วันรุ่งขึ้นพวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจฉกชิงวิ่งราวข้าวของที่บรรดานักเดินทางผู้เลินเล่อพกติดตัวมาเช่นเคย
อู๋หยางที่หลับสนิทตลอดคืนลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไปเกือบหมดแล้ว ส่วนลี่อิงก็กลับมาอารมณ์ดี เป็นเช้าที่ปกติไม่ต่างจากทุกวัน
แต่แล้วจู่ๆ ชั่วแวบหนึ่งตรงถนนใหญ่ ทั้งคู่เห็นสาวน้อยคนเดิมที่เจอเมื่อวาน
การหวนมาเจอกับเหยื่อวิ่งราวแบบนี้เป็นอะไรที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้เลยในเมืองฮวงเจ็งซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาะกิเลนอันแสนกว้างใหญ่
ดูเหมือนเด็กสาวคนนั้นจะวนเวียนถามอะไรบางอย่างจากคนที่เดินผ่านไปมาตามท้องถนนอยู่
คงไม่ใช่เวลาที่หยางและลี่อิงจะมาหยุดยืนอยู่แบบนี้ได้
เมื่อคิดอะไรไม่ออกทั้งสองคนเลยซ่อนตัวในตรอกพลางแอบส่องพฤติกรรมของเด็กสาวอย่างเงียบเชียบ
ถ้าเกิดว่าเธอกำลังหาตัวคนร้ายวิ่งราวละก็ งานเข้าแน่ทีนี้
เธออาจจะยังไม่รู้แน่หรอกว่าคนที่ขโมยกระเป๋าไปเป็นเด็กหนุ่มที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาทักทายหรือเปล่า แต่ที่สำคัญคือเธอเคยเห็นหน้าอู๋หยางแล้ว
เธอวิ่งเหยาะๆ ไปทางคนที่เดินผ่านไปมาเหมือนจะเข้าไปพูดอะไรสักอย่าง ปฏิกิริยาตอบกลับของคนพวกนั้นก็มีทั้งส่ายหัวใส่บ้าง มองกลับมาอย่างสงสัยบ้าง
เธอโค้งให้หนึ่งครั้งแล้วเดินจากไป ผมนุ่มสลวยนั้นพลิ้วไปตามลม ก่อนจะพุ่งเข้าหาคนที่เดินผ่านมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เด็กสาวถามอะไรจากคนที่เดินผ่านไปมาพวกนั้นกันนะ
พวกเขาไม่ได้ยินก็จริง แต่แอบได้ยินคู่สามีภรรยาสูงวัยที่เพิ่งถูกตั้งคำถามและเดินผ่านมาบริเวณตรอกคุยกัน
“ขอให้หาเจอทีเถอะเนอะ”
“จริงด้วย ทำของหายในที่แบบนี้คงลำบากหน่อยแหละ”
หยางกับลี่อิงได้ยินเข้าก็หันขวับมามองหน้ากัน
“ยายเจ๊นั่นคิดว่าตัวเองทำของหล่นหาย ไม่ได้คิดว่าโดนขโมยไปงั้นเหรอ?”
“เหมือนจะเป็นยังงั้นนะ”
หยางพูดอะไรไม่ออกจึงตอบไปอย่างนั้น
ความจริงความเข้าใจผิดแบบนี้เป็นโอกาสงามสำหรับพวกเขา
คนอะไรจะซื่อจนเซ่อได้ขนาดนั้น ทั้งที่จริงจะฟันธงว่าเป็นเพราะหยางก็ได้
หรือที่จริงแล้วเธอไม่ได้ระแวงอะไรเขาเลย?
เธอเชื่อเรื่องที่หยางบอกว่าให้ทำตามคำสอนของเทพไป๋เหลียงอย่างนั้นหรือ?
“...สถานการณ์ยังไม่เลวร้าย แต่เอาเป็นว่าเราไปทางอื่นเหอะ”
“ได้เลย ลูกพี่!”
ทั้งสองออกจากตรงนั้นแล้วอ้อมไปทางอื่น เพื่อมุ่งหน้าไปยังลานกว้างหน้าวิหารใหญ่
พวกเขาตั้งใจจะวนหาเหยื่อสักรอบแล้วค่อยแวะตลาดเพื่อหาซื้ออะไรกินก่อนกลับ ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมแอบดูสถานการณ์ที่ถนนใหญ่ไปด้วย ถึงจะย้ายที่แล้ว แต่เด็กสาวยังคงปักหลักอยู่ตรงถนนใหญ่
ดูเหมือนเธอจะเหนี่ยวคนที่เดินผ่านไปมาและถามอะไรบางอย่างซ้ำๆ
เห็นได้ชัดเลยว่าเธอกำลังเหนื่อยล้า เพราะขาที่ก้าวไปหาผู้คนนั้นดูหนักอึ้ง อีกทั้งตอนโค้งคำนับก็ดูหมดเรี่ยวแรง
“เจ๊นั่นยังถามหาของอยู่อีก จะหาไปถึงเมื่อไหร่กันนะ?”
ได้ยินเสียงลี่อิงตั้งคำถามดด้วยความประหลาดใจ สีหน้าเขาดูกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
เห็นเด็กสาวตามหาของอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว หัวใจที่มีคุณธรรมเพียงน้อยนิดดูเหมือนจะเจ็บปวด
“นี่ หรือเราจะไปบอกยายนั่นตรงๆ ว่าเราขโมยมาแล้วก็คืนให้ไปดีไหม?”
ลี่อิงยื่นข้อเสนอ แต่หยางส่ายหัวแล้วตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย
“พูดอะไรบ้าๆ”
“ก็เห็นเจ๊เขาตามหาซะขนาดนั้น”
“ยายนั่นอาจจะทำทีเป็นทำตกไว้ เพื่อล่อให้พวกเราโผล่ออกไปก็ได้”
“ก็เป็นไปได้”
ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนลี่อิงจะยังห่วง สังเกตว่าเขายังคอยมองไปทางเด็กสาวคนนั้น
เอาจริงๆ หยางไม่ได้คิดว่านั่นเป็นการแสดงตบตาหรอก หากเป็นการแสดงจริง ยายนี่คงฝีมือขั้นเทพ
เท่าที่เขาคุยกับเธอเมื่อวานก็ดูออกว่าเธอเป็นคนซื่อ เธอคงคิดไม่ได้หรอกว่าหยางเป็นคนเจ้าเล่ห์และใช้แผนตบตาเพื่อดึงความสนใจ
แต่ไม่ว่าเธอจะคิดอย่างไรก็เรียกว่าเป็นเรื่องยุ่งยากไม่ต่างกัน
“ไปเหอะ!”
หยางถอนหายใจและหันหลังเดินออกมาทั้งอย่างนั้น ทำให้ลี่อิงไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้
***
คืนแรกที่วิ่งราว หยางกลัวจนหลับไม่ลง เขาคิดว่าตัวเองต้องโดนเทพลงทัณฑ์เป็นแน่
รอบๆ ตัวเต็มไปด้วยชายหนุ่มที่กลับมาจากวิ่งราวแล้วครองพื้นที่ตามชอบใจ ก่อนจะขดตัวหลับใหลภายในผ้าห่ม
ถึงพื้นที่ที่ทำจากซากปรักหักพังแห่งนี้จะเย็นเยียบก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนของทุกคน
มีเพียงหยางคนเดียวที่นั่งห่อตัวด้วยผ้าห่มอยู่ริมกำแพง เม้มปากแน่นๆ พร้อมกับหลับตาลง
และแล้วฝันร้ายก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง...
หยางที่เติบโตเต็มวัยคิดเช่นนั้น ใจหนึ่งเขารู้ดีว่ามันเป็นแค่ฝัน
ไอ้ฝันแบบนี้ก็แค่รีบๆ ตื่นจะได้หายไปเสียที แต่ทุกครั้งที่ความมืดเข้าโอบล้อมก็มักจะทำให้ลืมได้เสมอว่านี่เป็นความฝัน
เขายังคงถูกดูดเข้าไปในฝันนั้นเรื่อยๆ...จนกระทั่งกลับไปตอนที่เขาอายุเจ็ดขวบ
วันนั้นเป็นวันที่ลมสงบ หน้าต่างหลายบานจึงถูกเปิดไว้ มีแสงจันทร์อ่อนๆ ส่องลอดเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นกลางดึกที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด
คืนนั้นหยางได้กระเป๋าสตางค์ของชายคนหนึ่งมา ชายคนนั้นเป็นพวกเดียวกับแก๊งโกดังใต้ดิน
เขาได้ทำการฝึกซ้อมวิธีการล้วงกระเป๋าโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวจากรุ่นพี่มาอย่างโชกโชน
พวกเด็กหนุ่มที่ช่วยฝึกซ้อมให้พากันยอมรับว่าเขาทำได้ แต่พอถึงเวลาลงมือจริงๆ เขากลับตื่นตูมและใจเต้นตึกตัก
ที่ที่เขาเลือกลงมือก็คือมุมหนึ่งในตลาด เหยื่อเป็นชายวัยสามสิบกลางๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ไม่อาจเรียกได้ว่าชั้นสูง ดูอย่างไรก็ไม่น่าเป็นคนมีเงิน แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งในแก๊งเดียวกันกับเขาเห็นแวบหนึ่งว่ากระเป๋าสตางค์เขาท่าจะหนักเอาเรื่อง อาจจะเป็นพวกลูกขุนนางที่แอบปลอมตัวมากระมัง
คิดได้ถึงตรงนี้ใจของอู๋หยางก็เต้นระรัวจนถึงขีดสุด
ก่อนอื่นเขาให้พรรคพวกเข้าไปที่ร้านเดียวกับชายคนนั้นและแสร้งชนตะกร้าใส่มันฝรั่งเพื่อให้เขาหันหลังมาตามแผน จังหวะที่ชายคนนั้นกำลังตกใจก็จะเข้าไปใกล้ๆ แล้วล้วงกระเป๋าแบบเงียบเชียบและรวดเร็วที่สุด
เมื่อสัมผัสได้ถึงวัตถุแข็งๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นกระเป๋าสตางค์ไม่ผิดแน่
หยางค่อยๆ หยิบสิ่งนั้นออกมาอย่างราบรื่นแล้วยัดใส่กระเป๋าตัวเองแบบหน้าตาเฉย ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนใจหัวมันที่หล่นเกลื่อนพื้น เขาก็แอบหนีเข้าตรอกไปอย่างไร้ร่องรอย