ตอนที่สิบสอง หินลับมีด
ผมทำสีหน้าเคร่งขรึม ก็อปปี้สีหน้าของล่างฟานอวิ๋นที่ถือแม่น้ำเป็นอาจารีย์
“ภูเขาและฟ้าดิน เปิดเผยวิถีแก่ชาวเรา หามีอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว ท่านจอมปราชญ์หรือเหล่าบรมครู ต่างก็เรียนรู้จากฟ้าดินและธรรมชาติ คิดค้นกระบวนท่า จากกระเรียนหรือเต่า หรือสังเกตมวลหมู่มัจฉาที่ว่ายในธาราและมวลหมู่วิหคที่บินล่องนภา การฝึกวิชาลึกล้ำนัก ผู้บุตรยังเรียนรู้ได้ไม่สิ้นสุดและไม่อาจเอื้อมยกตนเป็นอัจฉริยะขอรับท่านพ่อ”
ตอนนั้นหวังลี่ไม่รู้
เขาคิดว่าคำพูดของเขาคือคำกล่าวถ่อมตนที่ตรงไปตรงมา
นิสัยเปิดเผยแบบอสูรผมแดงของแดนไซฮก
แต่นี่เขามาอยู่ในสถานที่ชอบตีความคำพูดแบบจูนิเบียว
ความหมายของหวังลี่ที่ทุกคนตีความได้คือ
“ไม่มีใครคู่ควรเป็นอาจารย์ของข้าแม้แต่ท่านจอมปราชญ์ก็ตาม”
มันคือความหมายของความเย่อหยิ่งผยองของคนหนุ่มอัจฉริยะที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน
แต่ทุกคนก็ไร้คำพูดที่จะโต้แย้งเพราะเขาแสดงความสามารถให้เห็นจริง
นี่คือสาเหตุที่ในนิยายคนที่เป็น”ขยะ” ไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้จะโดนทุกคนรังเกียจ
แต่คนที่เป็นอัจฉริยะจะโดนชื่นชมและคอยเอาอกเอาใจสารพัด
อายุเท่านี้ก็เรียกว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานขั้นต้นที่จะเข้าสำนักใหญ่ๆแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงความก้าวหน้าของเขาในอนาคต
“อะแฮ่ม คนหนุ่มก็อย่างนี้ เจ้าควรจะหาอาจารย์ที่ประเสริฐเป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ที่คอยพักพิงจะดีกว่า”
อำมาตย์หวังแม้จะอยากแนะนำมากกว่านั้นแต่ก็ไม่ต้องการตำหนิเกินไปนัก คนอัจฉริยะมักใจร้อนและมีความเย่อหยิ่งในตนเอง
อำมาตย์หวัง ก็ได้แต่คิดว่าจะลองแนะนำครูมวยต่างๆในตัวตึกและเส้นสายของเขาในวงราชการและยุทธภพ
เผื่อให้ลูกชายมังกรคนนี้ของเขา กลายเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์กับเหล่าสำนักใหญ่อื่นๆได้
เมื่อนั้นล่ะก็..
“คำสอนของท่านพ่อล้ำค่าดั่งทองคำ ผู้บุตรจะปฏิบัติตาม”
หวังลี่คิดในใจว่าหาอาจารย์ดีดีก็ไม่เลว เป็นเป้าล่อให้เราได้
“ฮา ฮา ฮา วันนี้พ่ออารมณ์ดี เจ้ามีอะไรสักอย่างที่อยากได้ไหม? พ่อรับปากว่าจะให้ทุกอย่าง”
บรรยากาศทั้งโต๊ะกลายเป็นเงียบกริบ
ผมนึกถึงการขอเสี่ยวชุ่ยมาเป็นสาวใช้ส่วนตัว
เพื่อที่จะได้คนฉลาดฝีมือดีมาช่วยงาน
แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าหากขออย่างนั้นคนอาจจะมองผมไม่ใช่มาดแบบหนอนตำรา
ขอเงินหรือทองคำก็น่าจะโดนมองว่าโลภโมโทสันเช่นกัน ไม่เหมาะกับหนอนตำรา
“ขอบคุณท่านพ่อที่เมตตา ถ้าอย่างนั้นผู้บุตรก็ขอบังอาจขอสิ่งของ”
“ว่ามา ว่ามา ขอเพียงบ้านเรามีอยู่พ่อจะให้เจ้า”
“ผู้บุตรขอภาพดั้นด้นคว้าเมฆาของบ้านเรา”
ซึ่งเป็นภาพเมฆหมอก ภูเขา และตัวอักษรว่า “ดั้นด้นคว้าเมฆา มิรู้หาผู้ร่วมทาง”
ซึ่งคนได้ตีความอะไรสารพัด
แต่ที่สำคัญที่สุด มันมีคัมภีร์หยางสุดขั้วซ่อนหลังภาพวาดนั้นล่ะครับท่านผู้ชม
บรรยากาศทั้งโต๊ะกลายเป็นเงียบกริบ
พี่ใหญ่ถึงกับส่งเสียงว่า
“ท่านพ่อ”
และมีการมองตากันระหว่าง ท่านพ่อและท่านย่า
บรรยากาศเงียบอยู่พักหนึ่ง
แต่สุดท้ายก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของท่านพ่อ
และแม้แต่ท่านย่าก็ปิดปากหัวเราะออกมา
มีแต่พี่ใหญ่ที่สีหน้าไม่สู้ดี
เรื่องอะไรกัน?
“เด็กร้ายกาจ เจ้าเลือกได้ดี เลือกเอาของมีค่าที่สุดไปได้” ท่านย่าถอนหายใจหลังจากหัวเราะ
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ เจ้าโจมตีทีเดียวก็เรียกว่าพลิกฟ้าคว่ำดินจริงๆ
ตกลงตามนั้น
ภาพวาดนั้นคือของเจ้าแล้ว นอกจากหวังลี่ที่ท่าทางจะรู้แล้ว พ่อก็ขอบอกกับพวกเจ้าทุกคนว่า คนที่เป็นเจ้าบ้านของเราได้คือคนที่ครอบครองภาพวาดเท่านั้น อย่าเข้าใจผิด หวังลี่ยังไม่ใช่ผู้สืบทอดตระกูล..หากพวกเจ้าสามารถครอบครองภาพวาดจากเขามาได้นะ แต่เงื่อนไขคือต้องไม่ใช่การช่วงชิงด้วยกำลัง ฮา ฮา ฮา หวังลี่ชิงลงมือไปก่อนแล้ว ก็ขอให้พวกเจ้าขยันขันแข็งให้มาก”
เฮ้ย หรือว่านี่คือมุก “หินลับมีด”ที่ตั้งเงื่อนไขบ้าๆบอๆให้ทายาทตระกูลหรือผู้สืบทอดสำนักฆ่ากันหรือต่อสู้แข่งขันกันเอง เพื่อหาผู้สืบทอดที่เก่งที่สุด
..แต่พวกนี้ดันไม่คิดว่าหากพี่น้องร่วมสายโลหิตหรือศิษย์ร่วมสำนักทะเลาะกันขนาดนั้นสำนักมันจะอยู่ได้อีท่าไหน?
หรือแนว”ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้” ที่บางตระกูลต้องทำเพื่อให้กลายเป็นประมุขตระกูล ทำให้แคนดิเดท คนเก่งที่มีแววจะนำตระกูลให้รุ่งเรืองต่อไป ตายระหว่างภารกิจนั่นล่ะ
ตระกูลหรือสำนักมันจะไปรอดไหมล่ะนั่น?
คือมุกที่สตาวอส์ เอาแนวคิดเรื่องนี้ไปใช้ทำให้เกิดซิธ ด้านมืดของพลังขึ้น
“ต้องเป็นสองเสมอ หนึ่งอาจารย์และหนึ่งศิษย์” ที่บางสำนักก็จะให้ฆ่ากันจนเหลือผู้สืบทอดคนเดียวและฆ่าอาจารย์ก็จะได้เป็นผู้สืบทอดสำนักต่อไป
อย่างที่คิดนั่นล่ะครับ
หากคนนั้นมันตายไปกลางทาง สำนักและวิชาที่สืบทอดมาก็จะหายไปพร้อมกับคนนั้นนั่นล่ะ
มันฟังดูเท่ดี แต่วิชามากมายจะหายสาบสูญไปก็เพราะอย่างนั้น ระบบของเหล่าอสูรผมแดงแดนไซฮก ที่มีการตั้งสำนักและมีการถ่ายทอดเป็นทางการจึงดีกว่ามาก
แต่อย่างว่าในโลกนี้การถ่ายทอดวิชาหรือไม่ถ่ายทอดวิชาอะไรให้ เป็นสิทธิของผู้เป็นอาจารย์
ผมไปพูดอะไรต่อต้านพวกนี้จะโดนหาว่าเป็นพวกนอกรีตนอกรอย ทรยศ เนรคุณอาจารย์ว่ากันไปอีก
“หวังลี่ขอบังอาจรับภาพวาดไปแล้ว ขอบคุณท่านพ่อที่เมตตา”
อย่างน้อยเราก็น่าจะได้วิชา หยางสุดขั้วมาช่วยอี้จิงในการฝึกวิชามากขึ้นล่ะนะ
ผมพยายามทำท่าเหม่อมองไปที่ท้องฟ้ากว้างไกลและทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าที่ไม่พอใจของพี่ใหญ่และบุตรชายคนอื่นๆที่มองผมด้วยความอิจฉา
ผมถอนหายใจเป็นพักๆเมื่อสบตาพวกเขา เพื่อให้ได้มาดของอัจฉริยะที่ล้ำลึก