หยางหนีหายเข้าตรอกโดยไม่หยุดพัก เสียงใจเต้นโครมครามที่น่าจะดังจนคนรอบข้างได้ยินค่อยๆ สงบลง
น่าประหลาดตรงจังหวะที่ฉกของนิ้วของเขากลับไม่สั่นเลยแม้แต่น้อย
หยางมารวมตัวกับพรรคพวกที่เพิ่งออกมาจากตลาด แน่นอนว่าทั้งหมดยังคงซ่อนตัวแฝงอยู่ในความมืดในตรอกพลางตรวจดูกระเป๋าสตางค์ที่ฉกมาได้ พบว่าข้างในเต็มไปด้วยเงินชิลลิ่ง*
รายได้ที่หาได้เป็นครั้งแรกในชีวิตกลายเป็นสกุลเงินที่ไม่เคยเห็นไปเสียอย่างนั้น
เพื่อนๆ เรียงตัวเข้ามาชมเชยว่าหยางทำได้ยอดเยี่ยม บางคนก็พยักหน้าแรงๆ หลายหน บางคนตบไหล่
หยางผู้เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เดินทางออกจากเมืองและเข้าเป็นพวกเดียวกับเด็กหนุ่มแก๊งหัวขโมย โดยอาศัยกินนอนอยู่ภายในโบราณสถานที่พวกเขาเรียกว่าโกดังใต้ดิน
ในตอนนั้นเด็กน้อยไม่มีใจจะกลับไปบ้านเด็กกำพร้าอีกแล้ว
หากว่าเขากลับมาที่โกดังใต้ดินโดยไม่รับรู้รับเห็นอะไร เขาในตอนนั้นก็คงหลับสบายอย่างอิ่มเอมใจไปพร้อมๆ กับเด็กหนุ่มคนอื่นๆ
โบราณสถานเป็นอารยธรรมโบราณที่พรรคพวกของเขาเรียกกันว่าโกดังใต้ดิน สร้างขึ้นโดยการนำหินขนาดใหญ่มาเรียงซ้อน บางครั้งจึงมีเสียงสะท้อนก้อง และเนื่องจากสภาพที่เหลือเป็นแค่ซากปรักหักพังไปแล้ว ปัจจุบันจึงกลายเป็นโบราณสถานที่ถูกทิ้งร้างไว้โดยไม่ได้รับการดูแลอย่างสมเกียรติจากภาครัฐ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีรูปปั้นตัวแทนเทพเจ้าประดิษฐานอยู่บ้าง แต่รูปปั้นพวกนั้นส่วนใหญ่ไม่แขนขาขาดก็เศียรหาย ตอนกลางวันน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ตกกลางคืนนี่สิ มันช่างน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งเห็นรูปปั้นไร้เศียรที่มีแสงจันทร์นวลสาดส่องแล้วยิ่งทำให้กลัวจนหัวหด
เหล่านี้เป็นเทพเจ้าแห่งอารยธรรมโบราณ ตามตำนานเล่าขานกันว่าพวกท่านได้ทอดทิ้งมนุษย์ไปนานมาแล้ว
หยางบอกตัวเองว่ารูปปั้นพวกนี้คงไม่ขยับเพื่อมาลงโทษเขาหรอกกระมัง แต่ที่เขากลัวขนาดนี้คงเป็นเพราะว่าย้อนนึกไปถึงตัวเองที่เพิ่งขโมยของเป็นครั้งแรกมากกว่า
หลังจากนั้นบรรดาเด็กหนุ่มที่หาเงินได้มากกว่าก็มักจะแบ่งสรรปันส่วนให้ได้เท่าๆ กัน ซึ่งต่างคนก็นำไปใช้ตามชอบใจ บางคนไปหาซื้ออาหารประเภทเนื้อ บางคนก็ไปซื้อขนมที่นานๆ จะกินเสียที
หยางตั้งใจว่าจะรอจนกว่าชายคนนั้นจะกลับไปก่อน เขาจึงหาอะไรทำฆ่าเวลาคนเดียว ก่อนจะกลับไปซื้อผลรูโอแสนหวานที่ตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่หากินไม่ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะตอนที่อยู่บ้านเด็กกำพร้าจนๆ นั่น
เขากัดผลรูโอพลางเดินเรื่อยเปื่อยไปในเมือง เตือนตัวเองว่าต้องกลับไปที่โกดังใต้ดินก่อนมืด ฉะนั้นแค่ระวังไม่ให้ตัวเองเผลอเดินไปแถวๆ บ้านเด็กกำพร้าก็พอ
หลังจากกินผลรูโอหมดเกลี้ยงแล้วก็ทิ้งแกนของผลไม้นั้นไว้ริมทาง
ระหว่างที่เดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายก็เกิดเจอถนนที่มีร้านรวงหรูหราตั้งเรียงราย มีทั้งร้านขนมที่ดูสะอาดสะอ้าน รวมถึงร้านขายตุ๊กตาเครื่องเคลือบดินเผาสีขาว
หน้าต่างของร้านรวงที่หันออกไปทางถนนจะมีการติดกระจกเอาไว้ทำให้มองเห็นสินค้าจากด้านนอกได้
หยางที่ขณะนี้อยู่ในสภาพซอมซ่อดูอย่างไรก็ไม่เข้ากับสถานที่เอาเสียเลย
ขืนเดินตามถนนแบบนี้อาจจะเป็นจุดเด่นได้ เขาเลยคิดว่าจะเลี้ยวตรงมุมถนนแล้วหนีออกไปจากที่นี่
ทันในนั้นเขาก็ได้ยินเหมือนเสียงบ่นก่นด่าดังขึ้น ลองหันไปดูก็พบว่ามีชายคนหนึ่งกำลังโดนไล่ออกจากร้านขายยา
“ออกไปเลยนะ! ข้าไม่ได้เปิดร้านขายยาทำการกุศลนะโว้ย!”
“ช่วยรอก่อนเถอะ! จำได้ว่ามีเงินอยู่แน่ๆ!”
“ก็ตอนนี้มันไม่เห็นนี่ พูดไปก็เท่านั้น!”
ชายชราผมขาวในร้านขายยาพูดกับผู้ชายตรงหน้าอย่างไร้เยื่อใย
ภาพนั้นทำให้อู๋หยางตัวแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่า ชายคนที่กำลังถูกไล่ออกจากร้านขายยาเหมือนหมูเหมือนหมาเป็นเหยื่อวิ่งราวของเขาเมื่อครู่นั่นเอง
ชายคนนั้นอ้อนวอนเจ้าของร้านขายยายิ่งกว่าเดิม
“ขอร้องละ...เมียข้าอาการหนักจริงๆ เรื่องเงินเดี๋ยวจะไปหามาจ่ายแน่นอน...แต่ตอนนี้จำเป็นต้องใช้ยาจริงๆ”
ชายผู้นั้นจับแขนเสื้อของชุดกรอมเท้าที่ตัดเย็บอย่างหรูหราของคนขายยาอย่างเอาเป็นเอาตาย เนื้อตัวของเขาสั่นเทา แม้จะมองหน้าของคนทั้งสองแทบไม่เห็น แต่ก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของร้านขายยากำลังมองชายตรงหน้าด้วยสีหน้าสมเพชเวทนา
“ทำเป็นพูดดี สีหน้าเจ้าดูน่าจะตายก่อนเมียซะอีก บอกว่าจะทำงานหาเงินมาชดใช้ค่ายาให้ใช่ไหม?”
เจ้าของร้านขายยาพูดแบบนี้คงเริ่มคลายอารมณ์โกรธลงบ้างแล้วกระมัง สังเกตว่าเขาถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะจะมาให้ข้าบริจาคยาเพื่อการกุศลก็คงทำไม่ได้หรอกนะ ทำเป็นบอกว่าจะหามาใช้คืนให้ สภาพนี้คงลงเอยที่เจ้าล้มตายไปก่อนเป็นแน่แท้”
เจ้าของร้านขายยาสะบัดตัวเดินออกจากชายคนนั้น เขาเห็นชายคนนั้นล้มกลิ้งลงไปบนพื้นหิน ได้ยินเจ้าของร้านขายยาพูดทิ้งไว้ว่า "อย่าผูกใจเจ็บกันเลยนะ" แล้วก็เดินกลับเข้าร้านไป
“รอก่อน! จะจ่ายค่ายาให้แน่นอน! จะจ่ายให้แน่ๆ...”
ชายคนนั้นยืนทุบประตูร้านที่ดูเหมือนว่าจะถูกล็อกจากด้านในไปแล้ว
ประตูคงไม่พังง่ายๆ ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะเริ่มสัมผัสได้จึงเปลี่ยนเป็นเคาะประตูและโวยวาย
ร้านอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกนั้นเริ่มโผล่หน้ามาดูเหตุการณ์ ทุกคนล้วนแสดงสีหน้าว่ายุ่งยากใจและกลับเข้าร้านไป
คนที่บังเอิญเดินผ่านมาก็เพียงแต่ชำเลืองมองชายคนนั้น แล้วสุดท้ายก็เดินจากไป
ชายคนนั้นเคาะประตูอยู่แบบนั้นต่อไปอีกพักหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าประตูร้านยาคงไม่มีวันเปิด เขาก็ได้แต่เกาะประตูทรุดตัวลงกับพื้น
ในที่สุดชายผู้ถอดใจก็ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง ฝีเท้าที่ขยับไปข้างหน้าเหมือนวิญญาณลอยนั้นมุ่งหน้ามาตรงมายังจุดที่หยางยืนอยู่
หยางวิ่งหนีราวกับถูกดีด แล้วเลี้ยวหายเข้าไปบริเวณหัวมุมที่ใกล้ที่สุด
ผู้ชายคนนั้นคงจะจำหน้าเขาไม่ได้หรอก แต่ถึงอย่างไรก็ควรหนีเอาไว้ก่อน
หลังจากนั้นเขาก็แทบจำไม่ได้ว่าพาตัวเองกลับไปที่โกดังใต้ดินอย่างไร รู้ตัวอีกทีเขาก็มาอยู่ตรงที่เดิมพร้อมกินอาหารมื้อเย็นแล้ว
*ชิลลิ่งเป็นหน่วยเงินตราที่ใช้ในสหราชอาณาจักรและประเทศเครือจักรภพ โดย 1 ปอนด์สเตอลิงเท่ากับ 20 ชิลลิ่ง และ 1 ชิลลิ่งเท่ากับ 20 เพนนี