คืนที่วิ่งราวครั้งแรกอู๋หยางกลัวจนหลับไม่ลง
วันนั้นเขาได้ฉกชิงกระเป๋าสตางค์มาจากชายคนหนึ่ง โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะนำพาชีวิตเขาไปสู่ที่ใด
หยางที่เพิ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาเดาะลิ้น
แย่จริง
เขาฝันเห็นอะไรที่สะอิดสะเอียนสุดๆ
เมื่อวานเป็นวันแรกที่ย้ายมา ลมพัดแรง หน้าต่างบานเกล็ดที่ปิดไว้แน่นหนาส่งเสียงดังกึกกักตลอดทั้งคืน เพราะไอ้เจ้าเสียงกึกกักนี่แน่ๆ ถึงได้ฝันน่าขยะแขยงขนาดนั้นได้
เขาลุกขึ้นจากเตียงโทรมๆ แล้วเปิดหน้าต่างบานเกล็ดออก แสงแดดส่องเข้ามาภายในห้องเผยให้เห็นผนังฉาบปูนขาวสว่างไสว
ชายหนุ่มหยิบเสื้อนอกที่ถอดทิ้งเอาไว้ที่ปลายเตียงขึ้นมา ลองเอาเสื้อนอกที่ประกบกันความยาวคลุมมิดสะโพกตัวนั้นเข้ามาใกล้จมูก เห็นว่ายังไม่เหม็นเลยเอามาพาดแขนทั้งอย่างนั้น
เสื้อนอกสีน้ำเงินเข้มปักลายมังกรตั้งแต่ไหล่ซ้ายไปจนตลอดแขนนั้นใส่บ่อยจนโทรมไปมากแล้ว คอเสื้อแบบตั้งก็ดูยวบยาบ ตัวกระดุมตกแต่งที่ถักด้วยเชือกและรังดุมหลุดลุ่ยเจียนจะขาด แต่เขาก็ยังใส่อยู่
จากนั้นเขาก็หันไปปลุกน้องชายร่วมสาบานที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้น
บนพื้นซึ่งเป็นการปูหินดำขนาดใหญ่อัดแน่นนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งหลับใหลอยู่
ทีแรกก็เป็นแค่ฟูกนอนที่มันมีรูตรงนั้นตรงนี้จนไส้ในโผล่ออกมาให้เห็น แต่ก็ยังเอาสิ่งที่เรียกว่าฟูกนอนนั้นปูไว้ข้างใต้
เขาใช้เท้าที่สวมรองเท้าผ้าสีดำเตะชายหนุ่มซึ่งนอนห่อตัวกลมดิกอยู่ในผ้าผืนเก่าซอมซ่อเบาๆ
“เฮ้ย ตื่นได้แล้ว ลี่อิง”
เขาเกาศีรษะที่มีผมสีดำตัดสั้นแกรกๆ กลั้นหาวพลางส่งเสียงเรียกชายหนุ่มทั้งที่ยังคงอาลัยอาวรณ์เตียงนอนอยู่ไม่น้อย
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าลี่อิงลุกขึ้นนั่งขยี้ตาอย่างไม่ยี่หระการทักทายยามเช้าที่ร้อนรนนั้น
“อืม...อรุณสวัสดิ์ ลูกพี่”
“รีบไปทำข้าวเช้าเลยไป”
พูดจบหยางก็เปิดประตูไม้ออกไปจากห้องนอน ติดกันเป็นห้องกว้างมีโต๊ะสำหรับกินข้าว มีเตาอั้งโล่ไว้หุงต้ม โอ่งที่ตักน้ำมาพักไว้ ชั้นวางของทำจากไม้สีน้ำตาลไหม้ เพียบพร้อมไปด้วยข้าวของจำเป็นต่างๆ สำหรับการดำรงชีพ
ห้องนั่งเล่นอีกสองห้องใกล้ๆ กับห้องนอนเป็นพื้นที่อาศัยอย่างลับๆ ของพวกเขา และเนื่องจากบานเกล็ดหน้าต่างห้องนั่งเล่นถูกปิดเอาไว้ เขาจึงเปิดเพื่อให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา
ที่จริงยังมีห้องอื่นอีก แต่ผนังที่ฉาบปูนขาวลอกหลุดจนเผยเห็นอิฐมอญด้านในเต็มๆ แม้แต่อิฐมอญก็ผุกร่อนจนไม่น่าจะใช้งานได้แล้ว แต่สำหรับพวกเขาที่เข้ามาซ่อมแซมซากปรักพังจนกลายเป็นที่อยู่อาศัยได้ เพียงเท่านี้ก็ดีเกินพอแล้ว
หยางตักน้ำในโอ่งขึ้นมาล้างหน้า แล้วต้มน้ำ ยังคงมีขนมปังอบที่ทำจากแป้งสาลีเหลืออยู่บ้าง จึงเอามาจัดวางบนโต๊ะอาหารสำหรับตัวเองและลี่อิง
ตอนนั้นเอง ลี่อิงที่ตื่นเต็มตาในสภาพมัดผมยาวประบ่าขึ้นสูงอย่างแน่นหนาเดินเข้ามา เขารีบล้างหน้าและมาปอกเปลือกหัวมัน ระหว่างนั้นไม่นานนักหยางก็ย่างเนื้อ ต้มผัก และนำหัวมันปอกเปลือกเสร็จแล้วส่งให้ลี่อิงไปต้มต่อ เรื่องหุงหาอาหารทั้งคู่ทำกันเป็นประจำกันมาแต่ไหนแต่ไรเลยทำกันอย่างคล่องแคล่วด้วยความคุ้นเคย
ปิดท้ายด้วยการรินน้ำชาลงถ้วย เท่านี้ก็เป็นอันว่าเตรียมอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ช่างเป็นอาหารเช้าแสนเลิศหรูสำหรับหนุ่มนักวิ่งราวยิ่งนัก
ทั้งคู่กินข้าวเพียงสองมื้อคือมื้อเช้ากับมื้อเย็นเท่านั้น เพียงชั่วพริบตาทั้งคู่จึงจัดการอาหารเช้าจนเรียบ
กินข้าวเสร็จเรียบร้อยทั้งสองก็ออกจากบ้าน ผู้คนในเมืองตื่นและออกไปทำงานทำการกันหมดแล้ว
เจ้าของร้านเหล้าผู้เป็นสามีกำลังเอาป้ายหน้าร้านมาแขวนใหม่หลังจากถอดอันเดิมออกไปเนื่องด้วยเมื่อคืนมีลมแรง ส่วนฝั่งภรรยาก็กำลังง่วนอยู่กับการนำกระถางต้นไม้ที่เก็บเข้าไปในบ้านออกมาจัดเรียงด้านนอกอีกครั้ง
เจ้าของร้านอาหารย่านที่คึกคักเป็นพิเศษในยามค่ำคืนกำลังแขวนโคมไฟหน้าร้าน และยังมีร้านรวงที่กำลังเปิดบานเกล็ดที่ทำจากแผ่นไม้หนักๆ ในเช้าถัดจากวันเคลื่อนย้าย
ไม่ว่าบ้านไหนก็ดูเหมือนจะวุ่นวายกันไปหมด
ระหว่างนั้นเองที่ลี่อิงหันกลับมาทางหยาง
“น่านะ วันนี้ยอมให้ข้าลงมือเถอะ ลูกพี่”
ดวงตากลมอย่างเป็นมิตรเปล่งประกายด้วยความหวัง
ที่เขาพูดหมายถึงวันนี้อยากเป็นคนไปฉกชิงวิ่งราวด้วยตัวเองกระมัง ลี่อิงกำลังเรียนรู้วิธีวิ่งราวจากหยางอยู่ เพิ่งจะเรียนรู้เทคนิคเมื่อวันก่อนนี่เอง
ไม่ใช่วิธีการฉกถุงเงินหรอกนะ แต่เป็นวิธีตัดเชือกจากถุงเงินต่างหาก
หยางเพิ่งจะถ่ายทอดวิชาไปเพียงเท่านี้ จึงหัวเราะพลางบอกว่า
"ก็ช่วยไม่ได้นะ ถ้าเจอเหยื่อเด็ดๆ เข้าตาพอดีจะลองดูก็ได้”
“ไชโย!”
ลี่อิงดีใจ บางทีวันนี้อาจจะได้เจอเหยื่อเด็ดๆ กับเขาบ้างก็ได้
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะเป็นช่วงเวลาที่เกาะกิเลนที่พวกหยางอาศัยอยู่เคลื่อนที่เข้าใกล้แผ่นดินเสือขาวทางทิศตะวันตกมากที่สุดในรอบปี ทำให้มีเหล่าพ่อค้าไปจนถึงผู้แสวงบุญเดินทางเข้ามามากมาย
ถึงจะเรียกว่าเกาะแต่ที่จริงเกาะกิเลนมีขนาดแค่หนึ่งในสามของเกาะเสือขาว และยังเป็นศูนย์กลางของโลกที่ประกอบไปด้วยเกาะอีกสองเกาะและแผ่นดินสามผืน
เกาะกิเลนเป็นทั้งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนศรัทธาในเวลาเดียวกัน หากมีผู้มาเยือนจำนวนมาก โอกาสของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าทีเดียว
นักเดินทางนี่แหละคือเหยื่อชั้นดีของพวกเขา
ทั้งคู่ออกเดินทางตั้งต้นจากพื้นถนนทำจากดินอันแห้งแล้งไปจนกระทั่งถึงถนนที่ทำจากหินแข็งแกร่ง
ถนนใหญ่บนผืนดินนั้นเป็นทางมุ่งสู่แผ่นดินซึ่งจะนำไปยังวิหารของเทพเจ้า หากมุ่งหน้าออกทะเลก็จะนำไปยังหอคอยบนสะพาน
พวกเขาเลือกไปทางทะเลอันเป็นทิศทางของหอคอยบนสะพาน
เดินออกไปจะมองเห็นว่าผนังกำแพงล้อมรอบเมืองซึ่งหายไปส่วนหนึ่งถูกแทนที่ด้วยหลังคากระเบื้อง หินขนาดมหึมาถูกตัดกองสุมเป็นแท่น เสาที่ถูกสร้างไว้บนนั้นคลุมด้วยกระเบื้องที่ทำเป็นหลังคา ช่างดูใกล้เคียงกับสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าอะซึมะยะ* เพราะมีแค่เสากับหลังคาแบบไร้กำแพง
*อะซึมะยะหมายถึงสิ่งก่อสร้างที่ไม่มีกำแพง มีเพียงเสาและหลังคากระเบื้อง คล้ายศาลาแบบจีนหรือญี่ปุ่น