หลังจากเหตุการณ์นั้น เหมยกำชับพวกเด็กๆ ไว้ว่าห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเป็นอันขาด
เด็กที่ใช้คาถาเป็นทั้งที่ไม่เคยได้รับการสั่งสอนจากวิหารเทพเจ้า
คนที่มีความรู้เรื่องคาถาเทพ บนโลกนี้มีเพียงมนุษย์ที่สืบสายเลือดจักรพรรดิ ไม่ก็คนที่เคยร่ำเรียนจากวิหารเทพเจ้า คนที่แอบถ่ายทอดกันอย่างลับๆ อย่างพวกที่เรียกกันว่าจอมเวทย์ก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่มันก็เป็นแค่เรื่องที่เล่าลือต่อๆ กันมา เรื่องที่ว่าคนเหล่านั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ พวกหยางก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ในทางกลับกันหากหยางไม่ได้เป็นจอมเวทย์หรือสืบสายเลือดจักรพรรดิ เรื่องแบบนั้นก็ไม่น่าเกิดขึ้นได้
ในเมื่อไม่มีใครรู้เหตุผลที่มาที่ไปทำให้เรื่องนี้อาจจะกลายเป็นบานปลาย การที่เหมยตัดสินใจบอกให้ทุกคนปิดปากเงียบเอาไว้จึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
หยางขมวดคิ้วมองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้น
“...พูดบ้าอะไร ข้าจะใช้คาถาเทพอะไรนั่นได้ยังไงกัน?”
“แล้วเรื่องที่ไฟไหม้เมื่อสองปีก่อนล่ะ?”
“ก็แค่จุดไม้ขีดไฟแล้วมันหลุดมือไปเท่านั้นแหละ”
ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่ยอมรับหรืออย่างไร เขาทำสีหน้าไม่พอใจ แต่ยังคงตื๊อไม่เลิก
“หนวกหูน่า! เรื่องแบบนั้นมีจริงที่ไหน?”
หยางถูกจ้องเขม็ง คราวนี้กลายเป็นเด็กหนุ่มที่เป็นฝ่ายเงียบ ในขณะที่เด็กๆ ที่เหลือที่จ้องมองหยางเมื่อครู่เริ่มคลายความตื่นตัวลงพร้อมกับระบายลมหายใจเหมือนจะโล่งอกระคนเสียดาย
“เห็นไหมล่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะใช้คาถาเทพอะไรนั่นซักหน่อย”
เด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยท่าทีปราดเปรื่อง
ใช่แล้ว ตามปกติไม่น่ามีเด็กคนไหนในที่นี้จะใช้คาถาเทพได้แน่ แต่ในบรรดาคนที่เห็นเหตุการณ์ครั้งนั้น มีไม่น้อยเลยที่คาดหวังในตัวหยาง
ที่หยางตัดสินใจออกไปจากโกดังใต้ดินก็เพราะถูกคาดหวังแบบนี้นี่แหละ และที่สำคัญคือเขากลัวว่าจะทำให้พรรคพวกเดียวกันบาดเจ็บถ้าเผลอก่อเหตุแบบนั้นขึ้นอีก
“คิดว่าเอะอะอะไรกัน ที่แท้ก็พวกเจ้ามานี่เอง”
หันไปตามเสียงนั้นก็พบว่าเหมยกำลังเดินเข้ามาในห้องโถงพอดี พอเธอเห็นหน้าหยางกับลี่อิงก็ผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าทันที
ปีนี้เหมยอายุสี่สิบเจ็ดปีแล้ว ผมที่เดิมทีเคยเป็นสีเกาลัดอ่อนๆ เปลี่ยนไปเป็นผมขาวเกือบหมด เทียบกับเมื่อก่อนดูเหมือนเธอจะเริ่มมีหน้าท้องขึ้นมาบ้าง
เธอสวมกระโปรงและเสื้อนอกไม่มีกระดุมโดยมีผ้าคาดเอวพันไว้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าวันนี้เธอจะไม่ได้ดื่มเหล้าแต่หัววัน
“ไงป้า เอาของฝากมาให้น่ะ”
“ป้าแกสิไอ้เปี๊ยก! ไม่น่ารักยังไงก็ไม่น่ารักอยู่ยังงั้น ไม่เคยเปลี่ยน!”
เหมยส่งเสียงตอบหยางแล้วหัวเราะร่า
“เจ้าลี่อิงก็มากับเขาด้วยเรอะ?”
“อื้ม”
หยางกับลี่อิงปล่อยให้เด็กๆ แบ่งสรรปันส่วนของฝากที่ห้องโถงและตามเหมยไปที่ห้องส่วนตัวตามคำชวน ห้องของเหมยเป็นห้องเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเคยใช้ทำอะไรมาบ้าง แต่สังเกตว่าเป็นห้องที่ไม่มีรูปปั้นเทพเจ้าวางประดับเหมือนตรงห้องโถงและไม่มีการตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ จึงเดาเอาว่าอาจจะเป็นห้องเก็บของก็ได้ เธอเพียงแค่ขนโต๊ะเก้าอี้เข้ามาตั้ง แขวนผ้าทอประดับไว้ เพียงเท่านี้ก็ดูสมกับเป็นห้องของผู้หญิง
เหมยไม่รีรอรีบรินเหล้าสำหรับสามคนแล้วยื่นให้หยางกับลี่อิง
“ปล่อยให้หมอนี่ดื่มเหล้าจะดีเหรอ เหมย?”
หยางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่เหมยหัวเราะลั่น
“พูดอะไรอย่างนั้น ตอนเจ้าอายุเท่านี้ก็เคยขโมยเหล้าข้าไปกิน ข้ารู้ทันหรอกน่า”
“ใช่แล้วลูกพี่ แค่แก้วเดียวเอง สบายมาก”
ลี่อิงปรับอารมณ์ให้เข้ากับสถานการณ์ หยางก็เลยยื่นแก้วให้แบบไม่ค่อยเต็มใจนัก
ระหว่างที่ดื่มเหล้าหยางก็เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ไปจนกระทั่งถึงเรื่องที่ลี่อิงโอ้อวดว่าปลดเชือกกระเป๋าเงินเป็นแล้ว
เหมยหัวเราะร่าและให้ความเห็นว่า "เจ้านี่จวนจะเป็นไอ้เปี๊ยกตัวร้ายแล้วนะ" หยางเองก็มีความเห็นว่าพวกเด็กๆ ที่เพิ่งเข้ามาใหม่กับพวกเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนเริ่มฉายแววแล้วเหมือนกัน
“แล้วทุกคนสบายดีไหม?”
“...ไม่ค่อย เจ้าหวังถูกตำรวจจับได้น่ะ”
มือของหยางกับลี่อิงที่ถือถ้วยเหล้าอยู่หยุดชะงัก
หวังคือเด็กหนุ่มที่อยู่มาตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังอาศัยอยู่โกดังใต้ดิน
“ตอนนี้เป็นนักโทษอยู่เหรอ?”
“อืม ได้ยินว่าต้องไปทำงานสร้างกำแพงเมืองอีกครึ่งปี...ดีที่เจ้าเด็กนั่นร่างกายแข็งแรง กลับมาอีกทีคงไม่สึกหรอหรอกน่า”
นานมากแล้วที่ไม่มีเด็กๆ ในแก๊งโกดังใต้ดินโดนจับ
ทั้งคู่จึงสัญญาว่าจะแวะมาเยี่ยมและเอาขนมมาฝากอีกครั้งเมื่อหวังกลับมา จากนั้นเปลี่ยนเป็นคุยสัพเพเหระเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก
คุยกันจนเวลาผ่านไปพักหนึ่ง หยางก็เอ่ยปากว่ามีธุระจะคุยกับเหมย จึงขอให้ลี่อิงออกจากห้องไปก่อน
ทุกครั้งที่หยางกับลี่อิงมาเยี่ยม เหมยมักจะสั่งให้ลี่อิงทำนั่นทำนี่ อย่างวันนี้ก็บอกให้ช่วยเตรียมอาหารเย็นและทำความสะอาดห้อง
ลี่อิงดูอิดออดบ้าง แต่ก็ทำตามคำสั่งของเหมยแต่โดยดี แม้จะเป็นเด็กซื่อๆ แต่คนมีเซ้นส์แบบเขารู้ดีว่าเป็นเพราะเหมยกับหยางมีเรื่องที่ต้องคุยกันแบบส่วนตัว
“หยาง เจ้ายังทำตามที่ข้าบอกไว้อยู่รึเปล่า?”
พอลี่อิงไม่อยู่แล้วเหมยก็ออกปากถามหยางแบบตรงไปตรงมา
หยางทำหน้าบูด แต่ก็พยักหน้า
ช่วงหลังจากไฟไหม้เมื่อสองปีก่อน หยางซึ่งตัดสินใจออกจากโกดังใต้ดินและกำลังเตรียมตัวเก็บข้าวของอยู่นั้นถูกเหมยเรียกเข้าไปสอนวิธีนั่งสมาธิ โดยให้เหตุผลว่าเป็นการช่วยไม่ให้เกิดเรื่องไฟไหม้แบบคราวก่อน
นับจากนั้นทุกวันหยางก็จะทำตามคำสั่งสอนของเหมยอย่างเคร่งครัดโดยการนั่งสมาธิก่อนนอนไม่เคยขาด มาจนถึงทุกวันนี้หยางก็ยังคงรักษาคำพูดที่ให้ไว้ได้อย่างน่าชื่นชม
“ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นไหนทำให้ดูหน่อยซิ”