ตอนที่เจ็ด การสอนอัจฉริยะ
“..อยู่บ้านเชื่อฟังบิดา ออกจากบ้านเชื่อฟังสามี...”
เธอบรรยายได้อย่างไม่ขัดเขิน
มิน่า เป็นเด็กฉลาดตามที่คนเขียนโม้ไว้จริงๆ
ผมตีหน้าเคร่งขรึมและพยักหน้าเล็กน้อย
“ทำได้ดีมากเธออ่านมาหมดแล้วจริงๆ”
“คะค่ะ ท่านแม่เคยสอนให้น่ะคะเอ..”เธอยิ้มให้ผมแต่เห็นผมตีหน้าเข้มเลยหน้าจ๋อยไปอีก
อ๊ะพึ่งนึกได้ว่า ธรรมเนียมห้ามผู้หญิงแสดงความเก่งกาจสินะ? ตามธรรมเนียมสนับสนุนสามีเป็นหลักแกนกลางของชีวิต แต่ก็มีแม่ทัพหญิงที่สร้างดราม่าให้เธอกับแม่ทัพชายด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ธรรมเนียมประเพณีของโลกนี้ทำเอาผมมึนไปพอสมควร
แม่ของเธอก็เรียกว่าไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดานับเป็นอัจฉริยะแห่งยุคนั่นล่ะ ถึงทำอะไรอย่างสอนหนังสือลูกตัวเองตั้งแต่ยังเด็กๆในชาติก่อนกว่าผมจะอ่านหนังสือออกก็ปากไปห้าขวบ แถมยังไม่สามารถสอบเข้า MENSA ได้แบบเพื่อนของผมบางคนอีกต่างหาก เฮ้อ ผมถึงอิจฉาอัจฉริยะอยู่ลึกๆนั่นล่ะ
แต่นั่นมันเรื่องส่วนตัวของผม
แต่ผมพอใกล้กับพวกอัจฉริยะมาบ้างเลยพอรู้แนวทางรับมือกับพวกเขาพอสมควร
ผมไม่คิดจะแข่งกับพวกอัจฉริยะเลยแม้แต่น้อยเพราะแสดงว่าพรสวรรค์เฉพาะตัวมีอยู่จริงเมื่อเด็กหญิงห้าขวบมีไอคิวสูงและตอบปัญหาได้เก่งกาจยิ่งกว่าผม
เด็กสาวในประเทศอังกฤษก็มีไอคิวสูงที่สุดในโลกและสามารถตอบคำถามยากๆทางคณิตศาสตร์ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด
ที่ผมจะทำคือ นำทางเธอไปสู่ปัญหาที่ให้เธอไขคำตอบ เพื่อที่ผมจะได้เรียนรู้คำตอบจากเธอเท่านั้น
ผมยังคิดว่ามันเว่อๆที่เธอสามารถบัญชาการรบได้ในตอนหลังๆของเรื่อง แต่ก็อย่างว่าล่ะ อเล็กซานเดอร์มหาราช ครองโลกได้ครึ่งโลกและเสียชีวิตในตอนที่อายุสามสิบสามปีด้วยซ้ำ
เรียกว่าบัญชาการรบได้ตั้งแต่ตอนที่ยังอายุไม่ถึงสิบเจ็ดด้วยซ้ำ
อย่าเอาตนเองไปเทียบกับบุคคลในประวัติศาสตร์
ไม่ได้พยายามพูดให้เสียกำลังใจแต่
ทำความเข้าใจก่อนว่า บุคคลเหล่านี้ที่เราเห็น เขามีความสามารถโดดเด่นในทางนั้นที่ความพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถกลบพรสวรรค์ได้จริงๆ
ดังนั้นผมคิดว่าจะลองเรียนรู้จากเธอเป็นหลัก แต่จะฉากหน้าทำเป็นสอนเธอนั่นเอง
ผมผงกศีรษะรับคำพูดของเธอ
“ตอบได้ดีมากตรงตามตำราเลย”
สีหน้าของเธอยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“แต่เธอเชื่ออย่างนั้นจริงๆไหม? เห็นด้วยกับเหตุผลของคำที่ท่านจอมปราชญ์กล่าวไว้จริงๆไหม?”
ผมถาม ค่อนข้างมั่นใจว่าเธอจะตอบว่าไม่เห็นด้วยเพราะเธอมีแนวคิดคล้ายผู้หญิงปัจจุบัน
“นะ..หนู..มะไม่รู้ค่ะ”เธอก้มหน้าและเอ่ยเสียงอ่อย
ฮืม ท่าทางเธอจะหวาดกลัวที่ผมพูด ไม่ได้การล่ะ
การเลี้ยงดูอัจฉริยะ ต้องทำต่างจากคนทั่วไประบบของอสูรผมแดง ที่ให้ซักถามนั้นดีที่สุด ในการลับคม โต้วิวาทะ คารม ฝึกทักษะในการถกเถียงและการแสวงหาความรู้
เป็นการไม่ดีที่เธอจะสูญเสียกำลังใจในการเรียนรู้ ต้องใช้วิธีในการให้เธอแสดงความคิดเห็นเป็นระบบออกมามากกว่านี้และใช้ทักษะของเธอเองพิชิตตัวเธอเอง นั่นคือแผนของผม
ผมลูบหัวเธออย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัว การไม่รู้ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก มันแปลว่าเราต้องแสวงหาความรู้เพิ่มเท่านั้นเอง แต่เรื่องนี้เธอคงกลัวว่าพี่จะโกรธถ้าพูดอะไรไปใช่ไหม? บอกมาเถอะ หากอยู่ด้วยกันจะพูดอะไรกันก็ได้”
ผมพยายามให้เธอเปิดเผยกับผมและเลี่ยงให้เธอพูดกับผมเป็นส่วนตัวเพื่อรักษาภาพลักษณ์การสอนศีลธรรมจรรยา
“พยายามหาสิ่งที่เธอเชื่อด้วยตนเองและบอกมากับพี่ก็ได้ หากเธอรู้ตัวว่าไม่รู้เรื่องอะไร แปลว่าเรามีบทเรียนที่ต้องเรียนวันนั้นเพื่อขจัดความไม่รู้ของเราแล้ว แนวทางของความรู้ คือการเรียนรู้ชั่วนิรันดร์ ท่านจอมปราชญ์ก็คาดหวังว่ามิตรสหายที่พบพาน คือผู้ที่สามารถสอนท่านจอมปราชญ์ในเรื่องที่ท่านไม่รู้ได้”
ผมไม่ได้ตำหนิการเรียนตามแบบแผน
มันดีที่สุดแล้วสำหรับการสอนคนหมู่มากที่มีสติปัญญาเฉลี่ยระดับปานกลาง
แต่แบบเรียนที่มีไว้เพื่อระดับปานกลาง ไม่เหมาะกับคนปัญญาทึบหรืออัจฉริยะที่สติปัญญาไม่อยู่ในเส้นเกณฑ์มาตรฐาน
จึงต้องมีแบบเรียนโดยเฉพาะของคนสติปัญญาสูงหรือต่ำไปจากเส้นมาตรฐานนั่นเอง
MENSA คือองค์กรที่คนที่อยู่ใน 2% ของคนที่สติปัญญาเกินเส้นมาตรฐานของคนในโลก
น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มี MENSA มีแค่ผมที่พยายามจะไม่ทำให้พรสวรรค์ของเธอเสียเปล่าเท่านั้น..และแน่นอนเพื่อเอาตัวรอดของผมเอง
“เอาล่ะ เมื่อเธอเรียนรู้จบตามตำราแปลว่าเรามีปัญหาที่ต้องเรียนรู้อีกมาก ลองเขียนอธิบายความคิดของเธอลงในกระดาษ ด้วยถ้อยคำที่สั้น เข้าใจง่าย สมมติว่าพี่เป็นคนด้อยสติปัญญาและไม่เคยรู้เรื่องศีลธรรมจรรยามาก่อน อี้จิงจะอธิบายอย่างไรให้พี่สามารถเข้าใจได้?”