โอซองและวอนกี ทั้งสองเดินหายไปในป่าปล่อยให้ฮีวอนอยู่ตามลำพังกับอียู แสงไฟจากกองไฟยังคงสาดส่องเป็นวงกว้างให้ได้มองเห็นบรรยากาศรอบๆ
เวลาผ่านพ้นไปด้วยความอึดอัดทั้งสองไม่พูดอะไรอีก อียูเองก็พอจะแอบเห็นว่าฮีวอนมีท่าทีลำบากใจแต่ยังคงเงียบขรึม
“ทำไมไม่พูดอะไรเลยหละ?”
เป็นอียูที่อดทนต่อความสงสัยของตัวเองไม่ไหว จึงเอ่ยปากถามเขาออกไป
“เจ้านี่ช่าง..”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าคือฮีวอน หรือ มูยอง เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ฮีวอนนิ่งไปกับคำถามนั้น จะว่าไปเขาสะอึกกับคำพูดของอียูหลายต่อหลายครั้งจนบางครั้งเขาแทบไม่อยากรับฟังอะไรจากนางอีก
“จะเป็นใคร คงไม่สำคัญ จะเป็นฮีวอน หรือ มูยอง ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด”
“งั้นให้เจ้าเป็น มูยองแล้วกัน ข้าทำใจไม่ได้ที่ฮีวอนในความทรงจำของข้าจะเลวร้ายแบบนี้”
“หึ..”
ฮีวอนหัวเราะในลำคอพรางเก็บดาบเข้าฝักอย่างชำนาญ
“ทำไมไม่คัดค้านอะไรข้าอย่างที่เจ้าโอซองนั่นทำ? เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหมหละว่าข้าพูดถูก หรือไม่เจ้าก็คิดเหมือนกันกับข้า”
“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่?”
“ยังไม่สายหากจะเปลี่ยนใจ อย่างทำอย่างนี้เลยขนาดตัวเจ้าเองยังไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้”
“.....”
“ข้าไม่รู้ระหว่างเจ้ากับสองคนนั้นเป็นอย่างไร แต่คนอย่างเสนาบดีชิน จะปล่อยคนที่เป็นตราบาปของตัวเองไปเฉยๆ ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น แต่หาก..”
“.....”
“หากพวกเจ้าไปเสียตอนนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่มีทหารจากวังหลวงคนไหนตามพวกเจ้าไปแม้แต่คนเดียว ข้าจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เจ้าเชื่อข้าได้”
น้ำเสียงทีเล่นทีจริงของอียูเมื่อครู่แปเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาราวกับว่านางไม่ได้ล้อเล่น
“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าไม่สนใจ ขืนยังพูดไม่หยุด ข้าจะไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้า”
“ข้าไม่ได้พูดกับเจ้าเสียหน่อย”
“....?!”
“ข้ากำลังพูดกับฮีวอน”
ใบหน้าบึ้งตึงของฮีวอนค่อยๆผ่อนคลายลงอย่างไม่คาดคิด เมื่อได้ยินที่อียูพูด แทนที่จะโกรธที่นางพูดแบบนั้นกลับทำให้ฮีวอนไขว้เขวราวกับกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ในใจ จนต้องเป็นฝ่ายหันหน้าหนีไปทางอื่นแทน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าฮีวอนนั่งมองกองไฟที่กำลังครุกรุ่นสลับกับร่างบางของอียูที่กำลังนั่งหลับอยู่ข้างๆ
เสียงถอนหายใจของคนที่คิดไม่ตกยังคงดังเรื่อยๆ พาให้คิดถึงคำที่อียูพูด ฮีวอนรู้อยู่แกใจว่าที่ผ่านมาท่านพ่อไม่เคยคิดจะปล่อยให้ใครรอดพ้นหากรู้ถึงความลับของเขา แต่เหนือสิ่งอื่นใดโอซองและวอนกี ทั้งสองเป็นเด็กกำพร้าไม่ต่างจากฮีวอน ถูกสั่งสอนให้เป็นนักฆ่าไม่ต่างจากเขา
ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทำให้ฮีวอนยอมที่จะเอาชีวิตเข้าแลกแม้แต่เขาเองก็อยากจะหลุดพ้นจากบ่วงโซ่ความเลวร้ายนี้เสียที หากเสนาบดีชินยังมีความเป็นพ่อหลงเหลืออยู่เขาก็อยากจะลองเสี่ยง
“นายท่านฮีวอน องค์รัชทายาทใกล้เข้ามาแล้ว!”
วอนกีวิ่งเข้ามาหาฮีวอนด้วยความร้อนรน ฮีวอนลุกขึ้นพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ
“โอซอง อยู่ไหน?”
“เขาซ่อนตัวตามที่ท่านบอกแล้ว”
“อืม พานางออกไป”
“ขอรับ”
วอนกีตรงเข้าไปคว้าแขนของอียูดึงให้นางลุกขึ้นในทันที อียูในสภาพสะดุ้งตื่นตกใจพยายามขัดขืนการจับกุมของวอนกี
“อย่ามาแตะต้องตัวข้านะ!! ช่วยด้วยยยยย!!! เจ้าจะพาข้าไปไหน!!!”
“ร้องไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงเจ้าก็จะต้องตายตามองค์รัชทายาทไปอยู่ดี”
“ไม่นะ!!!”
วอนกีไม่ได้สนใจเสียงร้องอันน่าลำคานของอียูเขาถลึงตาใส่คนตัวเล็กอย่างเดือดดาลพรางดึงลากพาอียูเดินลึกเข้าไปในป่า
ซอลมินกำลังมาที่นี่ เมื่อกี้ตอนอียูตื่นขึ้นนางเห็นเพียงแค่ฮีวอนและวอนกีแค่สองคน ไร้เงาของโอซอง อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะเล่นทีเผลอเป็นแน่
“อะ โอ๊ย!!”
อียูได้ทีทำท่าสะดุดล้มพับลงร้องลั่นอย่าสำออย วอนกีในสภาพหิ้วปีกต้องหยุดเดินหันมองอียูตาเขียว
“เจ้าคิดจะทำอะไร ข้าไม่ใจดีเหมือนสองคนนั้นนะ”
“ข้าเจ็บ เดินต่อไม่ไหวแล้ว”
หมับ!!
ปลายมีดแหลมๆ จ่อเข้ามาที่ลำคอระหงในทันที
“ลุกขึ้นมา อย่าให้ข้าต้องลงมือ”
“.....!!”
สายตาแข็งกร้าวของเขาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านี่ไม่ใช่แค่คำขู่ อียูจึงจำเป็นต้องลุกขึ้นเดินต่อไปตามที่วอนกีบอก
น้ำตามากมายค่อยๆไหลลงสองข้างแก้มอย่างเสียไม่ได้ ไร้หนทางจะต่อต้าน ข้าจะไม่ยอมตายแบบนี้แน่
พรึบ!!!
ร่างสูงของซอลมินโดดลงจากหลังม้า สายตาจดจ้องไปที่บุคคลด้านหลังกองไฟ มีเพียงฮีวอนแต่ไร้ซึ่งเงาของอียูยิ่งทำให้ซอลมินกังวลใจ
“นางอยู่ไหน?”
“น้ำเสียงและสายตาของท่าน ไม่ต่างจากครั้งก่อนที่พบกันเลยนะ”
“....”
ซอลมินขบกรามแน่นอย่างร้อนใจผิดกับฮีวอนที่ดูจะใจเย็นทั้งยังพูดจายียวนไม่ตอบคำถามของเขาพาให้นึกย้อนกลับไปในวันที่ซอลมินพบกับฮีวอนบนสะพาน
“แย่หน่อย ที่เราต้องพบกันอีกในสถานการณ์เช่นนี้ ดูท่านจะไม่ตกใจสักเท่าไรเลย แอบตามข้ามานานแค่ไหนแล้วหละ?”
“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของคนที่กำลังจะตาย”
“โหว!! เกรงว่าท่านคงจะไม่ได้เจออียูอีกแล้ว”
พรึบ!!
ฮีวอนยังไม่ทันได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ซอลมินก็ดึงดาบออกจากฝักวิ่งเข้าประชิดตัวของฮีวอนในทันที
ทั้งสองต่างก็ฟาดฟันดาบใส่กันไม่มีใครยอมใคร ท่ามกลางแสงไฟจากกองไฟเล็กๆ เสียงดาบกระทบกันสลับกับเสียงหายใจหอบถี่ของทั้งคู่ช่างหนักหน่วงราวกันสัตว์ป่าไม่มีผิด
ผลัก!!!!
เท้าหนักๆ ของซอลมินยกขึ้นทีบเข้าที่หน้าอกของฮีวอนจนเขาเซถอยหลัง ฮีวอนเผยรอยยิ้มขึ้นพรางปัดเอาเศษดินบนเสื้อออกอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก่อนจะดันดาบเข้าใส่ซอลมินอีกครั้ง
“ความพยายามของท่าน ข้าจะนำไปบอกอียูด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”
“ไม่จำเป็น อีกเดี๋ยวเจ้าก็พูดไม่ได้แล้ว”
สายตาของทั้งคู่จ้องกันไม่กระพริบ ต่างก็มองหาช่องทางลงดาบใส่คู่ต่อสู้ให้ได้ ในความเป็นจริงฮีวอนได้เปรียบซอลมินอยู่ไม่น้อยเพราะเขาเป็นนักฆ่ามืออาชีพ ใช้ชีวิตอยู่บนความเป็นและความตายมาตลอด แตกต่างจากซอลมินที่แม้ว่าจะเก่งกาจจากการฝึกฝนอย่างหนัก นอกจากสนามรบแล้วเขาก็ไม่ค่อยได้สู้รบกันใครนัก
ฟรึบ!! พรึบ!!
“ท่านต้องหูตาไวกว่านี้หน่อย ไม่งั้นข้าจะหมดสนุกเอาง่ายๆ”
“.....!!”
เพียงแค่เสี้ยววินาทีคมดาบของฮีวอนก็เฉือนเข้าที่ต้นแขนด้านซ้ายของซอลมินเป็นทางยาว ซอลมินล่าถอยห่างจากฮีวอนก่อนจะฉีกแขนเสื้อที่ขาดวิ่นเกะกะออกโดยไม่สนใจคำพูดยั่วยุของฮีวอน
เลือดสีแดงฉานจากแผลไหลลงมาตามแขนเป็นทางยาว แต่ไร้การแสดงสีหน้าใดๆ
การต่อสู้ในครั้งนี้ฮีวอนมีฝีมือร้ายกาจอย่างที่แทซันเคยพูด เป็นเรื่องยากสำหรับซอลมินที่บาดเจ็บ แต่การเตรียมใจของเขาก่อนที่จะมาที่นี่ ยังคงหนักแน่นมากกว่าที่จะกังวลใดๆ
“เกรงว่าข้าต้องจบเรื่องสนุกของเจ้าลงเพียงเท่านี้”
“...!!”
พูดจบร่างสูงก็พุ่งเข้าหาฮีวอนอีกครั้ง ฮีวอนตั้งรับการโจมตีของซอลมินได้อย่างง่ายดาย แต่ก็แอบตกใจในความดุดันในแววตาของซอลมิน ราวกับว่านี่คือการเตรียมใจที่จะตายอย่างไม่มีเงื่อนไข
แววตาที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดบนใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึก แม้ว่าแขนซ้ายจะอาบไปด้วยเลือดแต่กลับเคลื่อนไหวราวกับไร้ความเจ็บปวด เรี่ยวแรงที่ฟาดฟันดาบลงมาในแต่ระครั้งกลับเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้
พลัก!!
“อ๊ะ!!!”
จังหวะรับการโจมตีของซอลมินเขาใช้มือซ้ายช่วยดันสันดาบที่ซอลมินกดเข้ามาอย่างลืมตัว ทำให้แผลจากการต่อสู้ครั้งก่อนที่อักเสบอยู่แล้วปริแตกสร้างความเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก
ใบหน้าฮีวอนแหยลงเล็กน้อยนั่นยิ่งทำให้ซอลมินถือโอกาสยกเท้าขึ้นทีบหน้าอกฮีวอนจนร่างสูงกระเด็นถอยหลัง แต่ยังไม่ทันที่ที่ฮีวอนจะตั้งตัวทันปลายดาบเงาวับสลักรวดรายมังกรของซอลมินก็จ่ออยู่ที่ลำคอของเขาเสียแล้ว
เท้าหนักๆเตะไปที่ข้อมือของฮีวอนจนดาบในมือเขาหลุดออกจากมือ ทุกอย่างดูจะถึงบทสรุปฮีวอนในสภาพนั่งชันเข่าเงยหน้ามองไปยังร่างสูงของซอลมินที่หันคมดาบจ่อประชิดที่ลำคอหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า
“ก่อนที่ข้าจะลงดาบ ตอบมานาง อยู่ไหน?”
“หึ ฮ่าๆๆๆๆๆ!!”
“...!”
ฮีวอนระเบิดหัวเราะออกมาหน้าตาเฉย ราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซอลมินเข้าใจว่าฮีวอนพ่ายแพ้ในการต่อสู้จนเสียสติไปโดยที่ไม่ได้ระวังตัว
เงาของบุคคลที่สามเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ในมือถือดาบตรงเข้าไปหาซอลมินจากทางด้านหลังหวังจะฆ่าซอลมินโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“ซอลมิน!!”
ฉึบ!!!
“.....!!!”
“...!!!!”
เสียงเล็กๆ ที่คุ้นหูเรียกให้ซอลมินหันกลับไปมองทั้งสองห่างกันเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น อียูยิ้มให้ซอลมินทั้งน้ำตาที่เห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร ทั้งยังมาถึงที่นี่ด้วยตัวคนเดียว
สายตาดุดันของซอลมินเมื่อครู่แปลเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ความกังวลภายในใจลดลงอย่างหมดสิ้นเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอียูเท่านั้น
มือหนาที่โชคไปด้วยเลือดจากบาดแผลเอื้อมไปหาคนตรงหน้าช้าๆ ด้วยความสั่นเทา
“ซอลมิน ข้ารักท่าน”
“.....!!”
เหมือนเวลาได้หยุดเดินราวกับมีเพียงแค่ซอลมินและอียู นางรีบร้อนพูดออกไปทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาแต่ก็ยังฝืนยิ้ม
“ข้า....!!!”
ฉึบ!!
ตุบ!!
เสียงคมดาบกรีดผ่านเลือดเนื้อถูกดึงออกท่ามกลางความเงียบงันยังคงดังกังวานยู่ในหู ร่างบางที่ยังคงยิ้มทั้งน้ำตาร่วงลงสู่พื้นต่อหน้าต่อตาซอลมิน มือหนาลอยค้างอยู่อย่างนั้นทั้งที่ยังไม่ทันได้สัมผัสถึงตัวอียูเลยด้วยซ้ำ
ข้าไม่เคยคิดว่าการบอกความรู้สึกที่ข้ามีต่อซอลมินจะได้ออกจากปากของข้าในเร็วๆ นี้เสียแล้ว แต่ตอนนี้ข้ากลัว กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้บอกว่าข้ารักเขาอีก ถ้านี่จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย ข้าก็ไม่เสียใจอะไรอีกแล้ว.