อากิมิเดินตามลำพังบนโถงทางเดินทอดยาวภายในอาคารเรียนที่เย็นเยียบ
เข้าสู่กลางเดือนพฤษภาคม ดอกซากุระพันธุ์โซเมโยชิโนะซึ่งเคยบานสะพรั่งเต็มต้นช่วงพิธีเปิดภาคเรียนกลับร่วงโรยเหลือเพียงใบชูช่อแตกหน่ออ่อน กลายเป็นเขตแดนสีเขียวล้อมรอบสนามโรงเรียนฝั่งตะวันตกราวกับสายคาดโอบิ
ท้องฟ้าแจ่มใส แต่ฝนที่ตกตลอดคืนจนถึงเช้าตรู่ทำให้ลมพัดเย็นเฉียบ
ร่มพลาสติกเปียกฝนหลายคันวางพิงอยู่หน้าตู้ล็อกเกอร์ พวกเด็กนักเรียนบ้านไกลคงเดินทางมาถึงโรงเรียนตอนที่ฝนกำลังตก น้ำจากร่มหยดลงมารวมตัวกันเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็กบนพื้นเคลือบเงา
นักเรียนหญิงห้องอื่นคุยเล่นกันอยู่ข้างหน้าต่าง เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่มุมหนึ่งเห็นอากิมิแล้วเบิกตากว้าง
จังหวะที่กำลังเดินผ่าน เธอได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น
“เหวอ...ตัวใหญ่จัง”
“ชู่ว์ เขาได้ยินนะ”
หนวกหูจริง ฉันได้ยินทั้งหมดนั่นแหละย่ะ
เธอข่มใจไม่ให้ด่ากลับก่อนจะปรายตาไปมอง อีกฝ่ายเสหลบตาแล้วหันหน้าหนี
แค่สบตาก็ป๊อดแบบนี้อย่ารินินทาคนอื่นเลยดีกว่า
อากิมิบ่นในใจก่อนเร่งฝีเท้า
ส่วนสูงขนาดนี้เคยเป็นความมั่นใจของเธอในอดีต แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหดหู่จากก้นบึ้งของหัวใจ
เธอรังเกียจการเป็นจุดเด่นแบบไร้ความหมาย
อากิมิเลื่อนเปิดประตูห้องซีอย่างแรง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ห้องเรียนจึงเงียบกริบไปชั่วขณะ สายตาของเพื่อนร่วมชั้นทุกคู่จับจ้องมาที่อากิมิด้วยเหตุผลบางอย่างก่อนจะรีบหลบตาด้วยความกระอักกระอ่วน
เด็กสาวเผลอเดาะลิ้น ขมวดคิ้ว รอยย่นที่ไม่ต้องการสลักลึกอยู่บนหน้าผาก
อา ให้ตายสิ บรรยากาศแบบนี้มันคืออะไร?
ฉันไปทำอะไรให้เนี่ย?
ฉันไม่เคยพูดคุยกับใครเป็นพิเศษ ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใคร แค่นั่งเงียบๆ ทั้งวัน ทำไมถึงต้องโดนมองด้วยสายตาแบบนี้?
ไม่สิ จะเพราะหวาดกลัวหรืออยากเว้นระยะห่างก็ช่าง แต่ถ้าจะเมินกันก็ช่วยเมินให้เต็มร้อยไปเลยได้ไหมเล่า?
อากิมิรีบเดินตัดผ่านห้องเรียน ลากเก้าอี้ออกจากโต๊ะตนเองแล้วทิ้งตัวลงนั่ง
โต๊ะเธอตั้งอยู่แถวหลังสุดติดโถงทางเดิน เธอจำใจต้องนั่งโต๊ะนี้โดยปริยายตามคำสั่งของอาจารย์ประจำชั้นที่ว่า ‘ขอให้คนสายตาสั้นกับคนตัวเตี้ยมานั่งข้างหน้า’ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ เธอไม่ได้ขุ่นข้องหมองใจ แต่ตอนนี้เรื่องขี้ปะติ๋วเช่นนั้นกลับทำให้รำคาญใจชะมัด
เด็กสาวจงใจค้นของในเก๊ะอย่างแรงด้วยความโมโห
ตารางสอนตรงผนังระบุว่าคาบต่อไปคือวิชาสังคมศึกษา เธอฟาดตำราเรียนลงบนโต๊ะดังป้าบ
จู่ๆ ก็ปรากฏเงาขึ้นทาบทับบริเวณมือ
“...ทำหน้าถมึงทึงเชียว”
น้ำเสียงคุ้นหูนั้นกลั้วหัวเราะเล็กน้อย
อากิมิเงยหน้า
คนที่ยืนยิ้มแบบอาร์คีอิก* อันเป็นเอกลักษณ์คือ วาคุอิ มิฟุเนะ เพื่อนร่วมชั้นห้องซี
สมัยมัธยมต้นอีกฝ่ายเคยเป็นทั้งเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนร่วมทีม และเพื่อนสนิทของเธอ ทว่าปัจจุบันถอดสองตำแหน่งหลังออกไปแล้ว เหลือเพียงเพื่อนร่วมชั้นธรรมดาๆ เท่านั้น
“มีธุระอะไร โทชิ?”
อากิมิถามห้วนๆ
“เปล่า”
อมยิ้มของมิฟุเนะบิดเบี้ยวเล็กน้อยจนกลายเป็นยิ้มเจื่อน
อากิมิหรี่ตาทันควัน
มิฟุเนะคงมองออกว่าเธอกำลังโกรธจึงหุบยิ้ม แต่ไม่ได้ถามว่า ‘โกรธเหรอ’ เพียงยื่นมือมาจับผมของอดีตเพื่อนสนิท
“ผมยาวขึ้นเยอะเลยเนอะ”
ปลายนิ้วมือเพื่อนร่วมชั้นแตะเส้นผมเพียงผิวเผิน ก่อนจะผละมือขาวๆ ออกไป
อากิมิเงียบ มิฟุเนะก็เช่นกัน มิฟุเนะหันหน้าหนีแล้วเดินกลับโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ข้างหน้าเธอ
ฟู่ อากิมิถอนหายใจ
ช่วงนี้เธอถอนหายใจบ่อยขึ้นมาก จนติดเป็นนิสัยชวนหดหู่คล้ายคนแก่ ถึงจะอย่างนั้น แต่มันก็ดันถอนหายใจออกมาเอง ช่วยไม่ได้นี่นา
อากิมิยกนิ้วขึ้นลูบผมตัวเองที่มิฟุเนะแตะไปเมื่อครู่
เธอเริ่มไว้ผมยาวตั้งแต่ครึ่งปีก่อน จนถึงตอนนี้ไม่ใช่ผมยาวระดับ ‘ประบ่า’ อีกต่อไป แต่กลายเป็นความยาวพอสมควรขนาดที่เรียกได้ว่า ‘ผมยาว’ แล้ว
แต่ไหนแต่ไรทั้งผมและเล็บของอากิมิถึงได้ยาวเร็วกว่าคนอื่น
“หน้า ผม และเล็บของลูกเจริญเติบโตเร็วเนอะ เหมือนใครบางคนเปี๊ยบ”
แม่เธอเองยังชอบแซวเป็นประจำ
ขณะที่อากิมิจมจ่อมยู่กับความคิดของตนเอง อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านข้าง
“นี่ ทำไมวาคุอิถึงชื่อเล่นว่า ‘โทชิ’ ล่ะ?”
เสียงถามนั้นดังขึ้นทำให้เธอตื่นจากภวังค์
นี่ก็เป็นอีกเสียงที่คุ้นเคย แต่ต่างจากมิฟุเนะ เพราะมันเป็นเสียงที่ไม่อยากคุ้นแต่ก็ต้องคุ้นมาตั้งแต่เข้าเรียนมัธยมปลาย
อากิมิไม่ได้เงยหน้ามอง
“...ยามาเอะอีกแล้วเรอะ?”
เธอคำรามด้วยความโกรธ
“อื้ม ฉันอีกแล้ว”
อิจิพยักหน้าหงึกหงัก
*ยิ้มแบบอาร์คีอิก หรือ Ahachaic Smile หมายถึง การอมยิ้มน้อยๆ คล้ายการกลั้นยิ้ม