19
กาลเวลาทำให้เรายอมรับ และเมื่อยอมรับก็จะเริ่มเยียวยา
คืนนั้นแม้ภูผาจะอยู่เฝ้าด้วยการนั่งบนเก้าอี้เยี่ยมไข้ห่างออกไปไม่ไกล แต่ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นอีกหลังจากนั้น คนตัวเล็กไม่รับรู้ว่าเขานอนหลับบนเก้าอี้ที่นั่งไม่สบายตัวนั่นหรือเปล่า เพราะวันอันแสนยาวนานดูดซับพลังงานเขาไปจนหมดสิ้น ความเหนื่อยล้าจึงค่อยๆ กลืนกินสติสัมปชัญญะของเขาไปทั้งที่สองข้างแก้มเปียกชื้น
หยาดหยดใสเหล่านั้นถูกเกลี่ยออกให้อย่างเบามือ โดยคนที่ไม่อาจหลับตาลงได้ตลอดทั้งคืน
กระทั่งท้องฟ้ามืดหม่นค่อยๆ ถูกกลืนกินด้วยแสงอาทิตย์ วันนี้เมฆหมอกของพายุพัดผ่านไปแล้ว
เสือน้อยได้รับยาและพักผ่อนอย่างเต็มที่ตลอดคืน อาการบวมบริเวณข้อเท้าจึงลดลงมาก แม้จะยังมองเห็นอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อวานแล้ว อาการปวดก็บรรเทาลงด้วยเช่นกัน หลังจากทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลรับยาเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับ เด็กชายตัวน้อยหลับอยู่บนตักคุณอาที่เบาะหน้าด้านข้างคนขับ จนกระทั่งถึงที่หมายโดยไร้การสนทนา เมื่อต่างคนต่างจมจ่อมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
แม่ทิพย์รีบเดินออกมารับทันทีที่ได้ยินเสียงรถ
"เป็นยังไงบ้างลูก"
"กระดูกไม่หักไม่ร้าวครับ แค่กล้ามเนื้ออักเสบ คุณหมอรัดผ้าที่ข้อเท้าให้แล้ว ช่วงนี้อย่าเพิ่งให้ลงน้ำหนักเท้าข้างที่เจ็บ เจ้าตัวซนคงอดซ่าไปอีกหลายวัน" ต้นน้ำเหลือบมองเด็กน้อยที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดคุณภูผา วันนี้เสือน้อยอยากให้คุณอาอุ้ม อาจเพราะรู้สึกได้ว่าพี่ชายสีหน้าไม่ค่อยดี
แม่ทิพย์สังเกตเห็นดวงตาบวมช้ำเช่นกัน แต่เลือกที่จะไม่พูดถามอะไร
"หมิวมารับน้องเข้าข้างใน คุณภูผาแขนเป็นยังไงบ้างคะ"
"เย็บห้าเข็มครับ ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะค่ะ เมื่อคืนคงนอนกันไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ใช่ไหม" คำถามแฝงความนัยนั้นภูผาเข้าใจดี แม่ทิพย์เห็นรอยช้ำในดวงตาหงส์คู่นั้นแล้ว สาเหตุคิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเขา
"ครับ"
หญิงร่างท้วมยิ้มรับ เดินเข้าไปประคองต้นน้ำกลับเข้าด้านใน ดูท่าการเจ็บตัวครั้งนี้ของคุณภูผาจะไม่ได้ประโยชน์อย่างที่คิด
"นอนพักอีกสักหน่อยไหมลูก"
"ไม่ครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย"
คนฟังเพียงยิ้มรับบางเบา ....เวลาคงเดินทางมาถึงแล้วสินะ
"โอเคจ้ะ"
ประตูห้องสำนักงานถูกปิดล็อกเพื่อความเป็นส่วนตัว หากใครมีธุระเพียงแค่เคาะกระจกพวกเขาก็จะได้ยิน คนสองวัยนั่งลงเผชิญหน้ากัน คนหนึ่งสีหน้าไม่สู้ดีนัก ส่วนอีกคนแย้มรอยยิ้มบางโอบอุ้มไว้ด้วยความมีเมตตา
เป็นคนอายุน้อยกว่าสูดลมหายใจลึกเอ่ยถามขึ้นมาก่อน
"วันนั้นคุณภูผามาคุยอะไรกับแม่ทิพย์บ้างครับ" ต้นน้ำอยากรู้เรื่องทั้งหมดจากคนที่เป็นกลาง และสำคัญคือเป็นคนที่รู้จักต้นน้ำดีที่สุด เขาอยากรู้ว่าอะไรทำให้แม่ทิพย์เปลี่ยนใจ
"พร้อมที่จะฟังแล้วใช่ไหม"
"ครับ ผมอยากรู้เรื่องทุกอย่างเลย"
....
เย็นวันนั้น
หลังได้รับข้อความจากบุคคลปริศนาภูผาก็เดินทางไปยังเดอะคลับด้วยตัวเอง เขาควรเชื่อมั่นในตัวกระต่ายน้อยของเขา แต่รูปภาพที่เห็นชัดเจนขนาดนี้จะบอกว่าตัดต่อก็คงไม่ใช่ คนตัวเล็กโทรศัพท์คุยกับเขาตลอดในช่วงเวลาที่แยกจากกัน แม้เป็นบทสนทนาที่ไม่ยืดยาวมาก แต่ก็มีโอกาสหลายช่วงจังหวะที่ต้นน้ำจะบอกเขาได้ แต่นี่เจ้าตัวไม่เคยบอกว่าจะออกมาพบกับกรณ์ นั่นหมายความว่าคนตัวเล็กจงใจปกปิด
เพราะอะไร?
แล้วใครกันที่คอยยุแยงแทงข้างหลังต้นน้ำแบบนี้
ภูผาต้องการคำตอบเขาถึงได้เดินทางไปเดอะคลับทั้งที่ควรกลับบ้านพักผ่อนความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง อารมณ์หงุดหงิดจึงมากขึ้นตามลำดับ
ใบหน้าหล่อเหลาเข้มขึ้นหลายส่วนเมื่อได้เจอกับเด็กหนุ่มร่างเล็กที่เขาค่อนข้างคุ้นตา และเมื่ออีกฝ่ายแนะนำตัวว่าชื่อก้านธูป ภูผาถึงได้นึกออก
"เธอเป็นเพื่อนของต้นน้ำไม่ใช่หรือไง" ตาคมกล้ามองสำรวจคนตรงหน้า เลือกใช้คำว่าเพื่อนแทนคำว่าน้องชายที่ต้นน้ำเคยพูดให้ฟัง เท่าที่จำได้กระต่ายของเขาบอกว่าก้านธูปเป็นเด็กดี
เด็กดี?
"ผมทนเห็นเขาทำแบบนี้กับคุณไม่ได้ครับคุณภูผา ยิ่งผมเป็นเพื่อนสนิทของเขาผมยิ่งต้องเตือนคุณ"
"เตือนฉัน? แทนที่จะห้ามปรามเรื่องนี้กับเพื่อนเธอ คนที่แทงข้างหลังคนอื่นไม่ควรเรียกตัวเองว่าเพื่อนหรอกนะ" น้ำเสียงเข้มดุดันของคุณภูผา ช่างแตกต่างกับเวลาที่อยู่กับกระต่ายน้อยลิบลับ ทำเอาก้านธูปที่นึกเทียบเคียงกับต้นน้ำหวาดกลัว แต่ในเมื่อเดินหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะถอยหลังกลับไม่ได้ การเผยตัวตนครั้งนี้เท่ากับเขาหงายไพ่ออกมาให้เห็นแล้ว
ต้นน้ำจะรู้หรือเปล่าว่าคนที่เขาเห็นเหมือนเป็นน้องชายมองเขาอย่างไร คำพูดที่ก้านธูปพูดออกมาแต่ละคำไม่บ่งบอกถึงความลำบากใจสักนิด เด็กคนนี้จงใจ ไม่ใช้ไร้เดียงสา และแผนการคืบคลานอย่างใจเย็นนี้ก็ดำเนินมานานมากแล้ว
"คุณภูผาจะมองผมแบบไหนก็ได้ แต่ผมแค่อยากให้คุณรู้ความจริงทั้งหมดครับ ผู้ชายคนนั้นไม่คู่ควรกับคุณเลย"
"แล้วเธอควร? "
"ผ....ผม ไม่ได้บอกว่าตัวเองคู่ควร" คนตอบอ้อมแอ้มเสียงเบาลง ก้มใบหน้าซ่อนความไม่พอใจที่ถูกจับได้ตั้งแต่แรก
เอาเถอะ เขาจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกัน "มีอะไรก็พูดมาเถอะ อะไรคือความจริงที่เธออยากให้ฉันรู้"
"คุณเห็นรูปแล้วว่าลับหลังคุณผู้ชายคนนั้นทำอะไร เขารับปากคุณว่าจะไม่รับงานใครอีก แล้วสุดท้ายเขาก็เห็นเงินมีค่ามากกว่าคำสัญญา ดูสิครับ ถ้าคุณไม่เชื่อ" ก้านธูปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดภาพถ่ายเช็คเต็มๆ ใบให้ภูผาดู "เช็คเงินสดจำนวนสองล้านหลังจากหักค่าใช้จ่ายบางส่วนเข้าเดอะคลับแล้วไม่ใช่จำนวนน้อยๆ นะครับ ไม่แปลกหรอกที่เขายอมเสี่ยงรับงานโดยไม่บอกคุณ แลกกับข้อแก้ตัวเล็กๆ น้อยๆ กับเสียเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง"
ภูผาไม่สนใจคำพูดยุแยงส่งเสริม แต่เช็คเงินสดลงชื่อต้นน้ำไว้ชัดเจนจริงๆ อย่างที่อีกฝ่ายว่า การจ่ายเงินของเดอะคลับเมื่อเป็นเงินจำนวนมากบางครั้งมาม่าจึงใช้วิธีเซ็นเช็คให้แทนการโอนเงิน
แล้วห้าล้านที่เขาให้ไปล่ะ? เอาไปไว้ที่ไหน ต้นน้ำไม่มีเหตุผลอะไรต้องใช้เงินจำนวนมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ
ค่าใช้จ่ายทุกเดือนๆ จากภูผาที่ต้นน้ำได้รับไม่เคยต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท จะว่าติดความหรูหราก็ไม่ใช่ ของแบรนด์เนมก็น้อยครั้งมากที่จะซื้อ ข้าวของมีค่าบนตัวต้นน้ำล้วนมาจากภูผาทั้งนั้น
ต้นน้ำไม่เคยขาดเหลือเรื่องเงิน
"เพราะไม่เคยพอไงครับ"
ก้านธูปรีบราดน้ำมันลงบนกองเพลิงในขณะที่ไฟกำลังคุ เมื่อเห็นช่องว่างที่เกิดขึ้นจากความสงสัย เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มเคลือบแคลงใจ อะไรที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดจะถูกขุดค้นขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง
"นี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหมล่ะครับ ไหนจะยังครั้งอื่นๆ ที่ผมไม่รู้และคุณไม่เห็นอีกล่ะ ถ้าเขาพอเขาก็ควรหยุดที่คุณนานแล้ว ต่อให้คุณอนุญาตให้เขารับงานคนอื่นเพราะห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย แต่เขาทำงานมาตั้งกี่ปีแล้วล่ะครับ เงินที่เขาได้รับจากคุณมันน้อยเสียที่ไหน ถ้าเขารักเขาถนอมร่างกายไว้เพื่อคุณเพียงคนเดียวจริงๆ ใช่ว่าสามเดือนเขาจะอยู่ไม่ได้ ต้นน้ำน่ะ...."
"พอได้แล้ว! " ภูผาตัดบทเสียงเย็น รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงจงใจยุแยงแทงข้างหลัง แต่สิ่งที่ได้ยินกลับทิ่มแทงใจจนน่าโมโห ไม่ควรเชื่อแต่ก็ดันเผลอคล้อยตาม
เพราะความสัมพันธ์มันเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินมาตั้งแต่แรก
เพราะเขาจ่าย เขาถึงได้รับการออดอ้อนเอาใจ
มันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ?
ผิดอะไรที่โฮสจะรับลูกค้าได้หลายคน
ภูผาบอกตัวเองได้ทันทีว่ามันไม่ถูกต้อง! เขากับต้นน้ำไม่ใช่แบบนั้น มันเป็นความสัมพันธ์ที่มีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะทั้งหวงทั้งห่วงเพียงแค่โฮสคนเดียวทำไม
เขาแค่ยังไม่มั่นใจมากพอ
และการที่อีกฝ่ายคอยทรยศความเชื่อใจของเขายิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง
ภูผาสั่งเครื่องดื่มดีกรีร้อนแรงมาดับอาการคุกรุ่นภายใน โดยมีก้านธูปคอยอำนวยความสะดวกและปิดปากเงียบอย่างรู้สถานการณ์ สีหน้าไม่รับแขกของภูผาทำให้มาม่าไม่กล้าเดินเข้ามาทักทายด้วยตัวเอง
แก้วแล้วแก้วเล่าทำให้ความคิดอ่านเริ่มเชื่องช้าลงเรื่อยๆ แต่เขามั่นใจว่าแอลกอฮอล์เท่านี้ยังไม่สามารถทำให้เขาเมาได้ ทว่าภาพตรงหน้ากลับโคลงเคลงเสียแล้ว กระทั่งแก้วล่าสุดที่ดื่มเข้าไปตัดขาดความเป็นตัวเองไปจนหมดสิ้น
ร่างสูงใหญ่โงนเงนพิงเข้าหาคนด้านข้างที่รอรับอยู่แล้วด้วยความเต็มอกเต็มใจ
แผนการทั้งหมดที่เฝ้าเพียรพยายามมาตลอดก็เพื่อวันนี้ ใครจะรู้ว่ามันแสนง่ายดาย
ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวทำให้น้ำหนักมากเกินคาด กว่าจะโซซัดโซเซพาไปหามาม่าได้ก็ทำเอาแทบหมดเรี่ยวแรง ดีที่ภูผายังไม่หมดสติในทันทีพอช่วยก้าวเดินได้อยู่บ้าง
"มาม่า คุณภูผาอยากใช้ห้องเชือด"
เพล้ง!
แก้วน้ำเปล่าที่อยู่ในมือหญิงสาวร่วงแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อได้ยินรูปประโยคจากปากก้านธูป
"อะไรนะ? เมื่อกี้....เธอ พูดว่าอะไรนะ" มองทั้งสองคนสลับกันเพื่อยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้ตาฝาดหูฝาดไป
ก็นี่ก้านธูป! ไม่ใช่ต้นน้ำ เด็กคนนั้นกลับไปจัดการเรื่องสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วจะมาเข้าห้องเชือดกับคุณภูผาที่นี่ได้อย่างไร!
"คุณภูผาขอกุญแจห้องเชือดครับ" ก้านธูปเน้นย้ำอีกครั้งชัดถ้อยชัดคำ ก่อนเสียงฮึดฮัดไม่พอใจจากคนใกล้หมดสติจะคำรามให้ได้ยิน
ร่างกายโงนเงนเสียจนเธอต้องเข้าไปประคองด้วยอีกแรง
"เธอรู้หรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมาก้านธูป! นี่คุณภูผานะ"
"ก็คุณภูผาสิครับ มาม่าเห็นว่าเป็นใครล่ะ จะให้ผมขัดคำสั่งคุณภูผาหรือครับ"
ร่างสูงใหญ่ทั้งเหนื่อยทั้งหงุดหงิด อาการมึนเบลอยิ่งทำให้ความคิดอ่านสับสนปรวนแปร ยิ่งเสียงพูดคุยหึ่งๆ ใกล้หูไม่ยอมหยุดเสียทียิ่งน่ารำคาญ
"ฮื่อ! ถอย! "
คำเดียวเท่านั้น ทำให้มาม่ารีบยื่นส่งกุญแจส่งให้ก้านธูปอย่างไม่มีทางเลือก
เพราะเธอไม่รู้ และไม่เคยคาดคิดว่าก้านธูปจะกล้าถึงเพียงนี้ คิดว่านี่คือความต้องการของคุณภูผา
มือทั้งสองข้างยังคงสั่นเทาทั้งที่ก้านธูปแบกคุณภูผาเดินจากไปแล้ว ในใจนึกถึงคนน่าสงสารเพียงคนเดียว
ต้นน้ำ.... ต้นน้ำ
เธอควรทำอย่างไรดี?
อีกด้านหนึ่งเมื่อก้านธูปพาภูผาไปจนถึงห้องเชือดได้สำเร็จ ถูลู่ถูกังไปจนถึงเตียงได้เหงื่อก็ไหลโซมกายแล้ว ประตูยังไม่ทันล็อกให้สนิทก็ช่างเถิด ใครมาเห็นยิ่งดีจะได้โพนทะนาไปให้ถึงหูต้นน้ำรวดเร็วยิ่งขึ้น
แต่น่าเสียดาย เพราะยาปลุกเซ็กซ์หาไม่ได้จึงต้องใช้ยานอนหลับแทน อะไรที่ควรจะตื่นจึงสลบไสลไปพร้อมกับเจ้าของร่างกายแล้ว
ก้านธูปทำได้เพียงถอดเสื้อผ้า ลูบๆ คลำๆ และจัดฉากนอนหลับไปข้างกันทั้งอย่างนั้น
...
"นั่นคือสิ่งที่เขาเล่าให้แม่ฟัง"
ต้นน้ำเคยได้ยินเรื่องคร่าวๆ จากปากภูผามาบ้างแล้ว แต่ไม่ทราบรายละเอียดยิบย่อยเท่านี้ แม้จะไม่แปลกใจอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้นใจเจ้ากรรมดันโล่งอกที่มั่นใจได้ว่าคุณภูผาไม่ได้นอนกับก้านธูปจริงๆ
....ส่วนมาม่า
ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย การเป็นคนกลางย่อมปวดใจไม่ต่างกัน หยดน้ำตาของหญิงสาวและคำพูดร้ายกาจของตัวเองในวันนั้นทำให้ต้นน้ำนึกเสียใจ
เมื่อถึงวันที่เขาพร้อม หากวันนั้นเธอยังอยากรับฟังเขาอยู่ มาม่าจะเป็นคนแรกที่ต้นน้ำกลับไปขอโทษ
“เท่านี้หรือครับ”
"นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่แม่ยอมมองเขาใหม่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะคำพูดที่เขาเคยพูดกับต้นน้ำเขามีสติครบถ้วนดี แม่เองก็รักลูกของแม่มากนะ"
"ถ้าอย่างนั้นทำไมครับ"
ฝ่ามืออวบอูมที่เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลาคว้ามือเล็กมากอบกุมไว้ ลูบไล้ไปยังบางสิ่งบนข้อมือขาว นึกย้อนไปถึงบทสนทนาในวันนั้น ถ่ายทอดคำพูดที่ทำให้เธอเปลี่ยนใจให้ต้นน้ำฟัง ส่วนการตัดสินใจของต้นน้ำหลังจากนั้น อยู่นอกเหนือขอบเขตของเธอแล้ว
"ผมขอโอกาส แม่ทิพย์ไม่ต้องสนับสนุนหรือช่วยเหลืออะไรผมเลยก็ได้ ขอแค่ให้โอกาสผมได้เข้าใกล้ต้นน้ำบ้าง เขาจะกลับมารักผมเหมือนเดิมหรือเปล่าขึ้นอยู่กับเขา"
"ถึงอย่างนั้นแม่ก็เคารพการตัดสินใจของต้นน้ำอยู่ดี แม่จะฟังแค่คำพูดของคุณแต่เมินเฉยต่อความรู้สึกของต้นน้ำไม่ได้ เขาจะตัดสินใจอย่างไร จะยอมรับคุณไหมเป็นสิทธิ์อันชอบทำของเขา แม่ไม่ยินดีร่วมด้วยหากมันเป็นการฝืนใจต้นน้ำ"
ภูผาสูดลมหายใจเข้าลึก เขายังมีไผ่ใบสุดท้ายเหลืออยู่ มันเป็นสิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นตั้งแต่ได้พบต้นน้ำที่ร้านอาหารจีนวันนั้น ในเมื่อมันยังอยู่เขาก็ยังมีความหวัง
"เขายังสวมเชือกสีแดงอยู่บนข้อมือใช่ไหมครับ” คำถามของภูผากลับเป็นสิ่งที่แม่ทิพย์ไม่เข้าใจ “มันคือเชือกสายสิญจน์จากวัดหลงซาน เชื่อกันว่าจะช่วยให้คนสวมใส่พบเจอกับความรักที่แท้จริง ผมเป็นคนผูกให้เขาด้วยตัวเอง ในเมื่อเขาคืนของที่ผมให้หมดทุกอย่าง แต่ที่เชือกเส้นนั้นยังอยู่มันต้องมีเหตุผลสิครับ"
เชือกสีแดงเส้นนั้นเธอสังเกตเห็นเช่นกัน เธอคิดว่าเป็นเพียงสายสิญจน์ธรรมดา เพิ่งมารู้ที่มาก็วันนี้เอง
หญิงร่างท้วมนิ่งคิดถึงเด็กชายที่เธอเลี้ยงเขามาเองกับมือตั้งแต่ตีนยังเท่าฝาหอย รักเหมือนลูกในไส้ของตัวเอง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาคิดเขารู้สึกอย่างไร
ประโยคเจือสะอื้นในวันนั้นสะท้อนความจริงออกมาหมดสิ้น
"ต้นน้ำเจ็บเพราะคุณมากนะคุณภูผา เจ็บมากจนแม่เองก็อยากให้เขาตัดใจ ถ้าคุณไม่ได้คิดจริงจังกับเขาก็อย่าเสียเวลาเลย"
กล่องกำมะหยี่ใบเล็กใบหนึ่งถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าแม่ทิพย์ เอกลักษณ์ชัดเจนของรูปแบบกลองบ่งบอกชัดเจนโดยไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน
ดวงตาอบอุ่นเลื่อนขึ้นสบกับคุณภูผาอย่างคาดไม่ถึง
"เขาชอบต่างหู ผมแวะร้านนี้ที่ไต้หวันเพื่อซื้อต่างหูคอลเลคชั่นใหม่กลับมาฝากเขา แต่ไม่รู้ทำไมสิ่งนี้ถึงได้ดึงดูดสายตานัก ทั้งที่ปกติเพียงเดินผ่านไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ ครั้งนี้ผมซื้อต่างหูกลับมา และผมก็ซื้อมันกลับมาด้วย" ไม่ใช่ไม่รู้ว่าความหมายของมันคืออะไร แหวนแต่งงานมีให้คนที่เราอยากร่วมใช้ชีวิตด้วยเท่านั้น คนที่พร้อมแบ่งปันทุกอย่างของชีวิต ไม่ใช่เพียงเรื่องเงิน
"เรื่องระหว่างผมกับเขาเริ่มต้นไม่ดีเท่าไหร่ สถานะระหว่างกันบังคับให้ผมมองเขาอย่างลึกซึ้งไม่ได้ ผมบอกตัวเองแบบนั้นมาโดยตลอด แต่กล้ามเนื้อในอกข้างซ้ายเหมือนมันมีสมองเป็นของตัวเอง กว่าผมจะรู้ตัวอีกทีมันก็ไม่ได้เต้นเพื่อผมอีกแล้ว มันคอยเอาแต่นึกถึงเวลาที่เขาไม่อยู่ ห่วงว่าเขาจะอยู่อย่างไรเวลาที่มองไม่เห็น กังวลไปหมดว่าใครจะมาแย่งเขาไป หน้าที่ของเขาไม่ได้มีเพื่อผมคนเดียว แค่คิดในใจในก็ร้อนรุ่มไปหมด ผมอยากให้เขาเป็นของผมคนเดียว ยิ่งมีสิ่งกระตุ้นเร้ามากเข้าเรื่อยๆ หัวสมองที่เคยคิดเป็นเหตุเป็นผลมันก็ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร"
"คุณรักต้นน้ำ" แม่ทิพย์เอ่ยถามด้วยประโยคบอกเล่า อันที่จริงไม่ต้องการคำตอบด้วยซ้ำ เพราะเธอสังเกตเห็นมันในดวงตาเขายามพูดถึงต้นน้ำของเธอ
"ครับ ผมรักต้นน้ำ ผมทำผิดพลาด และจะไม่โทษว่ามันเป็นเพราะใคร อย่างที่ต้นน้ำบอกว่าผมพูดแบบนั้นออกไปทั้งที่ยังมีสติครบถ้วน เป็นความผิดของผมเองที่เชื่อใจเขาไม่มากพอ แต่ขอโอกาสให้ผมทำเพื่อความรักสักครั้งได้ไหมครับ"
...
คนฟังน้ำตาไหลพราก น้ำใสไหลกลบตาจนมองไม่เห็นเค้าหงส์สวยสง่าเช่นเดิม
ทำไมหนอ....ทำไม
ในเมื่อต่างฝ่ายต่างรัก ทำไมถึงต้องทำร้ายหัวใจของกันและกัน ต่างฝ่ายต่างสร้างความบอบช้ำย่อยยับจากความรักที่ไม่เข้าใจ
เพราะไม่เคยรัก
เพราะรักแบบคนโง่
สุดท้ายแล้วแค่เพียงความรักอย่างเดียวมันไม่พอจริงๆ
"ต้นน้ำล่ะลูก ยังรักคุณภูผาได้อีกไหม ให้อภัยเขาได้หรือเปล่า"
แม่ทิพย์ถามทั้งที่รู้คำตอบดี ถึงเวลาที่ต้นน้ำต้องยอมรับความเป็นจริงแล้ว เพราะก่อนที่เราจะเชื่อว่าเวลาสามารถเยียวยาทุกสิ่ง เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก
"ผมยังรักเขาอยู่แม่ทิพย์ ไม่เคยไม่รัก" น้ำหยดใสไหลกลิ้งเมื่อก้มลงมองเชือกสีแดงราคาไม่กี่เหรียญบนข้อมือ เขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นว่ายังมีมันอยู่ แสร้งทำเป็นไม่รู้ความหมายของมัน และเลือกใส่มันติดตัวเอาไว้ตลอด
เพราะลึกๆ แล้วยังคงหวัง ว่าสักวันจะได้พบกับความรักที่แท้จริง
ตาหงส์ช้ำน้ำเลื่อนขึ้นมองสบกับประกายอบอุ่นของแม่ทิพย์ แม้มันจะยังเต็มไปด้วยความเสียใจ แต่ความเด็ดเดี่ยวกลับฉายชัด
"แต่ผมยังกลับไปหาเขาไม่ได้ ตราบใดที่คำพูดเลวร้ายพวกนั้นยังดังก้องกังวานทุกครั้งที่ผมเห็นหน้าเขา แม่ทิพย์เข้าใจไหม เพราะรักเขามากผมถึงได้เจ็บปวดทรมานขนาดนี้"
นิ้วอวบอูมยกขึ้นเกลี่ยความชื้นบนผิวแก้มแดงเรื่อ เธอยินดียอมรับทุกการตัดสินใจ
"ไปเถอะลูก พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมา ถ้าเขารักและมั่นคงกับต้นน้ำมากพอ เขาจะรอได้"
แล้วพาหัวใจแข็งแรงกลับมานะ
50%
>>>>
ตอนนี้เขียนยากมากเพราะต้องถ่ายทอดอารมณ์ทางฝั่งคุณภูผา
นิลหวังว่าจะถ่ายทอดออกมาได้ดีนะคะ
คุณภูผาก็มีความสับสนในแบบของคุณภูผา เพราะเขาเป็นคนโง่ที่ไม่เคยรัก
แต่ตอนนี้กำลังจะฉลาดแล้ว :D
ปล.ขอบคุณสำหรับคอมเม้นและกำลังใจของทุกคนค่า