จากมุมที่นางอยู่ไม่อาจมองเห็นพระพักตร์ของฮ่องเต้จึงไม่รู้ว่าตอนนี้เขาทำสีหน้าเช่นไร น่าเสียดายนัก ถ้าได้มุมดีๆ เสียหน่อยนางยังได้ชื่นชมพระพักตร์อันงดงามของลูกชายบ้าง
ยัยตู๋กูเหลียงนี่ ก็ไม่น่ารักแม้แต่น้อย นางอุตส่าห์ช่วยคิดแผนช่วงชิงความโปรดปรานให้ ต่อหน้าพระพักตร์ไม่กล่าวถึงนางในแง่ดีก็แล้วไป กลับคิดแทงหลังกันอีกดาบนึง ช่างเป็นน้องสาวที่ไร้น้ำใจโดยแท้
เห็นฝ่าบาทไม่รับสั่ง เหลียนไฉเหรินก็ยิ่งรู้สึกหายใจลำบาก หากไม่ใช่เพราะนางคิดออกหน้าแทนฮ่องเต้ มีหรือจะถูกตู๋กูซิงหลันเล่นงานขนาดนี้ รอจนนางพูดเสียจนปากแห้งลิ้นแข็ง จึงได้ยินฮ่องเต้ ตอบรับด้วยเสียงเยือกเย็นคำนึง "อืม"
"เหลียนไฉเหริน ฝ่าบาทมีรับสั่งแต่แรกห้ามมิให้ผู้ใด เข้าเยี่ยมท่านผู้ที่พำนักอยู่ตำหนักเย็น ตัวท่านแม้มีเจตนาดี แต่นี่ก็ไม่ใช่การขัดขืนพระบัญชาหรือ " หลี่กงกงพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ฉีผินลอบตาโตด้วยความยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ขณะที่เหลียนไฉเหรินถึงกับตัวสั่นระริก
"หม่อมฉัน... หม่อมฉันเพียงคิดจะ ระบายโทสะแทนฝ่าบาท"
พูดแล้วตัวนางก็แทบจะร่วงหล่นลงจากเตียง มากองต่อหน้าพระพักตร์ สองมือกอดพระบาทไว้มั่น
ฮ่องเต้กลับทั้งเย็นเยียบทั้งเฉยชา ทั้งที่ไม่ได้ทำพระเนตรถมึงทึง แต่กลับทำให้เหลียนไฉเหรินหวั่นเกรงเสียจนต้องถอยมือออกมา
นางรู้สึกราวกับว่า ในสายพระเนตรของฝ่าบาทนางเป็นเพียงแค่ฝุ่นละอองไร้ค่า นางตกตะลึงจนลุกไม่ขึ้น นิ่งอยู่ครู่ใหญ่น้ำตาก็ไหลออกเป็นสาย "ฝ่าบาท... พระองค์ทรงเป็นดั่งเทพของหม่อมฉัน เป็นบุรุษที่หม่อมฉันรักมากที่สุด หม่อมฉันไม่อาจทนให้ผู้ใดก็ตามมาหยามพระเกียรติแม้แต่น้อย ที่ทำไปหม่อมฉันไม่เสียใจ คนเช่นตู๋กูซิงหลัน แม้แต่ตำหนักเย็นก็ไม่สมควรจะได้รับ"
ฉีผิน"....!!! " สตรีตระกูลตู๋กู แต่ละคนต่างไม่ธรรมดาจริงๆ คำพูดน่าละอายเหล่านี้กลับพูดออกมาได้
บนหลังคาตู๋กูชิงหลันหัวเราะเบาๆ เมื่อมองจากด้านหลังพระเศียรของฮ่องเต้ลูกชาย ทำให้คิดถึงตอนที่นางพึ่งย้อนอดีตกลับมา ก็ถูกฮ่องเต้พระองค์นี้ถีบลงจากเตียง หากว่า สามารถใช้วิธีกอดขาแล้วได้ผล นางคงทำแต่แรกไปร้อยรอบพันรอบแล้วยังต้องรอให้ถึงมือของตู๋กูเหลียงอีกหรือ?
ฮ่องเต้สุนัของค์นี้ราวกับภูเขาน้ำแข็งที่หล่อขึ้นจากเหล็ก อิสตรีไม่มีผลต่อเขาแม้แต่น้อย!
ตู๋กูซิงหลันชมดูอย่างสนุกสนานอยู่บนหลังคา จนเผลอเรอเขย่าขา ทันใดนั้นใต้ร่างนางก็เกิดเสียงดังเปรี๊ยะ นางถึงกับหน้าเปลี่ยนสี!
" หม่อมฉัน..." เหลียนไฉเหริน น้ำตาคลอเต็มดวงหน้า นางยังไม่ยอมถอดใจ คิดจะกล่าวแก้ แต่คำพูดยังไม่ทันออกจากปากทันใดนั้นก็รู้สึกถึงสายลมวูบเหนือศีรษะ เห็นเงาดำของคนผู้หนึ่งร่วงลงมาพร้อมกับแผ่นมุงหลังคา พอดิบพอดีเหยียบลงบนท้องของนาง ผู้คนไม่ทันมีปฏิกิริยาก็ได้ยินเสียง
"ปุ๊ด~ปุ๊ดดดดดดดด~~~~" ดังชุดใหญ่อย่างชัดเจน
กลิ่นเหม็นหึ่งจากตัวเหลียนไฉเหรินโชยตลบอบอวลไปทั้งตำหนัก เหลียนไฉเหรินแทบคิดจะกระอักเลือดออกมา นางไม่คิดไม่ฝัน ว่า ตัวเองจะทำเรื่องอับอาย ถึงขนาดผายลมต่อเบื้องพระพักตร์ ของฝ่าบาทที่นางเคารพบูชา
ที่น่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ท้องของนางราวกับท้องทะเลที่ถูกพลิกคว่ำ ธาตุภายในร่างกายสับสนอลหม่านไม่อาจกลั้นได้อีก เมื่อผายลมออกมาติดๆ กัน ทุกอย่างที่เคยหยุดไว้ก็ราวกับประตูเขื่อนที่พลันแตกทะลักครืดคราดไม่ยอมหยุด นางคิดอยากจะตกตายไปเสียตอนนี้
พระพักตร์ที่เดิมทีไร้อารมณ์ของฝ่าบาทกลายเป็นดำมืด ดวงพระเนตรดำขลับยามนี้วาวโรจน์จับจ้องอยู่บนร่างของคนชุดดำที่เหยียบเอาเหลียนไฉเหรินลงไปเต็มๆ
ผู้คนในตำหนักต่างตื่นตะลึงกับเสียงผายลมอันน่าตกใจของเหลียนไฉเหริน จนต่างตกอยู่ในภวังค์ไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ ยังคงเป็นหลี่กงกงที่ ได้สติก่อนใครรีบโก่งคอร้องราวกับเป็ดตัวผู้
" มีคนร้ายยยยยย! จับคนร้ายเร็ว จับบบบคนร้ายยยย โอ๊ยยยยยย .... เหม็นแทบตายแล้ว "
ตู๋กูซิงหลัน "...." ขออภัยนางไม่ควรมาชมดูความคึกครื้น ยิ่งไม่ควรชมดูไปอวดเก่งไปด้วย อวดเก่งก็แล้วไป ยังจะเขย่าขาหาสวรรค์วิมานอะไร ชาติก่อนเป็นเจ๊ใหญ่เสียจนเคยชินลืมไปว่า ร่างนี้เป็นมือใหม่ขนาดไหนช่วงเวลาไม่นานยังไม่สามารถปรับตัวได้ เผลอคิดไปว่าตัวเองยังเป็นปรมจารย์นักพรตมีวิชาตัวเบาเหาะเหินเดินอากาศได้
นางรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วมองตรงไปยังใบหน้าดำทะมึนของฮ่องเต้ ฉีกยิ้มหวาน
"ฝ่าบาทลูกแม่..."
คนทั้งหลายถึงได้มองชัดว่าไม่ใช่คนร้ายที่ไหน แต่เป็นไทเฮาน้อยที่ถูกสั่งขังอยู่ในตำหนักเย็นต่างหาก ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างก็คิดถึงคำเรียกหา เมื่อครู่ 'ฝ่าบาทลูกแม่ '
ไทเฮาน้อย อายุเพียงสิบห้าปี ฝ่าบาทปีนี้มีพระชันษายี่สิบสามแล้ว มากกว่านางถึงแปดปี นางเอาความกล้าหาญจากที่ไหนมาเรียกเช่นนั้น ทุกคนต่างเห็นชัดเจน สองพระเนตรของฮ่องเต้ สาดแสงเกรี้ยวกราด
"คุ้มครองฝ่าบาท" ทันใดนั้นราชองครักษ์ต่างบุกเข้ามาทางหนึ่ง คุ้มครองฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ ทางหนึ่ง ล้อมตัว ตู๋กูซิงหลันไว้
อี๋! คนร้ายคิดใช้พิษโจมตีหรือไร นี่มันเหม็นขนาดรมคนให้ตายได้
ตู๋กูซิงหลันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กลั้นลมหายใจ แล้วค่อยกล่าวแก้ตัวคลายความอึดอัดให้ตนเอง " ทำไมกัน ข้าเป็นห่วงญาติผู้น้องไม่อาจวางใจ มาเยี่ยมดูนางเสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ฮ่องเต้ลูกก็..... " พูดถึงตอนนี้นางรู้สึกถึงบรรยากาศเย็นเยือกราวกับจะแช่แข็งคนภายในตำหนัก ก็รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ "คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ บังเอิญเสด็จมา ไม่พบกันเดือนนึง ข้าคิดถึงยิ่งนัก "
คิดถึง? ยัยตัวปัญหานี่ยังไม่ยอม ล้มเลิกความคิดที่จะล่อลวงฝ่าบาท พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ทำไมนางถึงได้เปิดเผยชัดเจน จนไม่รักษาหน้าขนาดนี้ เหลียวดูพระพักตร์ฮ่องเต้ มืดครึ้มเสียจนราวกับพายุจะเข้า ทุกคนต่าง คุกเข่าราบลงไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
เหลียนไฉเหรินถึงกับสมองขาวโพลน นังตู๋กูซิงหลัน! มันมาแล้ว!
นางรีบกลับลำกราบทูลว่า "ฝ่าบาท ตู๋กูซิงหลัน เสียสติไปแล้ว ตอนอยู่ตำหนักเย็นนางบังคับให้หม่อมฉันดื่มน้ำเน่า แล้วยัง บังอาจด่า ว่าท่านอกตัญญู ตอนนี้ ยังรีบมาที่นี่ หวังทำให้หม่อมฉันอับอายต่อหน้าผู้อื่น คิดจะให้ฝ่าบาททอดทิ้งหม่อนฉัน" พูดจบก็ทนไม่ไหว ปล่อยเสียงปรูดปราดออกมาอีกสองสามครั้ง
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วสีหน้าราว กับไม่ได้รับความเป็นธรรม
" เหลียงเอ๋อร์ นั่นคำพูดหรือปล่อยตด? "
เรียกนางว่าเหลียงเอ๋อร์แบบนั้นแทบทำให้เหลียนไฉเหรินแข็งเป็นหิน แล้วยังเรื่องตดอีกยิ่งทำให้นางอับอายหน้าแดงจนถึงใบหู นางหมดกำลังไร้เรี่ยวแรง แก๊สที่มีมวลอยู่ในกระเพาะก็กลั้นไม่อยู่นี่ ไม่กลายเป็นพูดไปตดไปหรือ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นตู๋กูซิงหลันน้ำตาคลอ แทบหยาดหยด โศกเศร้าเกินระงับ
" เจ้าเป็นน้องสาวที่ข้ารักมากที่สุด ข้ามีแต่จะหวังให้ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี แต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา ครองรักกันชั่วฟ้าดินสลาย ไหนเลยจะ..."
นางไม่ทันพูดจบ ก็ทำท่ากล้ำกลืนความเจ็บปวดใจอย่างน่าสงสาร ดูแล้วยิ่งอ่อนแอเปราะบางยิ่งกว่าเหลียนไฉเหรินเสียอีก
เพียงพูดออกมาคนทั้งหลายก็หน้าเปลี่ยนสี เหลียนไฉเหรินถึงกับขวัญกล้าบังอาจวาดหวังถึงตำแหน่งฮองเฮา
" เจ้า "
เหลียนไฉเหรินโกรธจนแทบกระอักเลือด นางย่อมคิดจะเป็นฮองเฮา ในวังหลังนี้มีสตรีคนใดบ้างไม่คิดจะเป็นฮองเฮา? แต่เมื่อนังตัวปัญหานี้พูดออกมา กลับกลายเป็นตัวนางเหลียนไฉเหรินไม่เคารพเบื้องสูง อีกทั้งตู๋กูซิงหลันไม่ให้โอกาสนางแก้ตัว แม้แต่น้อย ทุกคนต่างเห็นนางเปล่งเสียงได้คำเดียว ก็หมดแรงล้มลงกับพื้นแทบเท้าของฮ่องเต้