“แท้จริงแล้วเจ้ากับไร้น้ำใจถึงเพียงนี้ ใส่ร้ายข้าไม่หยุดไม่หย่อน ข้า.... ข้าปวดใจราวกับถูกมีดบาด หากก่อนหน้านี้ไม่เคยรักเอ็นดูเจ้าก็คงดี "
ตู๋กูเหลียง "..." สุดยอด! ทำไมนางตัวร้ายนี่ถึงได้เสแสร้งได้เก่งกว่าข้าเสียอีก สมจริงเสียจนข้าไม่เหลือทางเดิน
คนทั้งหลาย "........ "
ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจเหลียนไฉเหรินอีก นางเงยหน้ามองฮ่องเต้ที่ประทับนิ่งอยู่เบื่องหน้า สองตาน้ำตาคลอหน่อยแทบรินไหล นางเอื้อมมือออกไปยังพระพักตร์ที่หมดจดงดงามราวเทพปั้นของฮ่องเต้ กล่าวอย่างจริงใจว่า"ฝ่าบาท ข้ารู้ว่าท่านยังเข้าใจในตัวข้าผิดไป ข้าสาบานได้ ที่ผ่านมาข้ารักท่านราวกับลูกแท้ๆ ไม่เคยคิดนอกลู่นอกทางแม้แต่น้อย เหตุการณ์ในวันนั้นทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด ข้าคิดมาตลอด หากอดีตฮ่องเต้ยังอยู่ และหากข้าและพระองค์สามารถมีบุตรงดงาม องอาจกล้าหาญเช่นเดียวกับท่าน แม้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว! "
คนทั้งหลาย "...... " ว่าไปถึงมีลูกเลยรึ นี่มันประจบจนทุกคนอยากจะเค้นคอนาง
ฮ่องเต้กลับรับฟังจนขมวดคิ้ว สาดพระเนตรเย็นวาบออกมา
" เจ้ายังคิดจะมีลูกอีก หื้อ? "
ตู๋กูซิงหลันปวดตับ "..... " เจ้าฮ่องเต้ภูเขาน้ำแข็งลูกสุนัขนี่จับประเด็นผิดไปแล้ว ต้องโทษที่นางปากดี พูดมากทำไม" ฝ่าบาททรงพระเมตตา ข้าไม่มีเจตนาพูดเช่นนั้น"
ตู๋กูซิงหลันปฏิกิริยาว่องไว น้ำตาหยดไหลเป็นสาย แล้วทอดถอนใจ " ข้าเฝ้าย้ำเตือนตนเองตลอดเวลาว่า เป็นเพียงแม่หม้าย เฮ่อ ทำไม ทำไมท่านไม่เข้าใจจิตใจของข้านะ" ท่าทางผิดหวังประกอบกับใบหน้าที่งดงามหม่นหมองยิ่งทำให้ผู้คนสงสาร อย่างว่าสาวงามขนาดนี้พูดอะไรก็ดูเป็นจริงไปเสียหมด ว่าตามจริง นางอายุน้อยเพียงแค่นี้ต้องมาโดดเดี่ยวลำพังตลอดชีวิต นับว่าเป็นเรื่องน่าสงสาร
ฮ่องเต้เพ่งมองนางอยู่ครู่หนึ่ง มองเสียจนตู๋กูซิงหลันใจสั่นขนลุก เขาจึงได้ออกปาก " ออกไปซะ"
เพียงแค่สามคำแต่ราวกับดาบน้ำแข็งเสียดแทงผู้คน ราชองครักษ์ ทั้งหลายก็เขยิบเข้าหาตู๋กูซิงหลัน
เหลียนไฉเหรินลืมตากว้างในทันใด ยังดี ฝ่าบาททรงพระปรีชาไม่ถูกนางมารนี้ล่อลวง
สายตาของตู๋กูซิงหลันหยุดอยู่บนร่างของฮ่องเต้ แต่ในใจทางหนึ่ง ก็ภาวนาถึงบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเขา ทางนึงก็ลังเลจะขัดขืนดีหรือ ถอดใจดี ดูเหมือนว่าลงจากเวทีแบบนี้จะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
ขณะที่เหล่าราชองครักษ์กำลังจะลงมือเข้าใกล้ตู๋กูซิงหลัน
ฮ่องเต้ก็ส่งสายพระเนตรแหลมคมราวกับเข็ม " เราสั่งให้พวกเจ้าพานางออกไป! " ฮ่องเต้ตรัสด้วยเสียงที่เย็นขึ้นอีกหลายระดับ สายพระเนตรก็ไปตกลงบนร่างของเหลียนไฉเหริน
" ข้าหรือ? " เหลียนไฉเหริน ถึงกับงงจนโง่ไปแล้ว
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่นขึ้น " เรารังเกียจคนที่ผายลมที่สุด"
เหลียนไฉเหริน"....." นางเพียงแค่ตดต่อเนื่อง ไม่กี่ครั้ง หรือความผิดยังมากกว่านางตู๋กูซิงหลันตัวร้ายนั่นอีก
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ในใจ คนกินอาหารหลากหลายใครบ้างจะไม่ตด หรือจะต้องให้คนกลั้นตดเอาไว้ตลอด?
ฉีผินรีบจดจำเอาไว้ในใจ อีกหน่อยไม่อาจผายลมที่หน้าพระพักตร์เด็ดขาด แม้แต่ปล่อยลมเบาๆ ก็ไม่ได้
" นิ่งกันอยู่ทำไม? ยังไม่รีบลากออกไปอีก! ให้ฝ่าบาทต้องมาทนกลิ่นเหม็นถึงเพียงนี้ พวกเจ้าสมควรตาย" หลี่กงกงตะโกนร้องสั่งเสียงแหลมราวเป็ดตัวผู้
น่าสงสารเหลียนไฉเหรินถูกหิ้วออกไปราวกับลูกเจี๊ยบตัวนึง ตลอดทางได้แต่ตะโกนร้องเรียกฮ่องเต้ด้วยหัวใจที่แตกสลาย ฮ่องเต้กลับไม่ได้ยินแม้แต่น้อย สายตาเพียงหันมามองตู๋กูซิงหลัน ตู๋กูซิงหลันถูกมองจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น เจ้าภูเขาน้ำแข็งก้อนใหญ่นี้ สายตาพิฆาตราวกลับมีดดาบ สามารถเชือดเฉือนหัวใจคนได้ นางอดไม่ได้ต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกนึง ขณะจะเปิดปากพูด ฮ่องเต้กลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน " เจ้าอยู่นี่ คนอื่นถอยออกไปให้หมด"
" ฝ่าบาท" ฉีผินหน้าเปลี่ยนสี ฝ่าบาทกับตู๋กูซิงหลัน ชายหญิงอยู่เพียงลำพังในห้องรโหฐาน หากว่ายัยตัวร้ายนี่ใช้เล่ห์มารยากับฝ่าบาทอีก อาศัยความงามของนาง....... ผลที่เกิดขึ้นใครจะกล้านึก
" หนวกหู" ฮ่องเต้กับเพียงครั้งเดียว ฉีผินก็ตกใจจนแทบฉี่ราดรีบร้อนจากไป
เพียงชั่วครู่ทั้งตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงกลิ่นผายลมที่ยังเหม็นอยู่จางๆ
ตู๋กูซิงหลันอยู่ที่ข้างกายเขา นาทีนี้ยืนก็ไม่ได้คุกเข่าก็ไม่ดี เพียงแค่ภูเขาน้ำแข็งนั้นมองนางแค่แว๊บเดียว นางก็รู้สึกไม่สบายทั้งตัว
เงียบอยู่พักใหญ่ฝ่าบาทจึงได้ตรัสเรียกชื่อนางด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ "ตู๋กูซิงหลัน"
"เพคะ" ตู๋กูซิงหลันรีบขานรับราวกับนักเรียนที่ถูกครูเรียกชื่อ หากว่าสามารถกระดิกหางเข้าไปประจบสอพลอได้ก็คงจะดี ศักดิ์ศรีคืออะไร เทียบกับชีวิตแล้วไม่สำคัญแม้แต่น้อย
" เจ้าไม่กลัวตายจริงๆ แม้แต่ตอนนี้ยังคิดจะล่อลวงเรา " ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่สายพระเนตรโหดเหี้ยมเข้มข้น
ตู๋กูซิงหลันแทบจะกระอักเลือดใส่หน้าเขา ในโลกนี้ ยังจะมีใครมั่นใจในตัวเองไปกว่านางอีก
เจ๊งามเลิศเลอเป็นนางฟ้า รูปร่างรึก็ราวกับเทพปั้น ยังจะต้องมาอ่อยเจ้าอีกหรือ? เอาเถอะ! ถึงแม้เจ้าฮ่องเต้ลูกหมาน้อยตัวนี้จะหน้าตามีดีอยู่บ้าง แต่พูดตามจริง ยังคงเป็นแตงแก่เถาเก่าขอโทษที ไม่ถูกปาก เจ๊แม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลัน อ้าปากจะพูด ก็ถูกฝ่าบาทชิงพูดปิดปากเสียก่อน " ปีนั้น เราเคยให้โอกาสเจ้าแล้ว เจ้าไม่รู้จักรักถนอม ตอนนี้มาทำเช่นนี้ ทำให้เรารู้สึกรังเกียจเจ้านัก" เสียงของเขาเยือกเย็น เสียบแทงเข้าไปในกระดูก
ตู๋กูซิงหลันอดยู่ปากไม่ได้ ตอนนี้นางเริ่มปวดหัวแล้ว ถามหน่อย 'ปีนั้นเราเคยให้โอกาสเจ้าแล้ว' นะตอนไหน เจ้าลูกหมา ช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยได้ไหม โปรดกรุณาเห็นใจคนความจำเสื่อมด้วย ผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงได้ยิ้มออกมาราวกับจะร้องไห้
" ฮ่องเต้ พูดไปท่านอาจไม่เชื่อ นับตั้งแต่ข้าคิดสั้นฆ่าตัวตายคราวนั้น ก็ความจำเสื่อมไปแล้ว ฉะนั้นปีนั้นเกิดเรื่องอะไร ก็จำไม่ได้เลย"
นางทำท่าภาคภูมิใจใน' ข้าความจำเสื่อม' ของตนเอง
พอนางพูดออกไปเช่นนี้ก็เห็นฮ่องเต้ยิ่งหน้าดำเรากับก้นหม้อใบหนึ่ง เขาไม่พูดอะไรอยู่เป็นนานกลับเอาแต่จ้องมองนางเขม็ง จ้องเสียจนตู๋กูซิงหลันแทบจะสารภาพเรื่องที่นางย้อนอดีตกลับมา นางกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ ทำหน้าหนาหน้าทนเข้าไว้ " ไม่งั้นก็ ~ ท่านช่วยมีน้ำใจสักหน่อย ปีนั้นข้าทำอะไรไม่ดีเป็นการรังแกท่าน อีกหน่อยจะเป็นวัวเป็นม้าชดใช้ให้ก็แล้วกัน"
คิดคิดดู ไทเฮาน้อยเป็นคุณหนูน้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาใจในจวน แต่ฮ่องเต้ลูกหมาน้อย ถึงจะเป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวที่เกิดจากฮองเฮา แต่กลับไม่ได้รับความโปรดปราน หากเจ้าของร่างเดิมเคยรังแกเขาอยู่บ้าง ก็คงจะเป็นไปได้มั้ง~
ไม่ถูกสิ! เจ้าของร่างนี้อ่อนแอเปราะบางราวกับลูกแก้ว อย่างมากก็แค่โต้เถียงกับเหล่าพี่สาวน้องสาวในจวน ที่ปีนเตียงมังกรได้ก็นับว่ากล้าหาญสุดแล้ว ไหนเลยจะมีความกล้ามารังแกฮ่องเต้สุนัขน้อยได้อีก
ฮ่องเต้ "......" พระพักตร์ดำอึมครึม
พระเจ้าช่วย!! ตู๋กูซิงหลันคิดว่านางไม่รอดแน่แล้ว เจ้าลูกหมานี่ทำไมถึงไม่เอาดาบแทงนางให้จบๆ ไป
ผ่านไปอีกนาน นานจนนางคิดว่าเขาตายไปแล้ว ฮ่องเต้ถึงได้ส่งเสียงเยือกเย็นออกมาคำนึง " ฮึ"
เช็ด!! นายจ๋า ร้องเป็นแต่คำว่า 'ฮึ' รึไงจ๊ะ!!