บทนำ 100%
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊งๆ” เสียงของนาฬิกาปลุกเครื่องจิ๋วที่อยู่บนหัวเตียงกำลังทำงานอย่างทรงประสิทธิภาพ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่คนบนเตียงจะลุกยังดึงหมอนมาปิดหูตนเองนอนต่อ โดยไม่สนใจเสียงมันที่ดังสะท้านโลก เจ้าเครื่องจิ๋วนั้นก็ไม่มีท่าทีจะเงียบเสียงลงแต่อย่างใด จนคนหลับสบายอยู่บนเตียงทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“โอ๊ยยย! อะไรกันนักกันหนาเนี่ยยย!คนจะหลับจะนอน นี่ก็ร้องจังจะร้องอะไรมากมาย!” เสียงหวานเอ่ยขึ้น
ก่อนจะดึงนาฬิกาปลุกเครื่องจิ๋วแต่แจ๋วนั้นมาปิดเสียงร้องที่ดังแสบแก้วหู ถ้าหากปิดช้ากว่านี้แม้แต่วินาทีเดียวอาจทำให้แก้วหูแตกได้
เจ้าตัวก็ยังมิวายล้มตัวลงนอนต่อแต่ก็ต้องหันไปทางประตูห้องนอนเมื่อมีเสียงเคาะเรียกเบาๆ สองสามครั้งอย่างเกรงใจ กลัวคนในห้องนั้นจะอารมณ์ไม่ดี แล้วมีเสียงคนเคาะดังตามหลังมา
“คุณหนูคะ คุณผู้หญิงให้มาเตือนว่าวันนี้คุณหนูมีกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยและให้รีบลงไปทานข้าวด้วยค่ะ”
พอจบประโยคที่คนหน้าห้องมาส่งสาร คนตัวเล็กที่อยู่บนเตียงขนาดคิงไซต์ก็ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วสีหน้าตื่นตกใจพลางเหลือบไปมองนาฬิกาที่เคยดังรำคาญหูบนหัวเตียง พอเห็นเข็มนาฬิกาชี้เลยเลขเจ็ดไปก็ยิ่งตกใจ รีบลุกจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำ ซ้ำหญิงสาวก็ยังมิวายบ่นไปตลอดทาง เมื่อตระหนักขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ทางมหาวิทยาลัยจัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานที่ ซึ่งจัดขึ้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
“สายแล้วๆ เสียงเพลงเอ๊ย จะทันไหมเนี่ย”
เสียงหวานของหญิงสาวที่มีนามว่าเสียงเพลงหรือสิริมาลินก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่นานร่างเล็กก็วิ่งลงบันไดไปยังห้องรับประทานอาหารซึ่งมีทุกคนในครอบครัวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ช้าๆ ก็ได้ยัยหนู เดี๋ยวก็ตกบันไดแข้งขาหักหรอกลูก” เสียงของคุณหญิงพักต์เพียงเพ็ญร้องปรามบุตรสาว เมื่อเห็นเธอวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับส่งยิ้มเอ็นดูให้ พลางคิดในใจ ลูกสาวเธอคนนี้ไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย
สิริมาลินนั้นเป็นที่รักของทุกคนในบ้าน เธอถูกเลี้ยงมาราวกับไข่ในหินยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เพราะเธอเป็นลูกคนเล็กของบ้านแล้วยังเป็นลูกสาว ทุกคนจึงไม่มีใครกล้าขัดใจและตามใจเธอทุกอย่าง ทำให้สิริมาลินเป็นคนเอาแต่ใจตั้งแต่เด็กจนโตไม่มีเปลี่ยนอยากได้อะไรก็ต้องได้
“แกจะขนอะไรไปเยอะแยะยัยหนู พี่เห็นแกบอกว่าไปสามวันไม่ใช่หรอขนขนาดนี้จะย้ายบ้านหรอ” คันธารัตน์เอ่ยเย้าน้องสาว เมื่อเห็นเธอลากกระเป๋าใบใหญ่ลงมา โดยไม่ยอมให้ใครช่วย
“แหม! พี่พาร์คก็ ทำเป็นพูดไปเหอะ ถ้าน้องย้ายไปอยู่ที่อื่นจริงๆ อย่านอนร้องไห้ก็แล้วกัน”คนเป็นน้องก็อดแขวะพี่ชายกลับไม่ได้เมื่อพี่ชายสุดหล่อกัดเธอตั้งแต่เช้าเสียนี่
“รถออกกี่โมงยัยหนู ให้พี่เราไปส่งดีกว่าไหมจะได้ไม่ต้องขับรถเอง” เสียงคุณปัญญากรประมุขของบ้านเอ่ยกับบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้เธอขับรถไปเองทุกคนในบ้านต่างรู้ว่าเธอนั้นขับรถเร็วปานใดก็เลยอดห่วงไม่ได้ตามประสาพ่อห่วงลูก
“คร้าบบบ ผมกะจะไปส่งน้องอยู่แล้วครับ ถ้าให้ขับรถไปเองคงไม่ถึงมหา’ลัยหรอก”
คันธารัตน์นั้นไม่ได้กล่าวเกินความจริงแต่อย่างไร เพราะถ้าหากให้เธอขับรถไปเองในสถานการณ์เร่งรีบเช่นนี้ อาจจะทำให้เธอเป็นอันตรายหรือประสบอุบัติ เนื่องจากความประมาทได้
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงพี่พาร์ครีบๆ กินไปเหอะน้องรีบ!” หญิงสาวพูดจบก็รีบโซ้ยข้าวต้มตรงหน้าต่อทันที
“โอ๊ยยย!สายแล้วๆ อีกสิบห้านาทีจะแปดโมง เร็วๆ พี่พาร์ค” หญิงสาวร้องเสียงดัง เมื่อมองไปที่นาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือเล็กของตนเห็นว่ามันใกล้จะถึงเวลานัดเต็มที จึงหันไปเร่งพี่ชายที่ยังนั่งกินข้าวอย่างแสนสบายใจ
“เออๆ เสร็จแล้ว” คันธารัตน์พูดจบก็ลุกขึ้นไปช่วยถือกระเป๋าสีหวานใบโตของน้องสาวมาถือไว้ แล้วเดินนำหน้าไปยังรถของตนที่จอดไว้หน้าบ้าน
“หนูไปแล้วนะคะ คุณพ่อ คุณแม่” สิริมาลินพูดพร้อมเดินไปโอบกอด และหอมแก้มบุพการีทั้งสอง
“มีอะไรก็โทรหาแม่นะยัยหนู” คนเป็นแม่ก็อดห่วงลูกสาวไม่ได้
ไม่เคยเลยที่นางปล่อยให้ลูกสาวห่างจากอกเช่นนี้ ถึงจะไม่อยากให้ไปไหนไกลแต่ก็ทนต่อลูกอ้อนของลูกสาวไม่ได้ และเป็นกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยสำหรับนักศึกษาเข้าใหม่ จึงปล่อยให้หญิงสาวไปตามคำขอ
ปัญญากรก็ห่วงบุตรสาวไม่แพ้คนเป็นภรรยาเช่นกันไม่เคยเลยที่จะปล่อยให้ลูกสาวคนเดียวไปตกระกำลำบากเช่นนี้ ก็อดที่จะห่วงไม่ได้“ไปถึงก็โทหาพ่อด้วยนะลูก พ่อเป็นห่วง ดูแลตัวเองดีๆ นะหนูเพลง”
“รับทราบค่ะ” สิริมาลินตอบผู้เป็นบิดาและมารดาเสียงดังฟังชัดทำท่ายืนตรงตบเท้าเสียงดัง พร้อมกับหันไปตอบพี่ชายที่เรียกเธอมาจากประตูหน้าบ้าน“ไปแล้วๆไปแล้วนะคะคุณพ่อ คุณแม่” ประโยคหลังหญิงสาวหันไปบอกลาบิดามารดา แล้ววิ่งไปทางประตูหน้าบ้านซึ่งมีพี่ชายสุดหล่อยืนคอยอยู่นานแล้ว
รถคันหรูสัญชาติยุโรปที่ราคาสูงลิ่วของคันธารัตน์แล่นออกจากคฤหาสน์ด้วยความเร็ว เนื่องจากน้องสาวคนสวยเร่งแล้วเร่งอีกเพราะจวนจะถึงเวลาแล้ว
คันธารัตน์ก็ไม่ขัดศรัทธาน้องสาวแต่อย่างใด เหยียบคันเร่งแทบมิด มุ่งหน้าตรงไปยังมหาวิทยาลัยที่หญิงสาวกำลังศึกษาอยู่แต่ก็ยังมิวายมีเสียงหวานบ่นตลอดทางจนคนเป็นพี่ทนฟังไม่ได้หันไปเอ็ดน้องสาวแสนสวย
“แกเงียบๆๆ หน่อยได้ไหมยัยหนูเพลง แกจะบ่นอะไรนักหนาเนี่ย พี่ก็รีบแล้วแต่รถมันติด ที่สำคัญทำไมแกไม่ตื่นให้มันเช้าๆ จะได้ไม่ต้องมานั่งบ่นเหมือนยายแก่ตลอดทางแบบนี้”คันธารัตน์พูดพร้อมกับตีไฟเลี้ยวเข้ารั้วมหาวิทยาลัย
บ้านของชายหนุ่มนั้นไม่ได้อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่ แต่ก็มักจะใช้เวลาในการเดินทางนานพอสมควรเนื่องจากการจราจรที่คับคั่งในช่วงเวลาเช้าที่ต่างคนก็ต่างเร่งรีบ แต่วันนี้โชคดีหน่อยที่ถนนค่อนข้างจะโล่ง จึงใช้เวลาในการเดินทางไม่นานอย่างเช่นทุกวัน
“ก็คนมันรีบนี่พี่พาร์ค ไม่รู้ว่าไปช้าจะโดนอะไรบ้าง พวกพี่ๆ เค้ายิ่งชอบแกล้งกันอยู่” สิริมาลินเริ่มนั่งไม่เป็นสุข เมื่อคิดถึงข้อนี้ เนื่องจากเลยเวลานัดมาแล้วห้านาที
**********************
หน้าตึกคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศไทยแถวย่านปทุมวัน มีรถบัสจอดเรียงรายกันเป็นแถวยาวอยู่มากกว่าสิบคันมีโต๊ะรับลงทะเบียนอยู่หน้าตึกข้างรถบัสคันแรกที่จอดอยู่ซึ่งมีคนนั่งอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น เพราะทั้งรุ่นพี่และนักศึกษาน้องใหม่ทุกคนขึ้นรถประจำที่หมดแล้ว
“นางสาวสิริมาลิน พิมพ์พิลาวัลย์ ใครว่ะเนี่ยรออยู่แค่คนเดียวรู้ไหมคนเค้ารอกันทั้งมหา’ลัย เป็นผู้หญิงซะด้วยถ้าไม่สวยนะ ข้าจะทำโทษซะให้เข็ด” เสียงรุ่นพี่คนหนึ่งในกลุ่มดังขึ้น พร้อมกับมีรถคันหรูมาจอดตรงหน้าโต๊ะรับลงทะเบียนพอดิบพอดี
ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออกพร้อมกับชายร่างสูงผิวขาวก้าวขาลงมา แว่นกันแดดสีชารับกับจมูกโด่งเป็นสันอย่างลงตัว หน้าหวานเสียยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีกทำให้สาวแท้สาวเทียมที่ยืนอยู่ตรงนั้นและบนรถบัสอีกหลายชีวิตพากันหันมามองเป็นตาเดียวการแต่งกายของชายหนุ่มประกอบกับขับรถคันหรูก็บ่งบอกฐานะว่ามีอันจะกินเป็นอย่างดี
ประตูทางฝั่งผู้โดยสารเปิดออกมาพร้อมกับผู้หญิงร่างเล็ก ผอมเพรียวสูงหนึ่งร้อยหกสิบแปดเซนติเมตรอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีซีดขาดๆ สวมรองเท้าผ้าใบสีหวานกับเสื้อยืดคอกลมตัวเล็กสีดำตัดกับผิวขาวอมชมพูของเจ้าตัวยิ่งนัก พอเจอแดดก็ยิ่งทำให้เธอขาวมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
การแต่งตัวธรรมดาเช่นนี้ทำให้เจ้าตัวแลดูสวยเซ็กซี่มากกว่าจะมองว่าเชย เพราะมันทำให้มองเห็นสัดส่วนของหญิงสาวชัดขึ้นอีกถึงหุ่นเธอจะผอมเพรียวแต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน อันที่ควรจะใหญ่ก็ใหญ่ซะเกินความจำเป็น สิ่งที่ควรจะเล็กก็เล็กจนน่ามอง
ผมสีน้ำตาลเข้มม้วนเป็นลอนเกลียวใหญ่ยาวถึงบั้นท้ายกลมกลึงน่ามอง รับกับหน้ารูปไข่คิ้วโก่งสวยดวงตากลมโตสีดำขนตางอนยาวปากเรียวเล็กสีชมพูธรรมชาติจมูกโด่งเป็นสันปลายเชิดขึ้นแสดงถึงความรั้นร้ายเอาแต่ใจของเจ้าตัวยิ่งนัก
หน้าหวานแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ ยกแว่นกันแดดสีดำขึ้นคาดผมเอาไว้ ยิ่งทำให้คนหน้าหวานนั้นดูน่ารักน่าทะนุถนอมและยังแอบเซ็กซี่นิดๆ
ชายหญิงสองคนที่พึ่งลงรถมานั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพี่น้องกันเพราะทั้งคู่นั้นหน้าหวานออกไปทางเดียวกัน สาวสวยที่ลงรถเมื่อครู่ยิ้มแหยๆ ให้รุ่นพี่ที่นั่งรออยู่ พร้อมรีบสาวเท้าเดินเข้าไปหา
“ขอโทษค่ะพี่ที่หนูมาสาย” หญิงสาวกล่าวขอโทษขอโพย ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ว่างหน้าโต๊ะลงทะเบียน
“น้องสิริมาลิน พิมพ์พิลาวัลย์ ใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มที่นั่งประจำโต๊ะลงทะเบียนเอ่ยถาม พอคนตรงหน้าพยักหน้ารับพร้อมยิ้มหวานจึงกล่าวต่อ “ลงทะเบียนเลยครับสายแค่นิดเดียวไม่เป็นไรหรอกพวกพี่รอได้” พอชายหนุ่มเอ่ยจบประโยคเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ก็ยืนยันคำพูดของเพื่อนอย่างพร้อมเพรียงกันทันที
“หรอออ!”
ชายหนุ่มที่พูดเมื่อครู่ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเพื่อนทุกคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาพูดจริง
“เมื่อกี้ใครพูดวะว่าจะทำโทษน้องเค้า ทีเวลานี้บอกว่ารอได้ ปากตรงกับใจเหลือเกินนะเพื่อน” เพื่ออีกคนก็ยังอดแขวะไม่ได้แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก
“เอาเป็นว่าลงทะเบียนดีกว่านะครับน้องสิริมาลิน น้องมีชื่อเล่นรึเปล่าครับชื่อน้องย๊าวยาว คือพี่จะเขียนป้ายชื่อให้น่ะครับ” รุ่นพี่อีกคนที่นั่งรอรับลงทะเบียนถามขึ้น
“เสียงเพลงค่ะ”หญิงสาวตอบรุ่นพี่ไปพร้อมกับยิ้มหวานตามฉบับของเธอ
คันธารัตน์เดินเอากระเป๋ามาให้น้องสาวที่นั่งลงทะเบียนอยู่พร้อมกับเอ่ยทักทายรุ่นพี่ของสาวน้อยที่นั่งอยู่ทุกคน
“สวัสดีครับทุกคน ผมฝากน้องสาวด้วยนะครับ” คันธารัตน์พูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้นักศึกษาทุกคน คาดว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของน้องสาวตน
“เต็มใจรับฝากมากค่ะ ถ้าพี่สุดหล่อสนใจฝากหัวใจไว้ที่ซินดี้อีกคน รับรองว่าซินดี้จะรับเลี้ยงทั้งพี่ทั้งน้องให้ดีที่สุดตลอดชีวิตเลยค่ะ” สาวสวยน้อยร่างชายแต่ใจหญี๊งหญิงกล่าวกับคันธารัตน์พร้อมกับส่งสายตาหวานหยดย้อยไปให้จนชายหนุ่มขนลุกขนพอง
“ขอบคุณครับคุณซินดี้ แต่ผมว่าไม่ดีกว่านะครับ” เขากล่าวขอบคุณชายหนุ่มเฮ้ย! หญิงสาวพร้อมกับปฏิเสธสิ่งที่เธอเสนอมาอย่างเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะหันไปพูดกับน้องสาวตนต่อ “ดูแลตัวเองดีๆนะยัยเพลงพี่ไปละ เดินทางปลอดภัย”
คันธารัตน์พูดขึ้น พร้อมกับโอบกอดน้องสาวที่ลุกขึ้นมากอดชายหนุ่มเช่นกัน ลูบศรีษะเธอสองสามทีแล้วขยี้ผม แสดงความรักความเอ็นดูที่มีต่อน้องสาวสุดที่รักในแบบฉบับของเขา
“ขับรถกลับดีๆ นะพี่พาร์ค สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ก่อนรับกระเป๋าจากพี่ชายส่งให้รุ่นพี่ที่รอรับกระเป๋าอยู่ก่อนแล้ว
หญิงสาวยืนมองจนรถคันธารัตน์แล่นออกจากตึกคณะแล้วหันมาส่งยิ้มหวานให้รุ่นพี่ที่เก็บของกันอยู่ แล้วรับป้ายชื่อจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่ยื่นให้มาคล้องคอไว้
เมื่อทุกคนเก็บของเรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้างานนี้ก็หันมาสั่งทุกคนที่ยืนอยู่ให้ขึ้นประจำที่ได้แล้ว
“ทุกคนขึ้นรถได้แล้วครับ น้องเสียงเพลงขึ้นคันแรกเลยนะ ทุกคันรถจะมีรุ่นพี่ประจำอยู่ ถ้าน้องมีปัญหาอะไรก็เรียกได้เลยนะ”
สิริมาลินได้ยินเช่นนั้นก็วิ่งไปขึ้นรถคันแรกที่จอดอยู่พร้อมยิ้มให้กับทุกคนที่อยู่บนรถ เมื่อทุกคนต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียวด้วยหลากหลายความรู้สึก ซึ่งแต่ละคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วเพราะเรียนอยู่คณะเดียวกัน บางคนมองมาด้วยสายตาชื่นชมในความสวยความน่ารักของเธอ และมีสายตาจากบางคนที่โทษว่าเธอมาสายทำให้ทุกคนต้องรอ
แต่สิริมาลินก็หาได้สนใจไม่พยายามมองหาที่นั่ง แต่ทุกที่ก็มีคนจับจองกันหมดแล้ว ในที่สุดเธอก็มองเห็นที่ว่างจนได้ ก่อนจะเดินตรงไปยังที่ว่างที่นั้นทันที
ทั้งคันมีที่ว่างแค่ที่เดียวเท่านั้น ซึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งนอนพิงกระจกเอาหมวกมาบังหน้าไว้หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเกรงใจที่รบกวนเวลาหลับของชายหนุ่ม
“ขอโทษค่ะ ขอฉันนั่งด้วยคนนะ” พอกล่าวจบก็ยืนรอฟังคำอนุญาต แต่ไม่มีเสียงตอบรับแต่อย่างใด เธอเลยถือวิสาสะนั่งลงข้างๆชายคนนั้นทันที
ถึงแม้เขาจะไม่อนุญาตให้นั่งด้วย เธอก็ต้องนั่งอยู่ดีเพราะมันไม่มีที่ว่างแล้ว แต่ที่ต้องเอ่ยขออนุญาตก็แค่ตามมารยาทเท่านั้น แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับไม่มีมารยาทเอ่ยตอบใดๆ ออกมา
สิริมาลินหันมาสำรวจชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ตนด้วยความหมั่นไส้ ‘คนอะไรพูดด้วยก็ไม่ยอมตอบ หยิ่งชะมัดยาดเลย’ หญิงสาวได้แต่คิดในใจไม่ได้เอ่ยออกมา
แล้วใครจะกล้าพูดออกมาล่ะ ถ้าพูดมาแล้วตาบ้านี่เกิดฆ่าปิดปากเธอมาก็ไม่คุ้มสิคิดว่าคงไม่มีใครเสนอหน้ามาช่วยเธอแน่นอน ดังนั้นสงบปากสงบคำไว้ดีกว่าซึ่งเธอก็ได้แต่แสดงความไม่พอใจออกทางสีหน้าเท่านั้น
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น