ภายใต้เสียงรถราที่วิ่งกันขวักไขว่ เดือนเต็มหรือเดือนหญิงสาววัย 19 ร่างอวบอ้วน กำลังตระเตรียมวัตถุดิบเพื่อขายอาหารตามสั่งในร้านเล็กๆหน้าปากซอยที่คึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ ร้านอาหารหนึ่งคูหาใกล้ๆร้านสะดวกซื้อเป็นที่นิยมด้วยรสชาติที่กลมกล่อมถูกปาก วัตถุดิบก็สดใหม่ทุกวัน และนอกจากนั้นร้านของเธอยังมีอาหารให้เลือก 2 แบบคือ อาหารตามสั่งธรรมดาและอาหารตามสั่งไร้น้ำมัน ซึ่งเธอจะใช้น้ำเปล่าแทนการผัดด้วยน้ำมัน เพราะเธอเห็นว่าทุกวันนี้ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น จึงทำให้เธอผุดไอเดียนี้ขึ้นมา
“เดือน เตรียมเสร็จหรือยังลูก เดี๋ยวแม่ช่วยจ้า แม่ดีขึ้นแล้ว” สาวิตรี แม่ของเธอเดินออกมาจากห้องนอนที่อยู่ชั้นล่างของบ้านหลังจากที่ช่วงเช้าที่ผ่านมาตื่นขึ้นมาอยู่ดีๆเธอก็เหนื่อยและไม่มีแรงขึ้นมา ซึ่งน่าจะมาจากผลกระทบจากการได้รับยาเคมีบำบัดโรคมะเร็งหลอดอาหารที่เธอเป็น
“แม่ทำไมรีบลงมาล่ะคะ ไม่พักผ่อนต่ออีกหน่อยคะ”
“แม่หายดีแล้วล่ะลูก หนูสิตื่นแต่เช้าเลย เหนื่อยไหม” สาวิตรีถามลูกสาวของเธอ ปีนี้เธอครบ 19 ปีแล้ว ซึ่งจริงๆเธอควรจะได้ไปเรียนในมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่นๆ แต่ด้วยรายได้ของครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจ ทำให้รายได้ลดลง เงินที่เก็บไว้ก็ถูกใช้จ่ายไปกับการผ่อนหนี้นอกระบบที่กู้มาลงทุน ค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายของแม่ที่ป่วย และเป็นค่าเทอมให้น้องสาวของเธอซึ่งตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5
โดยปีที่แล้วเธอสอบได้ในคณะบัญชีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแต่ด้วยภาระเรื่องค่าใช้จ่าย จึงทำให้เธอตัดสินใจไม่ไปและเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดแทน เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก สามารถจัดการเวลากับชีวิตซึ่งเธอต้องทำงานช่วยแม่ได้ เพราะถึงยังไงเธอก็เชื่อว่าการศึกษาจะช่วยยกระดับชีวิตและเหมือนมีอาวุธติดตัว ซึ่งก็มีเพื่อนเธอบางคนก็เรียนไปด้วยและทำงานไปด้วยเช่นกัน บางคนไปเป็นพริตตี้ เป็นเด็กเสิร์ฟ แต่ด้วยรูปร่างอวบอ้วน หน้ากลมแป้นของเธอ จึงทำให้หลายที่ปฏิเสธ และเพื่อนบางคนก็ไปรับสอนพิเศษให้กับเด็กๆ แต่สำหรับเธอนั้น เธอเรียนไม่เก่ง กว่าจะจบมัธยมปลายได้เธอก็อ่านหนังสือแล้วอ่านหนังสืออีกกว่าจะจบออกมา ซึ่งที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นั้นเธอก็ทุ่มเทจนสุดความสามารถอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนกว่าจะสอบได้ซึ่งคะแนนของเธอเป็นคะแนนในลำดับสุดท้ายของคณะพอดี
. “ไม่เหนื่อยค่ะ แม่ไปพักเถอะนะคะ เดือนทำได้” เธอยิ้มให้กับมารดา เพราะเธอเต็มใจที่จะทำงานอยู่แล้ว และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจที่จะไม่ไปเรียนเพราะต้องการอยู่ดูแลมารดา เพราะรู้ว่าเวลาของท่านที่อยู่กับพวกเธอเหลือน้อยลงทุกที หมอบอกว่าอาการของโรคอยู่ในระยะประคับประคอง และรักษาได้ตามอาการเท่านั้นเพราะเป็นระยะที่มะเร็งนั้นลุกลามไปทั่วร่างกายแล้ว รวมกับแม่ก็มีอายุมากเช่นกัน
“พี่เดือน ขอค่ากับข้าวหน่อย” เสียงของดาวนภาหรือดาวน้องสาวของเดือนเต็มดังขึ้นหลังจากที่เธอรีบวิ่งลงมาจากชั้นบนของบ้านเพื่อรีบไปโรงเรียน ดาวนภาเป็นสาวรูปร่างผอมสูง หน้าสวย หุ่นดี ซึ่งแตกต่างจากพี่สาวอย่างเธอจึงทำให้มีคนมาขายขนมจีบอยู่เรื่อยๆแม้เธอจะยังอยู่แค่ม.5
“อ่ะ นี่จ้า” เดือนเต็มยื่นธนบัตรสีแดงสองใบให้กับน้องสาวเพื่อเป็นค่าอาหารและเดินทาง
“สองร้อยเองเหรอ ไม่พอหรอก ขออีกหน่อยได้ไหม มีค่าทำรายงานกับเพื่อนอีก”
“เอาเท่าไหร่ล่ะ” เดือนเต็มถามน้องสาวซึ่งเธอก็ยกนิ้วขึ้นมา 2 นิ้วเพื่อขอเพิ่มอีก 2 ใบ เดือนเต็มค้นหาธนบัตรในกระเป๋าเพื่อส่งให้น้องสาว
“ดาว ใช้ประหยัดๆหน่อยนะลูก ช่วงนี้เงินหายาก” สาวิตรีบอกบุตรสาวเช่นนั้นเพราะต้องการให้เธอเพลาๆการใช้เงินไปบ้าง เพราะลูกสาวคนเล็กของเธอค่อนข้างใช้เงินเก่ง
“โธ่แม่ ดาวก็ประหยัดจนไม่รู้จะประหยัดยังไงแล้ว ค่ารถค่าเดินทางดาวก็ขึ้นรถเมล์ บางคนเขาก็มีรถหรูๆมาส่งหน้ารร.เลยนะแม่ ดาวล่ะอยากให้ครอบครัวเรามีรถอย่างนั้นไปส่งดาวบ้าง ฝนตก แดดออกก็ไม่มีปัญหา”
“ถ้าเราอยากจะมี ก็ให้มันเป็นแรงผลักดันให้เราตั้งใจเรียน ทำงานหาเงินได้ เราก็ซื้อได้เองนะดาว”
“โอ้ยพี่เดือน เมื่อไหร่ล่ะจะถึงวันนั้น ดาวไม่รอนานขนาดนั้นหรอก ไปอยู่กับพ่อดาวก็มีรถใช้แล้ว” ดาวนภากล่าวถึงอำนาจ พ่อของเธอที่แยกทางกับแม่ตอนเด็กๆ โดยเดือนเต็มเป็นลูกสาวที่เกิดกับสามีคนแรกของสาวิตรีซึ่งเขาเสียชีวิตด้วยโรคตับแข็ง ส่วนดาวนภาเป็นลูกสาวของเธอกับอำนาจ สามีคนที่ 2 ซึ่งเธอเลิกกันตั้งแต่ลูกยังเล็กๆตั้งแต่อำนาจไปทำงานเป็นการ์ดที่ผับที่ภาคเหนือเพื่อเลี้ยงดูส่งเสียลูกๆ แต่หลังจากไปไม่นานเขาก็พบรักกับม่ายสาวเจ้าของผับที่สามีเพิ่งเสียชีวิต หลังจากเลิกกันอำนาจก็นานๆจะติดต่อกลับมาหาแต่ก็ไม่เคยส่งส่งเสียเลี้ยงดูลูกสาวเลยซักครั้ง อ้างแต่ว่าต้องใช้เงินหมุนในธุรกิจ แต่หลังจากปีที่แล้วเขาเคยมาเยี่ยมดาวนภาครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นลูกสาวเขาจึงชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน โดยอ้างว่าที่นั่นมีบ้าน มีรถ มีเงิน แต่ถึงยังงั้นก็ไม่เคยส่งเงินมาให้สักครั้ง
“ดาวไปเรียนแล้วนะคะ เดี๋ยวจะสาย”
“ตั้งใจเรียนนะลูก” หลังดาวนภาออกไป เดือนเต็มก็บอกให้แม่ของเธอไปพักผ่อนเพราะเธอเริ่มเหนื่อยขึ้น
“เดือนแม่ขอโทษนะ ที่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นภาระเดือนหมดเลย”
“มันไม่ใช่ภาระนะคะแม่ มันเป็นสิ่งที่เดือนเต็มใจที่จะทำ เดือนอยากให้แม่ อยากให้น้องได้สบาย มีเงินกินเงินใช้ แม่รอใช้เงินกับเดือนก่อนนะคะ สักวันหนึ่งเดือนจะต้องมีเงินมากกว่านี้ เราจะสบายมากขึ้นนะคะ”
สาวิตรียิ้มเป็นกำลังใจให้ลูกสาวที่เธอเป็นคนที่กตัญญรู้คุณเหลือเกิน เธอโชคดีที่ลูกสาวที่น่ารักแบบนี้ทั้งสองคน แม้คนเล็กจะเอาแต่ใจบ้างก็ตาม หลังจากนั้นเดือนเต็มก็พยุงพามารดาไปส่งในห้องนอนของท่านเพื่อให้พักผ่อน ส่วนเธอก็กลับออกมาเตรียมของต่อ ช่วงพักเที่ยงเป็นช่วงที่เธอต้องหัวหมุนในแต่ละวันเพราะมีลูกค้ามาเยอะมาก ซึ่งเธอต้องทำเองทั้งเสิร์ฟอาหาร รับออเดอร์ คิดเงิน เพราะแต่ก่อนเธอและแม่ช่วยกันทำ แต่หลังจากที่แม่ไม่สบายเธอก็เริ่มฝึกทำหน้าที่นี้คนเดียว ซึ่งก็ทำได้ดีพอสมควร หากว่าร้านขายดีและมีกำไรมากกว่านี้ เธออาจจะเก็บเงินได้สักก้อนไปใช้หนี้และเป็นค่าเทอมต่อไปของดาวนภาและเก็บไว้ดูแลมารดา
“เจ้ คิดตังหน่อย” หนุ่มวินมอเตอร์ไซต์เรียกเธอไปเก็บเงิน หลังจากที่พวกเขากินเสร็จแล้ว
“ได้ค่ะ”
ช่วงบ่ายแก่ๆ ขณะที่เธอกำลังเก็บโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่งนั้นก็มีลูกค้าคนใหม่ก้าวเข้ามาในร้าน
“สวัสดีค่ะ เชิญเลยค่ะ” เธอกล่าวต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แต่เมื่อมองไปที่ลูกค้าเธอต้องตะลึงเมื่อลูกค้าหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามานั้น ตัวสูงเหมือนนายแบบ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาสวมแว่นกันแดด แบรนด์ดังเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับสาวสวยคนหนึ่งที่สวมชุดเดรสพอดีตัวและถือกระเป๋าแบรนด์ชื่อดังเดินตามเข้ามา ซึ่งมองดูก็รู้ว่าเป็นแบรนด์เนมทั้งตัว ฝ่ายชายเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทีสงบ ส่วนผู้หญิงดูท่าทางไม่ค่อยพอใจแต่ก็เดินตามไปนั่งเก้าอี้ในร้านที่ผู้ชายคนนั้นดึงออกมาให้เธอนั่ง และเขาก็ตามไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอ เดือนเต็มมองด้วยความแปลกใจเพราะพวกเขาทั้งคู่เหมาะที่จะไปทานอาหารตามร้านอาหารแพงๆมากกว่าที่จะเข้ามาร้านขายอาหารตามสั่งอย่างร้านของเธอ