“โอ๊ย พอได้แล้วน่า เลิกอารมณ์บูดซักที”
ลี่อิงร้องใส่หยางที่ทำหน้าเซ็งอย่างชัดเจน
ตั้งแต่ขโมยของจากเด็กสาวคนนั้นก็อารมณ์เสียมาตลอด เนื่องจากของที่ฉกชิงมาได้จากเด็กสาวเป็นเพียงข้าวของกะโหลกกะลาก็เลยผิดหวังครั้งใหญ่
“อุตส่าห์คิดว่าจะได้กำไลหยกแท้ๆ”
ลี่อิงนั่งเท้าคางบนเก้าอี้จ้องมองของที่ฉกมาจากเด็กสาวอย่างอาลัยอาวรณ์
สิ่งที่ได้มาเป็นหินสีดำขัดเงาทรงกลมแบน ขนาดวางบนฝ่ามือได้พอดี มีรูตรงกลางพอจะสอดนิ้วเข้าไปได้สองสามนิ้ว
ดูจากรูปทรงอาจเป็นเครื่องประดับที่จะเรียกว่ากำไลก็คงได้
ตอนที่ลี่อิงใช้นิ้วสัมผัสเจอตอนสอดมือเข้าไปในกระเป๋าใส่ของกระจุกกระจิกของเด็กสาว เขามั่นใจว่ามันต้องเป็นกำไลหยกที่มีมูลค่าอย่างแน่นอน แต่กลับกลายเป็นกำไลหินสีดำสนิทที่ถึงแม้จะได้รับการขัดมาแล้วแต่ก็ไม่ขึ้นเงาเลยแม้แต่น้อย
นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าจะมีค่าอย่างไรได้
บริเวณด้านหน้าดูคล้ายจะมีอักษรอะไรสลักอยู่ แต่โชคร้ายที่ทั้งสองคนอ่านหนังสือไม่ออก
“เอาน่า มันก็ต้องมีวันแบบนี้บ้างแหละ”
ลี่อิงเองก็ยังคงติดใจเรื่องนี้อยู่
หยางหยิบกำไลหินสีดำมาจากมือเขาอย่างง่ายดาย เขากำหินสีดำไว้ในมือจนแน่น รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกจนแยกไม่ออกว่ารู้สึกแบบไหนก่อนกัน ระหว่างรู้สึกว่าเย็นกับรู้สึกแปลกๆ
ตอนที่กำลังกำหินแน่น เขาถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกหนึ่งจนต้องหยุดเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว
เขารู้สึกว่าได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักจนต้องจับจ้องมองกำไลในมืออย่างไม่สามารถละสายตาได้เลย
“...ลูกพี่?”
ลี่อิงผู้สังเกตเห็นอากัปกิริยาที่แปลกไปของอีกฝ่าย ทำให้จ้องมองหยางด้วยความประหลาดใจ
หยางยังคงมึนงงกับความรู้สึกเหมือนถูกจู่โจมอย่างกะทันหันจึงไม่มีทีท่าว่าจะตอบอะไรกลับมา
มันไม่ใช่สัมผัสที่ไม่น่าพอใจ แต่กลับเป็นความรู้สึกดึงดูดใจอย่างรุนแรง เหมือนเป็นสิ่งที่ตามหามานาน...
ตอนที่รู้สึกตัวว่าสิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้เป็นสิ่งที่คิดถึงและโหยหานั้นเองก็ต้องตื่นจากภวังค์ด้วยเสียงเรียกดังสนั่นของลี่อิง
“ลูกพี่!”
“...อืม อ้า”
ทั้งที่มั่นใจว่าจับหินที่เย็นเยียบอยู่แท้ๆ แต่กลับรู้สึกราวกับมีความร้อนแล่นผ่านฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ เหม่ออยู่นานเชียว”
“ไม่มีอะไรนี่”
ตั้งแต่ขโมยมาจากเด็กสาวคนนั้นลี่อิงก็เป็นคนถือหินสีดำนี้เอาไว้ตลอด
ตอนประเมินค่าของที่ได้หลังจากการฉกชิง หยางก็เพียงจ้องมองของชิ้นนี้ที่อยู่บนฝ่ามือของลี่อิง เพิ่งจะได้สัมผัสด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก
ว่าแต่ลี่อิงที่ถือมันไว้ในมือตลอด ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ
ความรู้สึกคิดถึงโหยหาแบบนั้น
หยางรีบเปลี่ยนความคิดใหม่
ไอ้ของที่ไม่เคยแม้แต่เห็นหรือสัมผัสมาก่อนเลยในชีวิตเนี่ยนะจะไปมีคุณค่าอะไรให้อาลัยอาวรณ์ได้ขนาดนั้น?
เขาคงคิดไปเอง
แต่ถึงอย่างนั้นกลับรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ได้เอามันกลับไปคืนลี่อิง แต่โยนมันลงลิ้นชักตู้วางของแทน
“...ช่างเรื่องนี้ก่อนเถอะ เจ้าน่ะเมื่อเช้ายังไม่ได้ขยับแผนที่ใช่ไหม?”
พอเปลี่ยนเรื่องคุยก็เริ่มได้สติ ลี่อิงผู้ไม่มีท่าทีสงสัยกับการเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันก็ส่งเสียงร้อง "อ๊ะ" ขึ้นมา
“ลืมไปซะสนิทเลย!”
ภายในบ้านหลังนี้จะมีแผนที่ทำจากไม้ที่เจ้าของบ้านคนเก่าเคยทำเอาไว้ เป็นแผนที่ที่มีความยาวประมาณคนกางแขนซึ่งแขวนเอาไว้ที่กำแพงห้องนั่งเล่น
ลี่อิงปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ ลนลานโน้มตัวไปยังแผนที่บนกำแพง
การขยับสิ่งนี้หลังวันเดินทางคืองานประจำของเขา
มันไม่ใช่งานที่สลักสำคัญอะไรนักหรอก แต่แผนที่ไม้ซึ่งแขวนอยู่บนกำแพงใช้อุปกรณ์วาดภาพประเภทเดียวกับที่ใช้ในการวาดทะเล ลากแบ่งด้วยเส้นละติจูดและเส้นลองติจูด หนำซ้ำบนแผนที่ยังมีรูอยู่แบบกระจัดกระจายอีกต่างหาก
รูเจาะไว้เป็นจุดไข่ปลาและมีวงกลมแสดงภาพสองเกาะสามแผ่นดินกลางทะเล ตรงจุดใจกลางวงกลมที่แทนแต่ละเกาะยื่นไปเชื่อมยึดโยงแผ่นดินเข้าไว้ด้วยกัน เมื่อกาลเวลาผ่านไปหนึ่งปีก็จะหมุนเวียน
วงกลมที่วาดเป็นรูมีห้าอัน ที่หมุนรอบใจกลางคือเกาะกิเลน ที่วนรอบทางทิศตะวันตกคือเกาะเสือขาว ทางด้านตะวันออกเป็นดินแดนมังกรเขียว ทางเหนือเป็นดินแดนเต่าดำ ทางใต้เป็นเกาะหงส์แดง ซึ่งเกาะหงส์แดงมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของเกาะกิเลนเท่านั้น
แผ่นดินทั้งห้าบนแผนที่จะปักหมุดเอาไว้ รูที่แสดงตำแหน่งปัจจุบันจะใช้ม้าจิ๋วปัก เพราะฉะนั้นในคืนของวันเคลื่อนย้ายซึ่งก็คือทุกๆ ห้าวันที่เกาะกับแผ่นดินจะเคลื่อนย้ายไปบนทะเล จึงต้องเปลี่ยนตำหน่งม้าจิ๋วไปปักหมุดที่รูข้างกันนั่นเอง
นอกจากทำหน้าที่เป็นแผนที่แล้วยังเป็นปฏิทินที่บอกให้รู้ว่ากำลังเข้าใกล้แผ่นดินอื่นหรือไม่ในเวลาเดียวกัน เมื่อใดที่เกาะเคลื่อนเข้าใกล้แผ่นดินจึงจะแขวนสะพานได้ และเมื่อไหร่ถึงฤดูที่มีนักเดินทางเพิ่มจำนวนก็จะเป็นเวลาทำมาหากินของหยางกับลี่อิง ฉะนั้นทั้งคู่จึงทะนุถนอมแผนที่นี้เป็นอย่างยิ่ง
ลี่อิงได้ย้ายม้าจิ๋วของเกาะกิเลนไปที่รูข้างๆ ทำให้ดินแดนอื่นๆ ที่เหลืออีกสี่แห่งเคลื่อนตาม
ที่ม้าจิ๋วตัวหนึ่งตรงรอบนอกเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง เวลาที่แผ่นดินแต่ละแห่งเคลื่อนที่เข้ามาใกล้กันมีผลทำให้เมืองหลวงของแต่ละที่เข้ามาใกล้กันตามที่กะเกณฑ์เอาไว้ด้วย
ด้วยเหตุนี้พอดูแผนที่จึงพบว่าเหลือเวลาอีกเพียงนิดเดียวเกาะกิเลนกับเกาะเสือขาวก็จะเข้าใกล้กันที่สุด
“แค่นี้ก็เรียบร้อย ฮึบ!”
พอขยับแผนที่เสร็จ ลี่อิงก็เอ่ยด้วยความพึงพอใจ
เขามัวแต่ลนลานเพราะคิดว่าโดนหยางโกรธเข้าให้เลยลืมคิดไปว่าดูเหมือนทางนั้นจะลืมเหตุผลที่อารมณ์เสียไปแล้ว
พวกเขาทำอาหารเย็นกินกัน ก่อนถึงเวลาฟ้าเปลี่ยนสีจนมืดมิด ทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว แม้แต่น้ำมันที่ใช้จุดไฟสำหรับพวกเขายังเรียกว่าแพงเกินไป จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้นอนหลับอุตุตอนฟ้ามืดแบบนี้
คืนก่อนเกาะกิเลนเคลื่อนตัวด้วยความเร็วค่อนข้างมากเลยทำให้เกิดลมแรงจนต้องปิดหน้าต่างบานเกล็ด แต่มาวันนี้ดูเหมือนว่าลมจะไม่ได้แรงขนาดนั้น ทั้งสองจึงตัดสินใจนอนเปิดหน้าต่าง แล้วขดตัวสบายในผ้าห่มเน่าๆ
ขณะที่นอนฟังเสียงลี่อิงกรนอยู่นั้น หยางยื่นมือออกไปสัมผัสแสงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างพร้อมๆ กับนึกถึงสัมผัสตอนที่จับหินสีดำนั้น
มันคืออะไรกันนะ?
ทำไมลี่อิงถึงไม่รู้สึกอะไรเลย มีแต่เขาที่รู้สึกประหลาดๆ แบบนี้?
คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
หยางถอดใจ ลดมือลงแล้วหลับตา พร้อมกับเสียงต้นไม้ไหวตามลมแผ่วเบา