลิ้นชุ่มแฉะกำลังลากวนด้วยจังหวะที่อ่อนโยน ใบหน้าขุนศึกเลื่อนเข้ามาฝังหน้าตรงทางสวาทของผมอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ยิ่งปลายลิ้นนุ่มที่ชุ่มไปด้วยน้ำลายกำลังลากลิ้นเลียช่องทางรักความรู้สึกเจ็บที่มียิ่งถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวมากขึ้น แต่ความเจ็บนั้นกลับมีความเสียวเข้ามาแทรกเป็นระยะ ๆ
“อ่าห์ ขะ ขุนศึกหยุดเดี๋ยวนี้! อื้อ!”
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุเพราะร่างสูงไม่แม้แต่จะฟังผมร้องห้ามสักนิด กลับยกสองเลื่อนเข้ามาจับเนื้อบั้นท้ายผมแหวกออกเพื่อให้รูด้านหลังกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ ปลายลิ้นนุ่มคอยเลียบริเวณนั้นและเริ่มสลับลากมาฝังเขี้ยวบริเวณแก้มก้นของผมทั้งสองข้างจนตัวผมถึงกับสะดุ้งโหยง
“อ๊ะ! ถะ ถ้าไม่ทาก็ปล่อย!”
“กำลังทาให้อยู่นี่ไง แต่ขั้นตอนของกูมันต้องฆ่าเชื้อก่อนค่อยลงยา”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อเจ้าตัวลิ้มลองช่องสวาทของผมจนพอใจ ยาที่ถูกปายลงบนนิ้วของขุนศึกสุดท้ายก็ถูกทาให้อย่างเบามือ ในขณะที่ผมนั้นตัวก็เกร็งด้วยความเจ็บตลอดจนต้องกัดริมฝีปากเพื่อบรรเทาความเจ็บที่เจอ
“เสร็จแล้ว”
ตัวผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อขุนศึกที่ทายาเสร็จก็ไม่วายเลื่อนริมฝีปากตัวเองมาประทับจูบบริเวณแก้มก้นด้านขวาผมอย่างหน้าตาเฉย ใบหน้าเกิดอาการร้อนผ่าวจนมันเป็นสีแดงระเรื่อและไม่กล้าที่จะเงยขึ้นสบตากับเจ้าของรอยจูบเมื่อครู่
เขิน….
การกระทำเมื่อครู่มันทำผมเขิน…
“เสร็จแล้วก็ลงไปกินข้าว”
กางเกงวอร์มถูกเลิกขึ้นสวมใส่โดยมีสายตาอันแหลมคมตรงหน้ามองอย่างไม่วางตา ผมหลุบตาต่ำมองพื้นด้วยอาการที่ไม่ค่อยจะกล้าสู้หน้าขุนศึกสักเท่าไหร่ ได้แต่พยักหน้าส่ง ๆ อย่างรับรู้แล้วเดินเบี่ยงไปอีกทางเพื่อที่จะให้ตัวเองหลุดพ้นสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ ร่างทั้งร่างถูกช้อนขึ้นด้วยท่อนแขนหนาทำให้ผมต้องรีบคว้าต้นคอขุนศึกมาโอบไว้เป็นหลักยึดเพราะกลัวว่าตัวเองจะตกลงพื้น
ผมช้อนสายตาขึ้นมองขุนศึกอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วยอาการประหม่า ขุนศึกที่กำลังอุ้มผมในท่าเจ้าสาวก็ไล่สำรวจใบหน้าผมอย่างตั้งใจ ส่วนผมก็ละสายตาจากริมฝีปากคู่ตรงหน้านี้ไม่ได้และไหนจะประโยคที่ถูกเอ่ยขึ้นตามหลังมันยิ่งทำให้ใจเต้นผิดแปลกจังหวะไปหลายขุม
“อยู่บ้านห้ามเดินเดี๋ยวอุ้มเอง กูไม่อยากลงแดงตายเพราะขาดเซ็กซ์กับเมีย”