เขาวางศอกพาดกรอบหน้าต่างฝั่งโถงทางเดิน แล้วชะโงกหน้าเข้ามาจ้องอากิมิ ท่าทางนี้ก็เห็นจนชินตาเช่นกัน
ตานี่อุตส่าห์ถ่อมาจากห้องเอ ทำไมถึงชอบมาจุ้นจ้านกับเธอผ่านช่องหน้าต่างแบบนี้อยู่เรื่อย?
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ”
อิจิพูดต่อโดยไม่แคร์ว่าอากิมิกำลังโมโห
“ตอบคำถามเมื่อกี้หน่อยสิ อิชิคาวะเรียกโทชิตลอดเลยจนฉันทึกทักว่าวาคุอิชื่อโทชิโกะหรือโทชิเอะซะอีก ปรากฏว่าคนละเรื่อง ทำไมวาคุอิถึงเป็นโทชิอะได้ล่ะ?”
อากิมิยกนิ้วกดรอยย่นตรงหว่างคิ้ว
หนวกหู! เรื่องนั้นน่ะยังไงก็ช่างเถอะ!
เธออยากพูดเช่นนั้นใจจะขาด แต่รู้ดีว่าบ่นไป ยามาเอะ อิจิ ก็คงไม่ยอมถอย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพื่อนร่วมชั้นกลัวเธอ ส่วนเจ้าลูกลิงนี่ก็ตีซี้เธอเกินเหตุ
อากิมิชักจะเริ่มคิดแล้วว่าสงสัยหมอนี่จะไม่มีเพื่อนเลยพลางเอ่ยปากอย่างไม่เต็มใจนัก
“...เพราะชื่อต้นคือมิฟุเนะไง”
อิจิทำหน้างง
“รู้จัก มิฟุเนะ โทชิโร่* ไหม?”
“ไม่รู้จัก”
“เหรอ งั้นก็ช่างมัน ลืมไปเหอะ”
อากิมิโบกมืออย่างเย็นชาแล้วหันหลังให้เด็กหนุ่ม แต่ถึงแม้จะหันหลังให้ก็รู้อยู่เต็มอกว่าอิจิกำลังชักสีหน้า
“อิชิคาวะ หัดโต้ตอบกับชาวบ้านมากกว่านี้หน่อยซี่ ฉันจะโยนคำถามให้ ถึงจะรับไม่ได้ก็ตอบสวนกลับมาแรงๆ บ้าง ทำแบบนี้รับรองเพื่อนหายหมด!”
ฉันไม่มีเพื่อนมาตั้งนานแล้วย่ะ!
เธอนึกอยากจะเถียงแต่หุบปากไว้ได้ทัน เรื่องนั้นมันทรมานใจเกินไป ที่สำคัญกลัวว่าดาบที่พุ่งออกไปจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองด้วย จึงหันหลังกลับไปอย่างเสียมิได้
“ยามาเอะ คราวก่อนนายก็ตื๊อฉันเรื่องชื่อด้วยนี่นะ”
เด็กสาวเปลี่ยนเรื่องแบบเนียนๆ
“ทำไมต้องยึดติดขนาดนั้น ไม่เห็นต้องสนใจชื่อคนไม่สนิทเลย”
“ใช่ที่ไหน ต้องสนใจสิ”
อิจิโมโหเถียงกลับโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ชื่อเป็นสิ่งสำคัญนะ จะเรียกว่าเป็นรหัสที่เข้าใจง่ายที่สุดหรือเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงตัวตนของคนคนนั้นเลยก็ว่าได้”
อากิมิขมวดคิ้ว
“แบบหัวหน้าเผ่างี้อะเหรอ?”
“ไม่ใช่ สัญลักษณ์อย่างซิมโบลหรือโมทีฟ ทำนองนั้นต่างหากเล่า!”
“อ้อ อย่างนั้นเอง”
อากิมิตอบเลี่ยงๆ ทำนองว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายออกเสียงประหลาดมากกว่า จากนั้นก็ควานหาของในเก๊ะแล้วหยิบกระเป๋าดินสอออกมา ก่อนจะกดดินสอกดดูความยาวของไส้ดินสอ
เมื่อเห็นท่าทีไม่แยแสของอากิมิ อิจิยิ่งหน้าบูดแล้วโน้มตัวเข้ามาอีก
“นี่ อิชิคาวะ”
“อะไร?”
“ฟังนะ คำว่าสัญลักษณ์น่ะสำคัญยิ่งกว่าที่ทุกคนคิดซะอีก ไม่ใช่แค่โผล่มาในความฝันบ่อยๆ แต่บางครั้งมันเปลี่ยนรูปร่างแล้วโผล่ออกมาก็มี ต้องเกาะรากเอาไว้ให้มั่น”
เรื่องความฝันอีกแล้วเหรอ?
แต่จังหวะที่คิดเช่นนั้น หัวใจก็พองโตขึ้นเล็กน้อย
อา แย่แล้ว
ชักหมดความอดทน ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเป็นความโกรธหรือหงุดหงิดปะทุขึ้นมาจากช่องท้อง เป็นความเดือดดาลที่ควบคุมไม่อยู่ คลื่นที่เหมือนอาการคลื่นไส้อ่อนๆ ขึ้นมาจุกอยู่ตรงอก
แต่ก่อนที่คลื่นนั้นจะก่อตัวเป็นรูปร่างชัดเจน...
“อิจิ!”
เสียงสดใสดังขึ้นทำลายบรรยากาศอึมครึม
แขนอวบๆ ที่มาพร้อมเสียงยื่นมาเกาะไหล่อิจิจากข้างหลังอย่างสนิทสนม เจ้าของมือเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรูปร่างสูงใหญ่ทั้งแนวตั้งแนวนอน
ดูจากรูปร่างไม่น่าใช่เด็กมัธยมสี่ ป้ายชื่อตรงหน้าอกบอกว่า ‘ห้า - บี’ ผ้าขนหนูซึ่งเหน็บตรงเอวเขียนคำว่า ‘ขว้างบอล’
ท่าทางน่าจะเป็นเด็กมัธยมห้าซึ่งอยู่ชมรมแฮนด์บอล
เขาใช้มือข้างหนึ่งกดไหล่อิจิ แล้วส่ายศีรษะแบบโอเวอร์แอ๊คติ้ง
“นี่ อาทิตย์หน้ามีแข่งน่ะ ขอโทษที รบกวนนายมาเป็นตัวช่วยอีกได้ไหม?”
“หวา จริงดิ?”
เขาตีหน้าผากแรงเกินจริงก่อนเหลียวมองรอบตัวแล้วพูดเสียงต่ำ
“นี่ ถ้าฉันพูดอะไรแล้วเหยียบไว้นะ...ชมรมบาสจ่ายเท่าไหร่?”
อิจิชูสามนิ้วโดยไม่พูดอะไร
“สามพันเยนเรอะ?”
เด็กมัธยมห้าครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนเงยหน้าพรวด
“เอาละ เข้าใจแล้ว ฉันจะจ่ายเป็นสองเท่า น้า ขอร้องละ เราจะแพ้การแข่งนี้ไม่ได้ เพื่ออนาคต!”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ขืนฉันลัดคิวให้ก็เสียชื่อกันพอดี”
“ช่วยหน่อยเถอะ”
อ๊า พอที ทนฟังไม่ไหวแล้ว
อากิมิหน้าบึ้ง จงใจลุกพรวดอย่างแรงจนเก้าอี้ล้มไปข้างหลังเสียงดังโครม
ทั่วทั้งห้องเงียบกริบอีกครั้ง
หญิงสาวเหลือบตามองสองหนุ่มที่ยืนงง แล้วก้าวยาวๆ ออกจากห้อง
“อ๊ะ อิชิคาวะ!”
"จะไปไหน จะเริ่มเรียนแล้วนะ"
อิจิลนลานสลัดตัวออกจากเด็กมัธยมห้า
อากิมิเหลือบมองอิจิผ่านไหล่ เมื่อสบตากับอีกฝ่าย เขาจึงค่อยๆ หุบปาก
“ไม่ฝัน”
หญิงสาวพูดเสียงต่ำ
“ต่อให้ฉันฝันก็ไม่คิดจะบอกนายหรอก”
อากิมิเอ่ยเสียงเย็นชาก่อนเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากห้องเรียนโดยไม่หันหลังกลับ
*มิฟุเนะ โทชิโร่ คือชื่อนักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์