Ep.1 LOVE LIE.
" วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้จ่ะ เด็กๆ " ฉันกดปิดวิทยุเก่าที่ยังคงเล่นเพลงไทยเดิมวนไปมา เป็นสิบๆรอบ
" ทุกคนรำได้ถูกต้อง และก็สวยมากๆเลย " ฉันปรบมือชมอย่างให้กำลังใจ เด็กๆนักเรียนที่มาซ้อมกันที่บ้าน
" แต่ครูเพลงพิณคะ เมื่อไหร่จะมีคนจ้างเราไปออกงานสักทีละคะ หนูอยากแสดงจริงๆแล้ว " เด็กตัวน้อยยกมือถามฉันอย่างมีมารยาท
" หนูด้วยๆ " เด็กอีกคนก็พูดตาม
" แก้วใส กับเฟื้องฟ้า เพิ่งจะหัดรำได้แค่ สองสามบทเพลงเองนะลูก"
" ถ้าพวกหนูจำท่ารำในบทเพลงอื่นๆได้ ครูว่าต้องมีคนมาจ้างพวกเราไปออกงานเยอะแน่ๆ" ฉันเอ่ยต่ออย่างให้กำลังใจเด็กๆ
"ตอนนี้ฝึกซ้อมให้แม่นท่า รำตรงจังหวะดนตรีกันไปก่อนเนอะ " ฉันตอบไปอย่างให้กำลังใจลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ตาดำทั้งหก
" เลิกรำแล้วก็มาเอา ขนมจากทวดนี่มา มาเร็วๆ" ยายของฉันเรียกพวกเด็กๆ ให้ไปรับถุงขนมถุงเล็กๆที่ท่านมักจะเตรียมเอาไว้เป็นรางวัลให้พวกเด็กๆ หลังจากซ้อมรำเสร็จทุกครั้ง
" เก่งมากๆ ลูกศิษย์บ้านจันทร์ผาเก่งที่สุด" ยายยังคงเอ่ยชมอย่างชอบใจ
" ขนมคุณย่าทวด อร่อยที่สุดในโลก " เสียงของเด็กผู้ชายตัวน้อย ที่ลุกจากวงกล้องพื้นบ้าน วิ่งตรงมาหายายของฉันอย่างน่าเอ็นดู
พวกลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ก็มาจากลูกของชาวบ้านแถวๆนี้ ที่เอามาฝากไว้ให้เรียนศิลปะพื้นบ้าน
เพราะว่าพวกเขาส่วนใหญ่ทำไร่ทำสวน ไม่มีเวลาดูแลลูก รวมถึงไม่มีเงินมากพอจะส่งไปเรียนพิเศษที่อื่น
" คุณย่าทวดคะ วันนี้มีนิทานอะไรเล่าให้ฟังก่อนกลับบ้านมั้ยคะ " เด็กตัวน้อยเคี้ยวขนมไปก็นั่งตรงหน้าคุณยาย รวมถึงคนอื่นๆที่คลานเข่าเข้ามารวมวง คุณยายของฉัน
ซึ่งท่านก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ฉันเองก็อดยิ้มตามไม่ได้เลย
ยายของฉันท่านอายุมากแล้ว แต่ในอดีตท่านเป็นครูสอนนาฏศิลป์เก่า ท่านใจดี และรักเด็ก
ส่วนคุณตาท่านก็เป็นทหารรบตามชายแดน ที่ต้องเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องดินแดนเอาไว้
ในตอนที่ตาจากไป ยายก็ได้รับบำนาญ บ้าน ที่ดิน ตามลำดับขั้นยศของคุณตานั้นเอง
และแม้ว่ายายฉันจะอายุเกือบเก้าสิบปีแล้ว แต่ท่านก็ยังรักในการเป็นครู และยังคงสอน ถ่ายทอดวิชาความรู้เกี่ยวกับศิลปะการแสดงพื้นบ้านและนาฏศิลป์ไทย เพื่อให้เราอนุรักษ์และสืบทอดต่อๆกันไป
แต่ในความเป็นจริง เราก็ต้องยอมรับว่า สังคมของเราในปัจจุบัน ที่มีวัฒนธรรมของต่างชาติเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากมาย จึงทำให้เยาวชนรุ่นหลัง ให้ความสำคัญกับนาฏศิลป์ไทย น้อยลงไป และมีแค่เพียงบางกลุ่มคนเท่านั้นที่ยังคงอนุรักษ์เอาไว้ ซึ่งก็น้อยเอามากๆ จนนาฏศิลป์ รวมถึงศิลปะการแสดงพื้นบ้านค่อยๆถูกลืม เลื่อนลางหายไป...
__________________
" เจ้าพวกเด็กๆ กลับบ้านกันไปหมดแล้วหรอพิณ " ยายเอ่ยทักขึ้นเมื่อฉันเดินเข้ามาในชานเรือน
หลังจากที่เดินลงไปส่งเด็กๆ กลับถึงมือของพ่อแม่ครบทุกคนแล้ว
" ค่ะ ยาย." ฉันตอบอย่างเสียงอ่อนหวาน
ก่อนจะค่อยๆเดิมก้มตัวลงมานั่งข้างๆเก้าอี้โยกของยาย ตัวเดิม
" เมื่อก่อนนะ เด็กเล็ก เด็กวัยรุ่น วิ่งเต็มเรือนไทยไปหมด " ยายเริ่มพูดตามประสาคนแก่ ที่เล่าถึงอดีตให้ฉันได้ฟัง
" คุณครูคะ คุณครูครับ ผมอยากเรียนดนตรีไทย "
" ครูจ๋า หนูอยากเรียนรำไทยค่ะ " ยายเล่าและยกมือที่สั่นๆ ชี้ไปทั่วทุกมุมของบ้าน
" บ้านจันทร์ผา แทบจะรองรับนักเรียนไม่ไหว ในสมัยยายยังสาวๆ" ยายเล่าต่ออย่างภาคภูมิใจ
" แต่พอวันเวลาผ่านพ้นไป เด็กๆก็ค่อยๆหายไป จนแทบไม่มีใครอยากจะเรียนวิชานาฎศิลป์อีกแล้ว " ยายเล่าด้วยแววตาเศร้าๆ
" น่าเศร้าใจเนอะ " ยายพูดอย่างซึมๆ
" เรามีลูกศิษย์ตั้ง 6 คนให้สอนนะคะ ยาย" ฉันกุมมือของท่านเอาไว้ และพูดอย่างให้กำลังใจ
" อื้ม ก็จริงของพิณ " ยายพยักหน้าตอบและลูบใบหน้าของฉันเบาๆ
" ยายคงต้องฝากพิณเป็นคนช่วยดูแล ถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าเด็กพวกนี้ด้วยนะ " ยายมองฉันอย่างคาดหวัง
" บ้านจันทร์ผาของเรา คงเปิดสอนรุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้ายแล้วละ." ยายมองไปรอบๆอย่างถอนหายใจ
" หนูจะรักษาบ้านจันทร์ผาเอาไว้ให้ดีที่สุด และถ้าเด็กคนไหนอยากจะเรียนดนตรีไทย หรือนาฏศิลป์ พิณจะสอนพวกเขาด้วยตัวเอง " ฉันตอบไปและบีบมือของยายเอาไว้
" ยายต้องแข็งแรง อยู่ช่วยพิณสอนด้วยนะ" ฉันบีบนวดยายอย่างอบอุ่นใจ
" เทียนที่จุดมานานแล้ว วันหนึ่งมันก็ต้องดับลง ไม่ดับเพราะสายลมก็เพราะมันหมดเชื้อเพลิง " ยายหัวเราะและลูบหัวของฉันเบาๆอย่างเอ็นดู
ฉันได้แต่นั่งคุกเข่าเอาใบหน้าวางลงบนตักของยาย
" กับข้าวมาแล้วจ้าแม่ ยัยพิณมาช่วยป้าเอาใส่จานหน่อย" เสียงของป้าจันทร์เดินยกถาดกับข้าว มาให้ยายและอยู่ทานข้าวพร้อมกัน เหมือนเช่นทุกเย็น
.......
" ป้าว่าเอ็งเอาเวลาไปร่ำเรียน ให้จบดีมั้ย?" ป้าจันทร์หันมาถามไถ่ฉันที่กำลังตักอาหารไปวางให้จานของยาย
" มัวสอนฟรีให้พวกเด็กๆ แล้วเราจะเอาอะไรกิน" ป้าจันทร์บ่นๆ เพราะแกไม่เห็นด้วย กับการที่เราเปิดสอนให้พวกเด็กๆแบบไม่คิดเงินสักบาท
" พวกพ่อแม่มันก็แค่ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกเอง เลยเอามาฝากเป็นภาระของพวกเรา "ป้าจันทร์ไม่พอใจเรื่องนี้มานานแล้ว และแกก็บ่นแบบนี้ประจำ
" โถ้จันทร์ ก็พวกเด็กๆเขาอยากเรียน เอ็งจะมาขัดทำไมกัน "
" ตัวเองก็ไม่ได้มาเหนื่อยสอนสักหน่อย " ยายก็ตอบกลับป้าจันทร์ไปแบบช้าๆ
" นาฏศิลป์นะ มันกินไม่ได้ไงแม่ " ป้าจันทร์ส่ายหน้า
"ฉันไม่ได้ นั่งมองฟ้อนรำ ฟ้อนมาลัยแล้วอิ่มนิ " ป้าจันทร์พูดแบบตรงๆตามสไตล์ของแก
" พิณว่าเรากินข้าวกันเถอะนะ อย่าคุยเรื่องเครียดๆเลย " ฉันตักอาหารให้ทางป้าจันทร์ด้วยอีกคน
" เอ็งน่ะ รีบๆเรียนให้จบสักที ไปเป็นครูรับราชการมีหน้ามีตาสักที "
" และก็หาผัวรวยๆแต่งงานไป จะได้สุขสบายกันทั้งโคตร " ป้าจันทร์แกก็พูดกับฉันตามภาษาชาวบ้านๆ
แกเป็นคนคิดอะไรก็พูดออกมาเลย
" ความคิดของเอ็งนี้มันจริงๆเลยนะ " ยายดุป้าจันทร์เล็กน้อย
" จะคบจะแต่งกับใคร ก็ต้องเลือกที่เขาเป็นคนดี รักเดียวใจเดียว เป็นสุภาพบุรุษ " ยายกับป้าจันทร์ก็ยังคงเห็นต่างกันในทุกเรื่อง
" ฉันก็แค่ไม่อยากให้หลานมันเหนื่อย และมาใช้ชีวิตหาเช้ากินค่ำแบบเราๆ ดูสิหาข้าวจะกินแต่ละวันยังเหนื่อยแทบตาย" ป้าจันทร์สวนกลับทันที
" ฉันกับผัวทำงานงกๆ เงินก็น้อย ภาระหนี้ก็เยอะ"
" ไหนๆเห็นนังพิณมันรักดี เรียนจนจะจบปริญญาได้"
" ฉันก็หวังให้มันหาผัวรวย เป็นนายธนาคาร นายอำเภอ อะไรแบบนั้นไป"
" หน้าตามันก็ดี คงหารวยๆได้ไม่ยาก "ป้าจันทร์พูดตามที่แกคิดเอาไว้
" ฉันไม่เอาหรอกจ่ะป้า ฉันอยากยืนได้ด้วยแขนขาตัวเอง " ฉันตอบปฎิเสธไปอย่างนิ่มนวล
" เรื่องเรียนนะฉลาดหนัก " ป้าจันทร์ส่ายหน้าใส่ฉัน
" ฉันจะหางานทำดีๆ ป้าไม่ต้องห่วงนะ " ฉันตอบไปเสียงเบาๆ
" ขอให้เป็นอย่างที่พูดแล้วกัน !"
" ยังไงก็มาช่วยแบ่งเบาภาระในบ้านบ้างแล้วกัน และก็ช่วยส่งไอ้เพลิงมันเรียนจนจบด้วยอีกคน" ป้าจันทร์ถอนหายใจเมื่อพูดถึงลูกชายจอมแก่นของตัวเอง ที่ยังเรียนไม่จบมัธยมเลยเพราะสอบตก แบะเกเรจนเปลี่ยนโรงเรียนอยู่บ่อยๆ
" ลูกตัวเองแท้ๆ ทำไมต้องมาให้เพลงพิณส่งเสียกันด้วยละ ?" ยายก็กินข้าวไปและบ่นอย่างไม่เห็นด้วย
ป้าจันทร์มองหน้ายายสลับกับฉันเล็กน้อย
" แล้วทีแม่มันหนีตามผู้ชายไปกรุงเทพ ทำไมแม่ต้องมานั่งเลี้ยงดูมันจนโตด้วยละ?"ป้าจันทร์ก็มองฉันแบบไม่ค่อยพอใจ เมื่อยายปกป้องฉัน
ฉันได้แต่นั่งเงียบอย่างไม่คิดมีปากมีเสียงอะไร
" และที่ครอบครัวเอ็งนะ มันไม่พอมีพอกินแบบนี้ก็เพราะผัวเอ็งมันติดพนัน หาเงินจากขายข้าวโพดขายของไร่ได้ ก็เอาไปเล่นไฮโลจนหมด"
ป้าจันทร์เมินหน้าหนีทันที
" อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ถึงจะอยู่แต่บ้าน แต่หูตาข้าก็กว้างไกล!"
" และข้าจะบอกอะไรให้นะอิจันทร์เอ๋ย"
" บ้านไฟไหม้ยังเหลือที่ดินทำกิน แต่เสียการพนันแม้แต่ที่ดินเอ็งก็จะไม่เหลือ!" ยายทนไม่ไหวจึงบ่นๆออกไป