พระตำหนักเฟิ่งหมิง
ยามดึกสงัดภายใต้แสงจันทร์นวลกระจ่าง สีแดงสดของดอกไฮ่ถางดูเป็นประกายราวฉาบไล้ด้วยแสงเงินเรืองรอง
ตู๋กูซิงหลันนั่งเอนอยู่บนกิ่งของต้นไฮ่ถางที่สูงที่สุดในตำหนัก วิญญาณทมิฬก็หลับกรนอยู่บนไหล่ของนาง
นางคลี่กลีบของดอกไฮ่ถางเล่น หลายวันนี้นางหมกตัวอยู่ในพระตำหนักเฟิ่งหมิง กลับต้องประหลาดใจที่ไม่มีใครบุกเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้ นอกจากหลี่กงกงที่ใช้คนมาส่งของกินของใช้แล้ว พระตำหนักเฟิ่งหมิงแห่งนี้ก็สงบเงียบยิ่งนัก
คืนวันที่เรียบเรื่อยช่างหาได้ยากนัก ตู๋กูซิงหลันกลับไม่เบื่อหน่ายแม้แต่น้อย นางวาดยันต์ปราบปีศาจเอาไว้หลายใบ สร้างกริชเวทย์เอาไว้เล่มหนึ่งสำหรับใช้ป้องกันตัว
ที่จริงในตำหนักเย็นของนางมีสิ่งอัปมงคลอยู่ไม่น้อย ตอนที่นางข้ามมิติมาถึงก็ได้ทำการชำระล้างไปครั้งหนึ่ง ภายในวังหลวงแห่งนี้ถึงแม้จะมีธาตุสวรรค์ไอมังกรคุ้มครองปกป้อง แต่อย่างไรก็ยังมุมมืดอยู่
ดังนั้นตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน นางพลันรู้สึกได้ถึงบางสิ่งกำลังจดจ้องเฝ้ามองตนเองอยู่
ตู๋กูซิงหลันย่อมทำเป็นไม่รับรู้ คืนนี้ เจ้าสิ่งนั้นก็มาอีกแล้ว.........
นางจึงขึ้นมาบนต้นไม้ แสร้งทำเป็นหลับไหลไป
เพียงสักพักเดียว ก็มีกลิ่นหอมประหลาดลอยมาในอากาศ ครู่เดียวกระดิ่งลมที่นางผูกไว้บนต้นไฮ่ถางก็ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง เสียงกระดิ่งดังกริ๊งๆ ในสายลมนั้นฟังดูผิดเพี้ยนประหลาดอยู่บ้าง
ตู๋กูซิงหลันกระพริบตาคราหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมา เห็นผึ้งพิษขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าอย่างกระทันหัน
ผึ้งพิษกระพือปีกอย่างรวดเร็ว เหล็กไนที่แหลมคมก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของนาง
ตู๋กูซิงหลันพลันใช้ปฏิภาณเอียงศีรษะหลบ พลิกตัวคราหนึ่งก็กระโดดวูบลงจากต้นไม้
ผึ้งพิษนั่นก็กลับตัวไล่ตามมา คิดจะพุ่งเข้าใส่นางอย่างเต็มที่ ตู๋กูซิงหลันหัวคิ้วขมวดมุ่น ผึ้งพิษปลดปล่อยหมอกดำออกมาตลอดร่าง ดูไปร้ายกาจไม่เบามิเช่นนั้นคงไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาในเขตอาคมของนางได้
เขตอาคมนี้ ขอเพียงมีศัตรูเล็ดลอดเข้ามาก็จะเกิดเสียงเตือนภัย กักขังศัตรูไว้ภายใน เป็นอาคมที่นางในโลกก่อนใช้บ่อยที่สุด
เพียงแต่ความสามารถของนางในตอนนี้ไม่อาจเทียบได้กับในโลกเก่า อาคมนี้จึงทำได้เพียงส่งเสียงเตือนภัย ไม่อาจกักขังศัตรูเอาไว้ได้
เจ้าผึ้งพิษรวดเร็วว่องไว เพียงชั่วแวบเดียวก็พุ่งเข้าต่อยนาง ตู๋กูซิงหลันพลันล้วงเอากริชของตนเองออกมา พลิกมือสะกัดใส่คราหนึ่ง
พละกำลังรุนแรงอย่างยิ่ง ทำเอาหัวไหล่ของนางถึงกับสะท้าน
ปลายแหลมของเหล็กไนหักไปเล็กน้อย มันชะงักไปชั่วครู่ ไม่ทันได้ไตร่ตรองอะไรก็พุ่งเข้าหาตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ขบคิดให้มากความ สะกิดปลายเท้าลงบนพื้น ส่งร่างลอยถอยไปด้านหลัง พร้อมกันนั้นก็ล้วงเอายันต์โลหิตแผ่นหนึ่งออกมา สะบัดคราเดียวก็บินเข้ากลางแสกหน้าของผึ้งพิษ
" เวิงงง! " เกิดเสียงดังคราหนึ่งผึ้งพิษก็ระเบิดกระจายออก กลายเป็นผึ้งขนาดเล็กนับร้อยนับพันต่อหน้าต่อตานาง แต่ละตัวต่างปลดปล่อยหมอกดำออกมา
สถานการณ์เบื้องหน้าราวกับว่านางหลุดเข้าไปในหลุมโคลนของรังผึ้ง
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนที่พวกผึ้งจะบุกเข้ามาถึง ก็ยื่นมือมาคว้าเอาวิญญาณทมิฬบนหัวไหล่เขวี้ยงออกไป
เจ้าวิญญาณนั้นพึ่งจะตื่นขึ้นมา เห็นเหตุการณ์เบี้องหน้าก็อ้าปากกว้าง "ควับ!! "
จากนั้นมันก็เริ่มคลุ้มคลั่ง ปากแดงดังเลือดอ้ากว้างแยกเขี้ยวเขมือบลงไปคำหนึ่ง เพียงคำเดียวก็กลืนกินฝูงผึ้งพิษลงไปครึ่งหนึ่ง
คิดไม่ถึงจริงๆ ตื่นขึ้นมารอบหนึ่งก็มีของกินมื้อใหญ่รออยู่!
ในโลกก่อนอาหารหลักของมันคือจิตมารวิญญาณร้ายทั้งหลาย พอมาถึงโลกนี้แล้ว กลับหาวิญญาณร้ายพวกนั้นได้น้อยมาก ได้แต่ต้องพึ่งตนเองสะสมไอทิพย์อย่างยากลำบาก....
คราวนี้ละดีเลย มีเจ้ามารผึ้งตัวอ้วนส่งมาถึงหน้าประตู จะไม่กินได้อย่างไร
" อย่าได้กินจนหมด ข้ามีคำพูดจะถามมัน" ตู๋กูซิงหลันเรียกไว้
เจ้าวิญญาณทมิฬกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ร่างอวบอ้วนของมันไล่กวดราวกับหมาบ้า
เพียงไม่กี่คำก็เขมือบผึ้งพิษเกินครึ่งลงไป ไม่ขบเคี้ยวแม้แต่น้อย กินลงท้องไปทั้งอย่างนั้น
ผึ้งพิษที่เหลือถึงกับปากอ้าตาค้างไปแล้ว พอเจ้าวิญญาณทมิฬไล่กวดเข้ามา จึงรวมร่างกันกลายเป็นผึ้งพิษใหญ่เท่าไข่ไก่ฟองหนึ่ง แล้วหักเลี้ยวบินหนีไป
ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ ใต้ฝ่าเท้าของนางเกิดสายลมหอบหนึ่ง คนก็คว้าเอาเจ้าวิญญาณทมิฬไล่ตามไป
ภายใต้การหล่อเลี้ยงของไอทิพย์มาหลายวัน ร่างของนางก็เบาขึ้นมาก ถึงจะไล่กวดมาตลอดทางกลับไม่ช้ากว่าผึ้งพิษเท่าไหร่
ผึ้งพิษ "......"
มันเพียงแต่รับคำสั่งให้มาต่อยใส่หน้านางสักครั้ง สตรีนางนี้กับสัตว์เลี้ยงของนางกลับคิดจะเอาชีวิตมัน! ถึงกับไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง สองขานั่นกลับวิ่งได้เร็วกว่าปีกยาวๆ ของมันเสียอีก นางเป็นคนจริงหรือเปล่า?