เวลาผ่านไปสักพัก ในไม่ช้าหยางที่กำลังเพลิดเพลินกับเหล้าดอกไม้อยู่นั้นจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีคลื่นความร้อนไหลตีกลับจากอวัยวะในกระเพาะ
หยางกำหมัดแน่น นี่ไม่ใช่อาการคลื่นไส้ ความรู้สึกเหมือนกับในร่างกายมีกระแสน้ำวนที่เชี่ยวกรากไหลเวียน
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยดื่มเหล้าแล้วรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
“อ๊ะ มีแค่ลูกพี่คนเดียวที่ดื่มแบบไม่ผสม!”
เสียงของลี่อิงเรียกสติของหยางให้กลับคืนมา อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่อครู่ราวกับเรื่องโกหก
“หยางกินแบบผสมน้ำดีกว่านะ”
หยางเดาะลิ้นใส่ฟอเนีย
ช่วยไม่ได้ เขาแสดงสีหน้าหงุดหงิดแล้วเติมน้ำลงไป
พอลองดื่มเหล้าดอกไม้ที่ผสมน้ำให้จางลงไปบ้าง คราวนี้รู้สึกดีขึ้น
แต่แล้วจู่ๆ หยางก็รู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่มองจ้องมา จึงวางจอกเหล้าลง
เขารู้สึกแปลกๆ แม้จะแค่วูบเดียว แต่เขารู้สึกได้เลยว่ามีคนมองมา
ใครกัน?
หัวคิ้วหยางขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว แต่ลี่อิงกับฟอเนียคิดว่าคงเป็นเพราะเขารู้สึกหงุดหงิดที่ถูกสั่งให้ดื่มเหล้าอ่อนๆ
"อย่าหงุดหงิดไปเลยน่าลูกพี่" ลี่อิงเอ่ยพลางกินข้าวไปด้วย
แสดงว่าสองคนนี้ไม่ได้รู้สึกว่ามีคนจ้องมองมาเหมือนที่เขารู้สึก
หยางลองกวาดตามองรอบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ไม่พบใครที่ผิดปกติ
จังหวะที่ทั้งสามคนออกจากร้านอาหาร รอบข้างก็มืดสนิทแล้ว
บนท้องฟ้ามีดวงจันทร์กลมโตส่องสว่าง พอตกกลางคืนอุณหภูมิก็ลดต่ำลงจนควรจะหนาว แต่สำหรับทั้งสามที่ร่างกายอบอุ่นจากการดื่มเหล้ามากลับรู้สึกสบายเมื่อได้สัมผัสกับสายลมเอื่อยๆ
“มหัศจรรย์จริงๆ ความรู้สึกแตกต่างกับตอนที่ดื่มเหล้าตามปกติเลย”
ฟอเนียพูดพร้อมกับเสยผมที่เสียทรงเพราะลมแรง
ความรู้สึกว่าร่างกายอุ่นขึ้นอาจไม่ต่างจากเหล้าทั่วไป แต่ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าต่างหากที่ต่างจากความรู้สึกหน่วงๆ เวลาดื่มเหล้าทั่วไป
อาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับหยางนั้นดูเหมือนว่าจะสงบลงแล้ว แต่ลึกๆ ความรู้สึกเหมือนมีกระแสน้ำวนร้อนๆ ยังคงไม่จางหาย
“รู้สึกอย่างกับมีพลังขึ้นมาเลยเนอะ มิน่าล่ะ เขาถึงพูดกันว่าเหล้าดอกไม้ดีต่อสุขภาพ”
“งั้นเหรอ? แต่จะว่าไปตอนรับน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่มหาวิหารก็ได้ยินว่าเขาใช้ดอกไม้ร่วงพวกนี้ทำเหมือนกันนี่เนอะ ไม่แน่นะ ดอกไม้พวกนั้นอาจจะมีพลังมหัศจรรย์อยู่จริงๆ ก็ได้”
ฟอเนียพยักหน้ายอมรับ
โคมไฟที่แขวนไว้ตามร้านรวงบนถนนส่องแสงสว่างจ้า เวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำ บรรยากาศจึงยังครึกครื้น สำหรับร้านอาหารแล้วน่าจะเป็นช่วงโกยกำไร
หัวค่ำแบบนี้ฟอเนียน่าจะกลับที่พักเองได้ แต่หยางกับลี่อิงยืนยันว่าจะไปเธอจนส่งถึงที่
สำหรับลี่อิงแล้ว การตีสนิทกับคนที่เพิ่งรู้จักนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ผิดกับหยางที่แม้จะใช้เวลาร่วมกันมาตลอดทั้งวันยังพูดจาห้าวห้วน ไม่มีแม้แต่อัธยาศัยไมตรีใดๆ การที่หยางบอกว่าจะไปส่งถึงที่พัก สำหรับฟอเนียจึงถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
เขาอาจจะเป็นสุภาพบุรุษกว่าที่คิดไว้ก็ได้นะ
เธอแอบรู้สึกประทับใจ
หยางยังคงติดใจเรื่องที่เขารู้สึกว่ามีคนแอบมองตอนอยู่ร้านอาหาร แต่แล้วความรู้สึกนั้นกลับหายไป
นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าใครจะมาสอดแนวหรือสะกดรอยตามโจรวิ่งราวแบบพวกเขาสองคนได้ เว้นแต่ว่าคนคนนั้นสะกดรอยตามฟอเนียมา
หยางที่คิดได้เช่นนั้นจึงคิดว่าอย่างน้อยควรมาส่งเธอให้ถึงที่พักเสียหน่อย ตอนจะแยกกันก็ไม่ลืมที่จะกำชับหญิงสาวว่าเดินคนเดียวให้ระวังตัวไว้
ทางกลับที่พักของทั้งคู่จำเป็นจะต้องเดินตัดออกไปที่ถนนใหญ่ พวกเขาจึงเลือกเดินทะลุออกมาทางถนนที่มีร้านอาหารตั้งเรียงรายแล้วตัดออกไปยังถนนสายเงียบๆ
เดินบนถนนสายนี้ต่อไปอีกพักหนึ่งหยางก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ตอนแรกเดินแถบที่มีฝูงชนคลาคล่ำจึงยังไม่รู้สึก แต่ทันทีที่ตัดออกมาถนนสายนี้เขาเริ่มรู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งตามมา
ตามมาตลอดตั้งแต่ร้านอาหารเลยงั้นหรือ?
ไม่สิ อาจจะตามมาก่อนหน้านั้นก็ได้
ตั้งแต่ตอนอยู่ลานกว้างที่พวกเขายืนดูดอกไม้ร่วงงั้นหรือ?
หรือว่าตามมาตั้งแต่ที่ตลาด?
หยางกับลี่อิงม้วนแขนเสื้อขึ้นอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ลี่อิงมีสีหน้าตึงเครียดเนื่องจากเริ่มรู้สึกได้เช่นกัน
หยางหันไปพยักหน้าเบาๆ
ฟอเนียดูท่าทางชอบวิวตอนกลางคืนมากทีเดียว เธอเดินพลางสอดส่ายสายตามองร้านรวงที่ทยอยปิดไปบ้างแล้วตามถนน
หยางรีบคว้าไหล่ของเธอเข้ามา
“โอ๊ย มัวแต่ตื่นตาตื่นใจแบบนี้ เดี๋ยวก็เดินสะดุดหรอก”
“อ๊ะ ขอโทษ”
เธอขอโทษจากใจจริง แต่หยางรีบฉวยโอกาสนี้กระซิบข้างหูเธอ
“มีคนกำลังสะกดรอยตามเจ้าอยู่ ถ้าข้าส่งสัญญาณให้เจ้ารีบวิ่งตามฉันไปที่ถนนใหญ่เลยนะ”
พูดแค่นั้นเขาก็รีบปล่อยมือ ดูจากไกลๆ น่าจะเหมือนพุ่งเข้ามาจับหญิงสาวไว้ไม่ให้หกล้มอย่างแน่นอน
ฟอเนียเบิกตากว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่หยางพูด เมื่อตั้งสติได้ก็รีบปิดปากสนิทด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
ทั้งหมดยังคงเดินต่อไปอีกสักพักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนี้ยังไกลเกินกว่าจะควบฝีเท้าออกถนนใหญ่
ตอนนี้ดูท่าทีว่าคนที่ตามมาจะยังไม่คิดเปิดเผยตัวตน
ช่วยอยู่แบบนี้ต่อไปอีกสักนิดเถอะ..
เมื่อเริ่มตื่นเต้นต่างคนต่างก็เลยเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเตือนตัวเองให้รักษาจังหวะการเดินให้เป็นปกติ
อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว...
“วิ่ง!” หยางสั่งการด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
จากนั้นทั้งสามก็วิ่งสุดชีวิต
ลี่อิงที่ตัวเบาที่สุดวิ่งนำไปลิ่วๆ หยางคว้ามือฟอเนียไว้แน่น จะปล่อยให้ล้มหรือพลัดหลงกันตอนนี้ไม่ได้เชียว
ได้ยินเสียงฝีเท้าจากคนที่ไล่ตามหลังมา ไม่รู้แน่ชัดว่ามีกี่คนแต่น่าจะมีจำนวนไม่มาก บางทีอาจจะแค่คนเดียวเสียด้วยซ้ำ
“หยุดก่อน!”
เสียงตะโกนสั่งให้หยุดดังมาจากเบื้องหลัง ด้วยความตกใจหยางเผลอบีบมือฟอเนียแรงขึ้นไปอีก
เสียงผู้หญิง!?
ใช่ เมื่อกี้เป็นเสียงผู้หญิงไม่ผิดแน่
ผู้หญิงคนเดียวสะกดรอยตามพวกเขามาเนี่ยนะ?
ถึงหยางกับลี่อิงจะเป็นแค่หนุ่มน้อย แต่ก็ไม่มีแก่ใจจะไปสู้รบปรบมือกับผู้หญิงตัวคนเดียวหรอก
ยิ่งกว่าความรู้สึกว่าผิดธรรมชาติเริ่มกลายเป็นความกังวลใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่แค่ออกไปถึงถนนใหญ่ได้ก็เรียกว่าหนีพ้นแล้ว ถ้าเป็นย่านที่มีคนเดินพลุกพล่าน อีกฝ่ายคงจะทำอะไรไม่ได้ง่ายๆ
พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าเสียงฝีเท้าที่ตามมาหยุดชะงักไป คงเหลือเพียงเสียงหายใจของตัวเองที่ดังก้อง
แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้
ตึง!
ได้ยินเสียงดังสะท้อนไปทั่วบริเวณพร้อมกับที่พวกหยางถูกกระแทกด้วยลมที่พุ่งเข้ามาจนล้มลงไปบนพื้น
ตึกๆๆ
ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้น ผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินใกล้เข้ามา