ตอนที่สิบเอ็ด อัจฉริยะอันดับหนึ่งในแผ่นดิน
วันนี้อาหารเย็น เวลาผ่านไปไม่ถึงสี่ชั่วโมง
แต่การเดินเหินของอี้จิงนั้นกลายเป็นแบบสงบไร้สุ้มเสียง
ผมว่านี่จะเป็นมุกให้เธอแอบย่องเข้าหาแอบฟังพระเอกได้ในอนาคต ที่เธอเดินตามหลังผมมาไม่เกินสามก้าวและเดินตามจังหวะเท้าของผม
แม้จะรู้สึกสยองนิดหน่อยที่เหมือนมีนักฆ่าไล่ตามหลัง แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ
อี้จิง คงเริ่มรู้ตัวว่าอยู่ต่อหน้าท่านย่าก็ให้ทำสงบเสงี่ยมเจียมตัวไว้อย่างที่ผมสอนแน่ๆ
ส่วนฝีเท้าของผมกลายเป็นหนักแน่นมั่นคง
กล้ามเนื้อในหลังราวกับเรียงตัวใหม่ หลังตั้งตรง
หน้าอกและกล้ามเนื้อ ราวกับวางสมดุลกันอย่างดีในการขยับและการเคลื่อนไหวร่างกาย
อาการติดขัดที่ผมไม่รู้เลยว่ามีอยู่ก่อนการฝึกยุทธนั้นหายไป
ผมลองสังเกตจากการที่ขับของเสียที่ไม่น่ามีอยู่จริงออกจากร่างกายนั้น
จากการสังเกต มันไม่ใช่เพียงแค่ “แข็งแรงขึ้น” เท่านั้นในส่วนของกล้ามเนื้อที่และร่างกายที่ขับของเสียออกแต่คือความรู้สึกที่”ดีขึ้น”ในภาพรวมและการเคลื่อนไหว
กระบวนท่าเว่อๆที่คนธรรมดาไม่ควรจะทำได้ ก็คงเป็นไปได้เพราะเหตุนี้นั่นเอง
และทั้งที่เราเดินลมปราณคู่ เรียกว่าศึกษามาจากตำราเดียวกันก็คงจะได้
แต่ผลลัพธ์กลับต่างกันไป
แน่นอน ภายนอก อาจมองว่าผมอาจจะก้าวหน้ามากกว่า แต่มันคือลักษณะของทางหยางที่ดูเปิดเผยตรงไปตรงมา
เคล็ดวิชาสายหยินจะเก็บซ่อน มิดชิดมากกว่า
มันจะเป็นมุกที่จอมยุทธชายชราจะเชื่อมั่นในพลังปราณที่สั่งสมมาหลายสิบปีของตนเอง
“เกลือที่ข้าทานยังมากกว่าข้าวที่เจ้ากิน สะพานที่ข้าขามยังมากกว่าถนนที่เจ้าเดิน ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะแพ้เจ้าในด้านลมปราณ” ซึ่งก็จะแพ้ในการปะทะกับนางปีศาจแห่งสำนักมารไป
ผมกำลังคิดว่าผมน่าจะคิดวิชาหรือแนวทางการต่อสู้ที่จะค่อยๆสอนอี้จิงในภายหลัง เพื่อป้องกันมุกว่า
“หวังลี่ได้มีลมปราณอยู่เต็มเปี่ยม เสียอย่างเดียวที่มิอาจใช้ออก”
ในบ้านของอำมาตย์หวัง ขุนนางสามรัชกาล(รับราชกาลในฮ่องเต้ บิดาของฮ่องเต้องค์ก่อนตอนที่ยังหนุ่ม ฮ่องเต้องค์ถัดมาที่เป็นพี่ชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน..และแน่นอน สมกับเป็นแนวดราม่าแนวนี้ พวกรุ่นก่อนกับฮ่องเต้ มีความรัก ความแค้น ดราม่ากันราวกับตำนานรักดอกเหมยอีกเช่นกัน ที่สืบทอดต่อมายังรุ่นพวกเราที่เป็นลูก)
เวลาอาหารเย็นหากท่านพ่อไม่ติดภารกิจ ก็จะกลับมากินข้าวกับพวกเรา
เป็นธรรมเนียมประจำบ้านของเรา
มื้อเช้า จะกินรวมกันเพื่อตรวจความเรียบร้อย ส่วนมื้อกลางวันแล้วแต่ความชอบของบุคคล ตอนเย็นจะกินรวมกันอีกครั้งหนึ่ง
แต่เนื่องจาก ตำแหน่งขุนนางมีงานมากพอสมควร
การดูแลหลังบ้านจึงเป็นเรื่องของท่านย่าและฮูหยินใหญ่นั่นเอง
แม้จะข้ามมื้อกลางวันไปก็ไม่ทำให้ผมหิวสักเท่าไร แต่ตามการคำนวณของผมการสร้างกล้ามเนื้อ ร่างกายต้องการโปรตีนและพลังงาน ผมจึงวางแผนที่จะทานโปรตีนให้มากขึ้นเพื่อให้สามารถสร้างร่างกายที่แข็งแกร่งให้ได้
เวลาหิวก็กิน เวลาง่วงก็นอน อย่าให้หมกมุ่นกับการบำเพ็ญเพียรจนลืมการรักษาร่างกาย
ท่านพ่อหรืออำมาตย์หวังก็เป็นคนที่หน้าตาดี สองแขนขาเปี่ยมพลังแต่เริ่มดูเจ้าเนื้อมากขึ้นแล้ว
ใบหน้าเข้มแข็งมีพลัง ร่างกายหนาบึกบึนสมเป็นผู้ฝึกยุทธแม้จะเป็นขุนนางสายบุ๋นก็ตาม
ประมาณระดับหก ไม่สิ เจ็ดสินะ ซุกงำประกายไว้เพื่อให้คนคาดการณ์ผิด..เอ๊ะ เราสามารถคำนวณพลังยุทธของชาวบ้านได้ตอนที่พบเจอพวกเขาแล้วหรือนี่?
เป็นเพราะผมอ่านนิยายมาก่อนเลยพอรู้ว่าอยู่ขั้นที่เท่าไร เพราะสังเกตรายละเอียดเล็กน้อยออกหรือว่า วิชาที่ผมให้อี้จิงฝึกมันโกงกว่าที่ผมคิด?
ทั้งที่พลังของผมต่างกับท่านพ่อหลายขั้นใหญ่นี่นะ?
ห่างกันราวกับพิภพกับสวรรค์..ไม่สิ
ห่างกันระหว่างตึกชั้นสามกับตึกชั้นสิบสี่...ด้วยพลังที่เข้มข้นของอี้จิงนั้นกลบความแตกต่างของพลังที่ควรจะห่างชั้นกันมหาศาลเป็นพลังที่สามารถอยู่ในระดับเดียวกันได้
การฝึกวิชากับอี้จิงทำให้ประสาทสัมผัสของผมเฉียบคมขึ้นหลายเท่า ท่าทางผมต้องทดลองเรื่องพลังปราณมากขึ้นแล้ว
ท่านพ่อกวาดตามองมาที่ผมในขณะที่เริ่มทานอาหารและโอภาปราศรัยกับฮูหยินต่างๆ
ผมก็กินอย่างเรียบร้อย
ส่วนอี้จิงโต๊ะอาหารได้มายกวางไว้ข้างหลังผมตามการจัดการของท่านย่า
ท่านพ่อก็ทำสีหน้าครุ่นคิดแต่มิได้ว่ากล่าวประการใด เพราะการดูแลเรื่องราวในครัวเรือคือเรื่องของอิสตรี
ส่วนการดูแลเรื่องราวภายนอกคือหน้าที่ของบุรุษคือแนวคิดของยุคนี้
ถึงแม้ว่าจะมีแม่ทัพหญิงที่เป็นคู่แข่งกับนางเอกเวลามีฉากหวานกับตัวเอกชายคนหนี่งที่เป็นแม่ทัพก็ตาม
หรือมีแม่หญิง หมอเทวดาที่เป็นผู้หญิง บัณฑิตหญิงหรืออะไรอีกตามพอสมควร
อาจจะเพราะพอมีวรยุทธมาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้สตรีสามารถทำงานที่ต้องใช้วรยุทธได้มากขึ้นล่ะมั้ง
ฟิ้ว
จอกสุราจอกหนึ่งโยนมาทางผมแฝงแรงแบบไม่ต้องการให้ถูกทำร้ายแค่ต้องการตรวจสอบพลัง
ผมรับจอกแก้วมาจากการปาของท่านพ่อ
วางไว้บนมือแบบไม่ไหวติงไม่มีการหมุนมือเพื่อสลายพลัง
จอกอยู่บนมือผมอย่างพอดี
“ขอบคุณท่านพ่อที่ประทานสุรา”
ผมชูจอกที่ปามาแบบสุราในแก้วไม่กระฉอกคารวะไปทางท่านพ่อ
ท่านพ่อจ้องแล้วหัวเราะ
“วะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า บิดามีลูกชายอัจฉริยะช่างน่ายินดีนัก วรยุทธของเจ้าเกินกว่าระดับนักยุทธระดับหนึ่งแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงเจ้าเก็บตัวท่องหนังสือเป็นระยะเวลานาน ก็เพื่อแสดงปัญญาและวิชาฝีมือในคราวเดียว”
ท่านพ่อลูบคางและหนวดอย่างสำราญใจพร้อมกับครุ่นคิด
เฮ้ย
วิชาที่เห็นนี่ก็แค่ฝึกแค่วันเดียวนะ ถ้าพูดจริงๆไม่ถึงวันด้วยซ้ำ
ท่านพ่อท่าทางจะเข้าใจผิดว่าผมเป็นอัจฉริยะแบบในแนวนิยายที่เก็บตัวนับสิบปี ซุกงำประกายไว้เพื่อแสดงฝีมือทีเดียว
แต่หากอธิบายไปว่า วิชาที่ผมมีนี่คือวิชาที่ฝึกได้ภายในวันเดียว..ได้เป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิมแน่
ทุกคนคงคิดว่าผมโกหก หรือ ถ้าเชื่อผม ก็ยิ่งเลวร้ายใหญ่จะเผลอคิดว่าผมเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในแผ่นดินในด้านเชิงยุทธ
ถ้าเปิดเผยว่าอี้จิงมีธาตุเก้าหยินล่ะก็...พรรคมารหรือแม้แต่ฝ่ายธรรมะที่ปลอมเป็นพรรคมารก็ได้รวมกำลังมาบุกฆ่าพวกเราแน่ๆ
เป็นการผิดพล็อตดั้งเดิมไปที่ผมไม่คิดว่าอี้จิงจะตายหรอก
แต่พวกเรานี่สิจะตายก่อน
เป็นสถานการณ์ที่เรียกว่าบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟค ผลกระทบที่จะทำให้เรื่องราวในอนาคตเลวร้ายกว่าเดิม
ผมทำท่าถอนหายใจเพราะรู้สึกเหนื่อยใจจริงๆ
“หามิได้ท่านพ่อ ลูกเพียงแต่อ่านตำราความรู้จากท่านจอมปราชญ์และเหล่าปราชญ์บรมครูทั้งหลาย และเพ่งพินิจฟ้าดิน ถือวิถีแห่งฟ้าเป็นอาจารีย์เท่านั้นเอง”
ผมพูดจริงทุกคำแค่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด