#8
suffered
“รักจดทันสไลด์เมื่อกี้ไหมอะ เราขอดูหน่อยได้ไหม”
“จดทันๆ อะนี่”
“เราก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วย รักอธิบายให้เราฟังหน่อยสิ”
“ได้เลย คือมันเป็นอย่างนี้นะ...”
ผมหันไปช่วยอธิบายเนื้อหาเมื่อครู่ให้เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ ฟัง ตอนนี้อาจารย์ปล่อยพักเบรกสิบนาทีเลยมีเวลาให้พักเอาแรงอยู่บ้าง แก้วเองก็ลุกไปเข้าห้องน้ำเพราะบ่นปวดฉี่มาตั้งแต่ก่อนที่อาจารย์จะปล่อยพักแล้ว
“อ๋อเข้าใจแล้ว ขอบใจมากเลยนะรัก”
“แค่นี้เอง ฮะๆ”
“ไว้ครั้งหน้าเราซื้อขนมมาฝาก”
“โหยย ไม่เห็นต้องลำบากเลย”
“ไม่ลำบากเลยๆ เห็นรักเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วน่ารักจะตาย”
“แหะๆ งั้นเราขอบคุณรอล่วงเลยนะ”
ไม่มีเคี้ยวแล้วหล่อบ้างเหรอTT
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นรออย่างไม่มีอะไรทำ เงยหน้าขึ้นมองแก้วใจที่เดินกลับมาอีกครั้งตาวาวเนื่องจากในมือมันมีโกโก้เย็นมาสองแก้ว!...ไอ้ลูกเจี๊ยบมันคงจะไม่ได้ซื้อมากินเองคนเดียวสองแก้วหรอกเนอะ
“ว้าวว โกโก้แก้วนั้นช่างดูน่าอร่อยจังเลย~”
ไอ้แก้วหลุดหัวเราะขำ ส่ายหัวน้อยๆ ยื่นแก้วมาทาบแก้มผมให้หดคอหนีเล่น
“จริงๆ เลยไอ้แก้วอ้วน ซื้อมาให้มึงนั่นแหละ แต่สั่งหวานน้อยให้แล้วนะ กินหวานเยอะๆ เดี๋ยวแก้มมึงจะระเบิดเอา”
“ต้นรักคนนี้จะไม่โมโหหรอกนะเพราะว่าอารมณ์ดีได้กินโกโก้”
“มันเขี้ยว!”
ผมนั่งนิ่งยอมให้แก้วใจบีบแก้มแต่โดยดี ในปากคาบหลอดดูดโกโก้แสนอร่อยลงคออึกใหญ่...พอได้รับน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายแล้วก็รู้สึกสดชื่นสุดๆ ไปเลย ไม่นานเราก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนอีกครั้ง เนื่องจากคลาสบ่ายทำให้บางครั้งก็อาจจะทำให้ง่วงนอนกันไปบ้าง ผมเองถ้าไม่ตั้งสติจดจ่อกับสไลด์ตรงหน้าดีๆ ก็มีตาปรือบ้างเหมือนกัน
สุดท้ายคลาสเรียนยาวถึงสี่โมงเย็นก็สิ้นสุดลง แต่เราก็ยังไม่สามารถแยกย้ายกันกลับได้เพราะมีประชุมงานของคณะต่ออีก...พี่ๆ หลายชั้นปีเริ่มทยอยเข้ามาให้ห้องเรียนขนาดใหญ่นี้ งานที่จะจัดขึ้นเป็นงานกีฬาประจำปีของคณะสายสุขภาพ ซึ่งก็มีทั้งแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ สหเวชแล้วก็อีกหลายคณะเลย กีฬาที่ว่าก็มีแข่งอยู่หลายประเภทและจุดประสงค์ที่จัดขึ้นก็เพราะอยากให้เราสามัคคีกลมเกลียวกันมากขึ้นแล้วก็อยากให้เหล่านักศึกษาได้มีเวลาผ่อนคลายกันบ้าง
“วันก่อนพี่ได้ส่งฟอร์มให้กรอกแล้วเนอะว่าน้องๆ อยากอยู่ฝ่ายไหนกันบ้าง มีใครยังไม่กรอกไหมเอ่ย ถ้ายังสามารถออกมากรอกที่ใบรายชื่อนี้ได้เลยนะคะ”
ผมกับแก้วใจเราเลือกที่จะไปช่วยงานฝ่ายสวัสดิการ ที่มีหน้าที่คือคอยขนน้ำขนอาหารให้กับเหล่านักกีฬาและคนในสแตนด์ อารมณ์เดียวกับตอนจัดงานเฟรชชี่เกมเลย แต่อันนี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อเด็กปีหนึ่งแต่เพื่อทุกๆ ชั้นปีนั่นเอง
“พี่อยากจะได้เฮดแต่ละกลุ่มทุกๆ ชั้นปีเลย ช่วยคุยกันเพื่อหาตัวแทนให้พี่หน่อยนะคะเราถึงจะแจงหน้าที่กันได้”
เมื่อรุ่นพี่พูดแบบนั้นทุกคนก็เริ่มไปนั่งเป็นกลุ่มฝ่ายใครฝ่ายมันเพื่อหาหัวหน้างานตามที่พี่เขาบอก ฝ่ายสวัสดิการอย่างผมก็มีคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะฝ่ายอื่นต้องใช้จำนวนคนมากกว่า เมื่อร่วมกลุ่มกันได้เรียบร้อยพี่ๆ ชั้นพี่สองปีสามและปีสี่ก็มีตัวแทนที่เป็นหัวหน้าเลยเพราะคุยกันมาก่อนอยู่แล้ว ทำให้เหลือแค่ปีหนึ่งเท่านั้นที่ต้องตกลงกัน (อ้อ สำหรับคณะแพทย์เราส่วนมากเวลาทำกิจกรรมก็จะมีแค่ถึงชั้นปีสี่นี่แหละที่มาเข้าร่วม ปีห้ากับปีหกมักจะปล่อยให้น้องๆ ได้ทำกิจกรรมกันเองอย่างเต็มที่เพราะไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก)
“ตอนนี้ฝ่ายสวัสดิการปีหนึ่งของเรามีเจ็ดคน เราจะโหวตเลือกกันหรือว่ามีใครอยากอาสาเป็นตัวแทนไหม”
“เราได้หมดเลย”
“เหมือนกัน”
“แต่ว่าถ้าสุ่มแล้วเพื่อนที่ได้ไม่โอเค เราว่างานมันจะออกมาได้ไม่ดีรึเปล่า”
ผมกับแก้วใจนั่งฟังเพื่อนๆ ลงความเห็นอย่างตั้งใจ พี่ๆ ก็คอยรับฟังเราและรอชื่อหัวหน้างานอยู่เช่นกัน ผมมองเพื่อนๆ แล้วก็เห็นว่าสีหน้าบางคนไม่ได้อยากจะเป็นเฮดจริงๆ เพราะว่าเฮดจะต้องแบกความรับผิดชอบเยอะกว่าแล้วก็จะเหนื่อยกว่าเพื่อนหน่อย
“เดี๋ยวเราเป็นเฮดให้ก็ได้นะทุกคน เราไม่ติดปัญหาอะไร”
ผมยกมือขึ้นเล็กน้อยเอ่ยบอกเพื่อนๆ ออกไป ผมเองก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไรอยู่แล้วถ้าจะได้เหนื่อยกว่าเพื่อนหน่อย และยิ่งเห็นบรรยากาศที่เริ่มเครียดขึ้นมาด้วยก็ยิ่งยินดีรับหน้าที่นั้นเข้าไปใหญ่
“งั้นเราจะเป็นรองเฮดให้เองนะ” แก้วใจว่าขึ้นบ้าง ผมหันไปส่งยิ้มให้มันเล็กน้อย...เรานี่ช่างรู้ใจกันจริงๆ เลย!
“เราเห็นด้วยนะ ถ้าเป็นรักกับแก้วเราว่าทั้งสองคนต้องทำออกมาได้ดีแน่นอน”
“เราก็คิดเหมือนกัน”
“เพื่อนๆ คนอื่นโอเคไหม”
“โอเคๆ”
เมื่อเห็นว่าเราตกลงกันได้แล้วพี่ปีสองก็เอาใบรายชื่อมาให้ผมกับแก้วใจเซ็นชื่อลงไป
“ขอบคุณมากนะครับน้องรัก น้องแก้วด้วย”
“เป็นหน้าที่ของพวกผมอยู่แล้วครับพี่เทา” ผมเงยหน้าตอบพี่เทาที่พอจะสนิทสนมกันอยู่พอตัว
“โอเค ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาบอกพี่ได้ตลอดเลยนะครับ”
“ได้เลยครับ”
หลังจากนั้นพี่ๆ ก็แจงงานให้เราทันที รวมถึงให้เราเข้าร่วมกลุ่มไลน์ฝ่ายสวัสดิการและสร้างเฉพาะกลุ่มของปีหนึ่งไว้ด้วย กินเวลาไปพักใหญ่พอสมควรกว่าแต่ละฝ่ายจะประชุมงานกันเสร็จ ผมกับแก้วลุกขึ้นเตรียมกลับหอเมื่อพี่ๆ ปล่อยแล้ว
“แบบนี้เราก็ต้องไปแบ่งหน้าที่ให้เพื่อนด้วยใช่ปะ” แก้วว่าขึ้น
“อื้อ เดี๋ยวเย็นนี้กูกลับไปจัดเลยแล้วค่อยส่งให้เพื่อนในกลุ่ม”
“โอเค คอลมาหากูด้วยนะกูอยากช่วย”
“ได้เลย”
“ต้นรัก แก้วใจครับ”
ในตอนที่กำลังเดินออกมาพ้นห้องเรียนแล้วเสียงเรียกจากด้านหลังก็รั้งพวกเราเอาไว้ก่อน ผมหันไปมองก็เห็นว่าเป็นรุ่นพี่ปีสามกลุ่มหนึ่ง ผมจำพี่เขาได้แค่บางคนเท่านั้นแต่ก็ขานรับกลับไป
“มีอะไรเหรอครับ”
“พี่จะชวนเราสองคนไปกินข้าวด้วยกันน่ะ ไปไหมครับพวกพี่เลี้ยงเอง”
ผมหันไปมองแก้วใจเล็กน้อย เกิดอึกอักขึ้นเพราะสายตาคาดหวังจากพี่ๆ …แถมยังได้ยินเสียงรุ่นพี่อีกกลุ่มดังเข้ามาให้ได้ยินแว่วๆ อีกว่า
“ไอ้เหี้ยย น้องแก้วน้องรักความน่ารักของคณะเราจะโดนจาบจ้วงไม่ได้นะเว้ย!”
“รู้งี้กูรีบจีบก่อนดีกว่า”
ผมหันกลับไปมองแก้วใจครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทางกลุ่มรุ่นพี่อีกครั้ง กำลังจะเอ่ยปฏิเสธพวกเขาออกไปเพราะมีนัดกับแก้วมัน แต่ก็ไม่ทันเพื่อนสนิทตัวแสบที่เอ่ยขึ้นก่อน
“ขอโทษนะครับพี่ๆ เรากับรักมีนัดไปเดตกันแล้วน่ะครับ”
“ครับ?”
“ก็แบบว่าไป...” แก้วใจทำสีหน้าเขินๆ แล้วก็เอานิ้วชี้สองข้างแตะๆ กันไปมา นาทีนี้ผมกลั้นขำสุดตัวเพราะแก้วใจตัวแสบเริ่มแผลงฤทธิ์อีกแล้ว “รักกับเราว่าจะไปเติมความหวานกันหน่อย”
ผมแทบจะกลั้นขำไม่ไหวเมื่อเห็นสีหน้าช็อกๆ ของกลุ่มพี่ปีสามตรงหน้า พี่เขามองเราสลับไปมาก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“สะ..สองคนเหรอครับ”
“อื้อ ใช่ครับ...ถ้าอย่างนั้นเราไปก่อนนะ อยากรีบไปเดตแล้ว~”
ผมรีบหันหลังเดินออกมาทันทีตามแรงจูงของแก้วใจเพราะกลั้นขำไม่ไหวอีกต่อไป ระหว่างเดินออกมาก็ได้ยินเสียงอึ้งๆ ดังตามหลังมาอีกด้วย
“มึง...คนน่ารักเขาได้กันเองเหรอวะ กูทำใจไม่ถูกเลย...”
“จะ..จริงเหรอวะ”
ผมหัวเราะออกมายกไหล่จนตาหยีไปหมด แก้วใจเองก็ไม่ต่างกัน มันหัวเราะคิกคักใหญ่ด้วยความภูมิใจที่แผลงฤทธิ์สำเร็จ ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนตกใจขนาดนั้น เพราะทุกคนคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตลอดนี่นา
“คิดได้ไงเนี่ย”
“คิกๆ เรื่องแค่นี้ไม่คณามือแก้วใจหร้อก ปะเร็วไอ้รักไปเดตกันหิวแล้วเนี่ย”
“ฮะๆ ไปๆ กูหิวจนตาลายไปหมดเลย”
Khunmuen Part
“พวกมึงยังไม่กลับอีกรึไง?”
“ว่าจะค้างนี่เลยพี่ ยาวๆ”
“อ่าเค กูฝากดูแลที่นี่ด้วย”
ผมเอ่ยบอกลูกน้องในอู่ซ่อมรถหลังเดินออกมาจากห้องทำงาน พวกมันยังดูคึกคักตั้งหน้าทำงานกันไม่เหนื่อยอยู่เลย วันนี้ที่สนามผมไม่มีแข่ง ผมเลยได้แต่นั่งทำงานอยู่ในห้องจนฟ้าเริ่มมืดแล้ว
“จะกลับแล้วเหรอไอ้ขุน”
ไอ้เจมเดินเข้ามาถามผม มันไม่ใส่เสื้อ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะลูกน้องคนอื่นมันก็ถอดเหมือนกัน ผมพยักหน้ารับเบาๆ เดินไปตรวจเช็กดูรถคันใหม่ของตัวเองที่ยังแต่งไม่เสร็จดี
“เออ ตรวจงานหมดแล้วเลยกลับไปพักดีกว่า”
“กลับดีๆ ล่ะมึงอะ ไม่ใช่ไปเรียกตีนใครเข้าอีก”
“พูดเหมือนกูว่างมากไอ้สัด”
“แค่หน้าตามึงก็ชวนตีนกระตุกแล้ว”
“กระตุกใส่หน้ามึงเลยดีไหม”
“ไม่ดีมั้งเพื่อนขุน”
พวกผมหลุดหัวเราะเบาๆ ผมก้มลงดูแถวท้ายรถคันใหม่ของตัวเป็นจุดสุดท้ายถึงได้ยืดตัวขึ้นเตรียมตัวกลับ เอ่ยฝากอู่กับลูกน้องอีกเล็กน้อยแล้วหยิบหมวกกันน็อกใบใหญ่ออกมาด้านนอก ก้าวตรงไปยังรถบิ๊กไบค์คู่ใจที่จอดอยู่ แต่ในจังหวะที่ผมเดินเข้าใกล้ตัวรถแล้วคอเสื้อด้านหลังกลับโดนกระชากอย่างแรงก่อนจะมีแรงฟาดเข้ามาที่ข้างขมับจนผมมึนตึ้บไปชั่วครู่
ผมเงยหน้าขึ้นมองไม้หน้าสามที่ง้างขึ้นเตรียมฝาดลงมาซ้ำอีกครั้งจึงเหวี่ยงตัวหลบได้ทัน สะบัดหัวแรงๆ หนึ่งทีเรียกสติกลับมาก่อนที่อารมณ์คุกรุ่นจะลุกโชนขึ้นทันที
“พี่ขุน!…ไอ้สัดเอ๊ย มึงใครวะ!”
ดูเหมือนลูกน้องคนหนึ่งผมจะมาเห็นเข้าพอดีถึงได้ตะโกนลั่นออกมา เรียกคนอื่นๆ ตามออกมาด้วย ผมจ้องหน้าไอ้เวรนั่นนิ่งแต่สายตากำลังบอกว่าชีวิตมันจะไม่ตายดี
“ไม่ต้อง กูเคลียร์เอง”
ไอ้เวรนี่คือคนที่ผมด่ามันไปเมื่อคืนเพราะมันทำตัวเหี้ยใส่ต้นรัก ตอนนั้นมันก็ดูโมโหผมพอสมควรแต่โดนห้ามไว้ก่อน ดูท่าแล้วความแค้นมันคงไม่ได้หายไปง่ายๆ ถึงมาเรียกตีนผมถึงที่แบบนี้
สันดานเหี้ยแบบไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ
“แค้นกูมาก?”
ผมเอียงคอว่า เลิกคิ้วขึ้นอย่างใจเย็นในขณะที่เลือดไหลซึมลงมาที่ข้างแก้ม ส่งยิ้มเยาะไปให้มันอารมณ์ขึ้นยิ่งกว่าเดิมเล่นๆ
“เออ กูบอกเลยนะถ้าเมื่อวานเพื่อนกูไม่ห้ามมึงไม่ได้เชิดหน้าเหมือนวันนี้หรอกไอ้สัด”
ผมพยักหน้ารับเชื่องช้า…แต่แม่งก็กล้าเอาเรื่องดี ที่สำคัญยังปากเก่งฉิบหาย ไอ้เจมเพิ่งจะเตือนผมมาไม่ทันขาดคำเลยว่าอย่าไปเรียกตีนใคร ครั้งนี้เป็นไงมาถึงที่เลยไหมล่ะ
“ก็เลยลอบกัดแม่งเลย?”
“ก็สะใจดีว่ะ...แม่ง ทำมาเป็นสอนกูซะดิบดี ความจริงก็หวังเคลมต้นรักไม่ต่างจากกูหรอก”
“ระวังปากหน่อยก็ดีไอ้สัด” ผมเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเนื่องจากอารมณ์คุกรุ่นที่อัดแน่นอยู่ภายใน “เพราะเดี๋ยวมึงจะพูดไม่ได้อีก”
ผมเหวี่ยงตัวหลบท่อนไม้แล้วตวัดขาเตะมือมันจนไม้กระเด็นหลุดไปไกล คว้าคอเสื้อมันทุ่มลงกับพื้นสุดแรงทำให้หัวมันกระแทกพื้นคอนกรีตได้จนเลือด ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวปะทุขึ้นมาจนผมไม่สนใจจะดึงเวลาอะไรอีก อยากตายนักก็จะทำให้สมใจอยาก ปากเก่งได้ก็ปากเก่งไป ถ้าใกล้ตายแล้วอย่ามาร้องขอชีวิตแล้วกัน
อั๊ก!
ผมเตะปากมันเต็มแรงทำให้ฟันสองซี่กระเด็นออกมา มันร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดก่อนคิดจะดึงขาผมให้ล้มลง ผมสะบัดขาออกอย่างแรงแล้วเหยียบมือมันกับพื้นไม่ยั้ง ย่อตัวลงกุมคอมันจับกระแทกกับพื้น แล้วจ้องมองมันอย่างเหี้ยมเกรียม
“มีดีแค่นี้?”
“อึก”
ผมเพิ่มแรงบีบขึ้นเพื่อให้ได้เห็นสีหน้าทรมานของมัน เอ่ยสั่งให้ไอ้เจมไปหยิบไม้มันที่กระเด็นไปไกลมาให้ ผมรับมันมาขณะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง หยดเลือดจากแผลคิ้วแตกไหลผ่านคางลงบนตัวมัน ผมง้างไม้ขึ้นสูงเหวี่ยงเข้าที่ซีกแก้มมันตรงจุดเดียวกับที่มันตีผม…ยิ้มหยันอย่างพอใจก่อนจะกระแทกด้ามไม้เข้าไปในปากมัน
“เมื่อกี้มึงปากหมากับใครนะ”
“โอ๊ย”
ผมดันไม้หนาสามเข้าไปลึกกว่าเดิม ภาพตรงหน้าค่อนข้างเป็นที่พอใจเพราะอาการมันเรียกได้ว่าปางตาย ผมจ้องมันด้วยแววตาแข็งกร้าวก่อนเอ่ยเสียงนิ่งเย็น
“ถอนคำพูดด้วยไอ้สัด”
“ขอโทษ กูขอโทษ”
“มึงขอโทษใคร”
“อ๊ะ อึก…ขอโทษมึง”
“ไม่ใช่”
ผมยกเท้าขึ้นเหยียบอกมันทำให้มันหลุดสีหน้าเจ็บปวด สำลักโขลกใหญ่พยายามส่งเสียงออกมาอย่างทรมาน
“แค่ก ขอโทษต้นรัก กูขอโทษ”
ผมพยักหน้ารับเชื่องช้าอย่างพอใจ ยกยิ้มหยันน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้าให้ลูกน้องตัวเองที่คงข่มกลั้นอารมณ์อยากกระทืบไอ้เวรนี่ไม่ไหวแล้วให้เข้ามา
“ดี”
“อั่ก แฮ่ก”
“ทีนี้มึงก็ตายได้แล้ว”
ผมบังคับบิ๊กไบค์คู่ใจไปตามท้องถนนที่เริ่มโล่งขึ้นบ้างแล้วเนื่องจากเลยช่วงเวลารถติดมาได้สักพัก นึกหงุดหงิดจากลมที่พัดเข้ามาจนแสบตา ยิ่งขับเร็วก็ยิ่งรำคาญมากขึ้นเท่านั้น เพราะว่าคิ้วที่แตกอยู่และถูกเช็ดเลือดออกไปลวกๆ เท่านั้นทำให้ผมสวมหมวกกันน็อกไม่ได้ ตอนนี้เลยใส่หมวกแก๊ปสีดำแทนไปก่อน
ในตอนที่ขับผ่านย่านของกินที่มากินประจำอยู่ก็นึกอยากกินน้ำเต้าหู้ร้านนั้นขึ้นมา ผมจึงวนรถกลับไปใหม่...อย่างที่บอกว่ารสชาติของลุงเจ้านี้อร่อยดีผมเลยกลับมาซื้อซ้ำ และทุกๆ ครั้งที่มาซื้อจะมีภาพใบหน้าภาคภูมิใจเพราะความอร่อยของน้ำเต้าหู้เด่นชัดขึ้นมาหัว...ภูมิใจมากถ้าเป็นของกิน
“ผมเอาน้ำเต้าหู้สองถุง ใส่เครื่องด้วย”
“โอเคเลยลูก”
ผมยืนนิ่งสอดมือเข้ากระเป๋ากางเกงยีนเงียบๆ ยิ่งช่วงหัวคำแบบนี้นักศึกษายิ่งเยอะมากขึ้นไปอีก แต่ดีที่ร้านนี้ไม่มีคนพอดี
“งั้นแยกกันตรงนี้ละกัน กูจะซื้อน้ำเต้าหู้คุณลุงก่อนแล้วค่อยกลับน่ะ”
“โอเคเลย งั้นกูไปนะ กลับดีๆ ล่ะไอ้แก้มอ้วน”
ผมหันไปทางเสียงนั่นเพียงนิดก็เห็นต้นรักกำลังโบกมือลาเพื่อนตัวเองด้วยรอยยิ้ม...เออ แก้มอ้วนจริงด้วย เพื่อนมันนี่ก็เข้าใจเรียก
ผมจับปีกหมวกลงมาอีกหน่อยเพื่อไม่ให้มองเห็นบาดแผลที่คิ้วได้ง่ายๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าถ้าอีกคนเห็นแผลของผมคงรู้ได้ทันทีว่าผมไปมีเรื่องกับใครมา
“พะ..พี่ขุนเหรอครับ”
ตากลมคู่ตรงหน้าดูตกใจเล็กน้อยแถมมันยังฉายความรู้สึกกล้ากลัวๆ เอาไว้เหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้เจอกัน ผมพยักหน้ารับเบาๆ ไม่ได้ตอบกลับอะไร จากที่มองดูเมื่อกี้ดูเหมือนแผลที่ปากมันจะดูดีขึ้นแล้วนิดหน่อย คนตัวเล็กกว่าลูบหน้าท้องตัวเองไปมาเหมือนกับตอนที่กินผัดไทยมาอิ่มๆ คราวนั้น
รู้เลยนะว่าเพิ่งไปกินข้าวมา...
“พี่ขุนมากินข้าวแถวนี้เหรอครับ” ถ้ารักไม่กลัวผม ป่านนี้ผมว่ามันคงชวนผมคุยแบบไหลลื่นสิบประโยคได้แล้วมั้ง...ขนาดกลัวผมอยู่ยังช่างจ้อขนาดนี้เลย
“ไม่ กูแค่แวะมาซื้อน้ำเต้าหู้”
“อ๋อแบบนี้เองครับ”
“มึงคงเพิ่งกินมา”
“ทำไมพี่ขุนถึงรู้ได้ล่ะครับ” ตาโตๆ คู่นั้นดูเหมือนจะโตได้อีกจนผมส่ายหน้าเบาๆ กับความต้นรัก
“เก่ง”
“…อ่า เก่งจริงด้วยครับแหะๆ”
“จะเอาอะไร สั่งกับลุงเขาไป”
“พี่ขุนจะจ่ายให้รักอีกแล้วเหรอครับ”
ต้นรักเงยหน้าขึ้นมองผม กะพริบตาปริบๆ อย่างเกรงใจกัน
“แล้วทำไม”
“ปะ..เปล่าครับ รักไม่กล้ามีปัญหากับพี่ขุนหรอกครับ”
ใบหน้าเล็กส่ายๆ ไปมาจนแก้มสั่นไปหมด ผมหลุดหัวเราะในลำคอแผ่วเบา...นอกจากแก้มอ้วนแล้วยังอ๊องอีก หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หันไปทักทายคนขายน้ำเต้าหู้เสียงใส รอยยิ้มสว่างไสวส่งไปให้เหมือนอย่างทุกครั้ง
…ท่าทางเป็นมิตรกับคนทั้งโลกนี่ก็คงทำให้ใครอยากเข้าหาเจ้าตัวไม่น้อย
“รักเอาเต้าหู้นมสดกับปาท่องโก๋ครับคุณลุง”
“ครับลูก รอแป๊บหนึ่งนะ”
“แล้วพี่...พี่ขุนครับ”
ถุงที่ผมสั่งไปก่อนหน้าทำเสร็จแล้วถูกแขวนไว้ตรงเสาเหล็กเพื่อรอของต้นรักที่กำลังทำอยู่…ร่างเล็กหันมาชวนผมคุยอีกครั้ง เพียงแต่ประโยคยังไม่ทันจบอีกคนก็มองผมตาเบิกกว้างอย่างตกใจ สายตาจ้องมองมาแถวขมับจนผมต้องกดปีกหมวกลงมากกว่าเดิมทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่ขุนมีแผล”
“อืม”
“เลือดยังไม่แห้งดีเลย แผลเพิ่งเกิดไม่นานใช่ไหมครับ”
“ช่างมัน”
“พี่ขุน ขอรักดูหน่อยครับ ถ้าแผลลึกมากพี่ขุนจะปล่อยไว้ไม่ได้นะครับ ต้องไปให้หมอเย็บที่โรงพยาบาล” น้ำเสียงเป็นกังวลรวมถึงสีหน้าไม่สู้ดีของต้นรักทำให้ผมต้องพรูลมหายใจออกมา…สุดท้ายผมก็ยื่นเงินไปจ่ายค่าน้ำเต้าหู้ หยิบถุงทั้งหมดออกมาก่อนจะก้มลงไปสบแววตาเป็นกังวลอีกครั้ง แล้วจับข้อมือเล็กออกมาจากจุดคนพลุกพล่านตรงนั้น
“ยุ่งยากจริงมึงเนี่ย”
ผมเดินออกมาเรื่อยๆ เพื่อหาจุดที่ปลอดคนมากที่สุด ใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าจะมาหยุดตรงเก้าอี้ไม้ตัวยาวริมฟุตบาทที่เงียบสงบแทบไม่มีคนเดินผ่านไปมาจริงๆ และพอหันกลับไปมองคนด้านหลังอีกครั้งทั้งร่างก็เกิดชะงักงันไปซะดื้อๆ กับภาพตรงหน้า
…ริมฝีปากบางสั่นระริกจนเจ้าตัวต้องใช้ฟันเรียงสวยขบกัดเอาไว้ ดวงตากลมโตแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้ ความรู้สึกผิดปะปนกันไปหมดกับเสียใจอยู่ในแววตาคู่นั้น
ต้นรักเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะบอกเอ่ยเสียงสั่น
“รักขอโทษนะครับพี่ขุน...พี่บาสใช่ไหมครับ เพราะรักพี่ขุนถึงเป็นแบบนี้ รักไม่ได้ตั้งใจ ถ้ารักกล้าจะปฏิเสธไปแต่แรกเรื่องก็คงจะไม่เป็นแบบนี้”
“มึงแน่ใจได้ไงว่าเป็นไอ้เหี้ยเมื่อคืน”
“พี่บาสไม่ยอมจบง่ายๆ หรอกครับ…รักเคยเห็นเขาทะเลาะกับคนในคณะมาก่อน”
เกิดความเงียบขึ้นรอบตัวเราอยู่ครู่ใหญ่ผมถึงถอนหายใจยาวออกมา ถอดหมวกออกวางไว้กับเก้าอี้ตัวยาวแล้วหันไปมองร่างเล็กอีกครั้ง
“ทำไมการที่มันโกรธแล้วมาเอาคืนกูมึงถึงต้องผิด? คนมันจะเหี้ยมึงไปเกี่ยวอะไรด้วย”
จู่ๆ ประโยคที่ไอ้เวรนั้นพาดพิงถึงต้นรักก็ดังก้องขึ้นมาในหัวทำให้ผมยิ่งหงุดหงิดมากเข้าไปใหญ่
“อย่าโทษตัวเองต้นรัก มึงไม่ได้ผิด”
“…”
“...ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรด้วย ทำแค่ที่กูบอกก็พอว่าอย่าให้ใครมาเอาเปรียบมึงอีก”
“…แล้วถ้าเขากลับมาทำร้ายพี่ขุนอีกล่ะครับ แค่แผลนี้ก็หนักพอแล้ว รักไม่อยากให้พี่ขุนเจ็บตัวแบบนี้อีก” ตากลมโตสั่นไหวอย่างรุนแรง มันต่างจากภาพทุกครั้งที่ผมเคยมองเห็น ปกติดวงตาคู่ตรงหน้ามันมักเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา มองอะไรก็ดูมีความสุขไปหมด…แตกต่างสิ้นเชิงกับในวินาทีนี้
“แผลแค่นี้กูไม่สะเทือนหรอก แล้วอีกอย่างมึงก็รู้เอาไว้ด้วยว่าแผลของกูแค่นี้ แต่ไอ้เหี้ยนั่นมันปางตาย…มันไม่มีหน้ากลับมาซ้ำกูได้หรอก”
“พี่ขุน...”
“เลิกทำหน้าเหมือนโลกจะแตกได้แล้วรัก กลับไปทำหน้ามีความสุขจนล้นโลกของมึงได้แล้ว”
ต้นรักมองผมอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้ารับหงึกหงัก ตากลมกะพริบถี่เพื่อเก็บกลืนหยดน้ำตาที่ขึ้นมาเอ่อคลอ ร่างเล็กก้มหน้าลงราวกับกำลังปรับความรู้สึกตัวเองครั้งใหญ่ ผมยืนเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ผ่านไปสักพักใหญ่เลยต้นรักร่างขี้แยถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองกันอีกครั้ง
“รักขอบคุณมากนะครับพี่ขุน ขอบคุณที่ช่วยรัก แล้วก็ขอบคุณที่สอนอะไรรักหลายๆ อย่างเลย...รักขอโทษจริงๆ นะครับที่มีส่วนทำให้พี่ขุนได้แผลแบบนี้”
“อืม...แต่มึงก็อย่าลืมว่ามึงเองก็เคยช่วยชีวิตกูไว้ ถ้าไม่ได้มึงตอนนั้นกูอาจไม่มีหน้ามายืนสอนมึงอย่างตอนนี้ก็ได้”
ใบหน้าเล็กถึงกับนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนเจ้าตัวจะหลุดหัวเราะออกมาแผ่วเบา ต้นรักพยักหน้ารับพร้อมส่งรอยยิ้มจริงใจมาให้ผม
“รักเข้าใจแล้วครับ...แต่ว่าพี่ขุนรอรักอยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่งนะครับเดี๋ยวรักมา”
“ทำไม?”
“รักจะไปซื้อยามาทำแผลให้พี่ไงครับ”
ไม่ทันได้เอ่ยห้ามร่างเล็กๆ นั่นก็วิ่งออกไปอีกทางแล้ว ผมยกมือขึ้นขยี้หัวเบาๆ แล้วทรุดตัวนั่ง เท้าศอกกับต้นขารออยู่บนม้านั่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาก็เห็นว่าตอนนี้ทุ่มครึ่งได้แล้ว...กะจะแวะซื้อน้ำเต้าหู้แค่แป๊บเดียวแท้ๆ ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนมองไปทางถุงน้ำเต้าหู้ข้างกาย ความคิดฟุ้งซ่านหลายๆ อย่างเริ่มวิ่งเข้ามาในหัวจนผมเผลอขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก
สักพักผมก็ได้ยินเสียงส้นเท้าเดินใกล้เข้ามาอีกครั้ง ต้นรักหอบหน่อยๆ ก่อนจะก้าวเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างผม ในมือมีถุงยาสีขาวติดมาด้วยตามที่บอกว่าจะไปซื้อมา
“รักมาแล้วครับ...ขอดูแผลหน่อยได้ไหมครับพี่ขุน”
ตากลมใสที่ตอนแรกมีแต่ความรู้สึกผิดตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นความกังวลแทนที่ ใบหน้าเล็กชะเง้อขึ้นมาดูแผลตรงหัวคิ้วทำให้ผมเปลี่ยนเป็นนั่งคร่อมเก้าอี้ตัวยาวหันหน้าไปทางต้นรักแทน
“มึงไปซื้อยามาขนาดนี้แล้วคงไม่ได้มั้ง”
“อ่า แหะๆ นั่นสิเนอะครับ...รักขอโทษนะครับพี่ขุน ถ้ารักทำเจ็บไปก็บอกได้เลย”
ปลายนิ้วอุ่นสัมผัสลงที่ข้างขมับผมเพื่อสำรวจบาดแผลอย่างตั้งใจ ผมนั่งนิ่งเงียบปล่อยให้อีกคนได้ทำแผลไป คิ้วเรียวตรงหน้าเริ่มขมวดเป็นปมเข้าหากันเมื่อเห็นว่าแผลผมลึกพอสมควร
“ทำเถอะ กูไม่เจ็บ”
“แต่แผลค่อนข้างลึกเลยนะครับพี่ขุน เป็นรักคงร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วแน่ๆ”
“อืม กูเชื่อ แค่เมื่อกี้ก็เกือบเป็นแบบนั้นแล้ว”
“ระ..รักไม่ใช่คนขี้แยนะครับ พี่ขุนอย่าเข้าใจผิดสิ”
ต้นรักใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดรอบๆ บาดแผลอย่างเบามือ...นอกจากมือเล็กแล้วยังมือเบาอีกเหรอวะ ถ้าเป็นพวกที่อู่มันทำให้ผมคงเหมือนได้แผลใหม่มา เพราะแบบนั้นผมจึงว่าจะกลับไปทำแผลเองดีกว่า
“พี่ขุนต้องระวังอย่าให้แผลโดนน้ำด้วยนะครับไม่งั้นแผลจะไม่แห้ง”
“...”
“รักจะทายาบนแผลแล้วนะครับ ถ้าเจ็บพี่ขุนจะบีบมือรักไว้แน่นๆ ก็ได้”
แววตาซื่อๆ กับน้ำเสียงตรงหน้าบอกโดยไม่ได้หันมามองตากัน ต้นรักเหมือนรวบรวมสมาธิไว้กับการทำแผลทั้งหมดจนลืมสนใจสิ่งรอบข้างไป แก้มเยอะๆ ของเจ้าตัวเด่นชัดอยู่ตรงหน้าผม มันใกล้มากจนสามารถมองเห็นเลือดฝาดบนนั้นได้อย่างชัดเจน
“รักจะทาจริงๆ แล้วนะครับ”
ผมพยักหน้ารับแผ่วเบา...อีกฝ่ายเหมือนจะเรียกกำลังใจให้ตัวเองมากกว่าด้วยซ้ำ ผมก้มหน้าลงอีกนิดเพราะสงสารที่อีกคนตรงยืดตัวจนสุดแบบนั้น ในวินาทีต่อมาความเย็นของยาก็ถูกทาลงบนแผลของผมก่อนจะกลายเป็นความเจ็บแสบ แต่เป็นความแสบที่ผมไม่ค่อยจะสะเทือนเท่าไหร่นัก ผิดกับต้นรักที่ดูจะเจ็บแทนผมซะเหลือเกิน คิ้วเล็กขมวดกันแน่นหนักเข้าไปใหญ่
“อดทนไว้นะครับพี่ขุน”
“มือมึงเบา กูไม่เจ็บ”
“รักยังเจ็บแทนเลย...”
ผมนั่งเงียบไปจนกระทั่งอีกฝ่ายทำแผลให้จนเสร็จแล้วใช้ผ้าก๊อซปิดแผลให้ เผลอชะงักไปเล็กน้อยกับการกระทำไม่คาดคิดในเวลาต่อมา
ฟู่ว...
“รักขอให้หายไวๆ นะครับพี่ขุน”
“...”
“อะ..เอ่อ ขอโทษครับ รักลืมตัวไปหน่อย…รักชินเวลาทำแผลให้เด็กๆ แล้วจะต้องเป่าแผลให้ด้วย”
ผมค่อยๆ ผละใบหน้าออกมาโดยไม่ตอบอะไรกลับไป หยิบหมวกมาใส่ตามเดิมก่อนจะรับฟังคำสั่งจากว่าที่หมอในอนาคตเงียบๆ
“พี่ขุนต้องทำแผลใหม่ทุกวันนะครับ ยาทุกอย่างรักใส่ไว้ในถุงนี้แล้ว อ้อ อันนี้เป็นยาแก้ปวดนะครับ แล้วก็ถ้าพี่ขุนไม่แน่ใจวิธีทายาก็ทักมาถามรักได้ตลอดเลยนะครับ”
“อืม”
“ต้นรักคนนี้ได้เสกคาถาไว้แล้ว แผลหายเร็วแน่นอนพี่ขุนไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
เป็นอีกครั้งที่ความใจดีกับรอยยิ้มของต้นรักทำให้ความคิดของผมยุ่งวุ่นวายไปหมด มันตีรวนราวกับพายุที่เหมือนจะไม่มีวันสงบลง รุนแรงและส่งผลต่ออวัยวะบางอย่างภายใต้แผ่นอกผมอย่างจัง
และครั้งนี้มันหนักหน่วงมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา...รอยยิ้มของมันทำเอาผมมึนตื้อไปหมด
“ความใจดีของมึงนี่นะ”
“ครับ?”
“ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่ว”
………………………
และคนที่เดือดร้อนคนนั้นก็คื๊อออ….!
มันเริ่มแล้วค่ะทุกคนน นายขุนหมื่นเราเริ่มเซแล้วค่ะ! ทรงตัวไม่ไหวเพราะรอยยิ้มของน้องแก้มอ้วน (ノ´∀`*)
ปล.มีคนถามกันเยอะว่าจะมีเรื่องพี่ชามั้ย ขอบอกว่าพี่ชามีคู่นะคะ!>< เป็นเรื่องสุดท้ายของเซตนี้เลย หวานละมุนเกินหน้าเพื่อนเลยล่ะค้าบบ
ขอโทษที่มาอัปช้านะคะTT ช่วงนี้ต้องทำงานส่งพี่ที่ฝึกงานเลยยุ่งทั้งอาทิตย์เลย…แล้วก็ตอนนี้โควิดระบาดหนักมาก ทุกคนดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะคะ เป็นห่วงมากๆ เลยค่ะ
Twitter : @Themoonthere
ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ♥