บทที่ 1 ปัจฉิมบท
จูอี้หลงวางบทลงหลังจากอ่านเรื่องย่อแบบคร่าวๆในแผ่นแรก ผู้กำกับเกามองหน้าเขาอย่างคาดหวัง
"น่าสนใจดีใช่ไหมอาหลง" เขาเลียริมฝีปาก จูอี้หลงยิ้ม พยักหน้าน้อยๆ
"ก็ขึ้นอยู่กับทีมงานด้วย..." เขาเอ่ยเรียบๆ นิ้วมือไล้กรีดลงบนขอบปกบทหนังที่วางบนตัก
"ถ้านายกล่อมเสี่ยวไป๋ให้รับบทหยินหลาง*ได้ งานนี้จะยิ่งน่าสนใจนะ" เกาหานสองมือเกร็งบีบเข่าแน่น เผยอยิ้มจนแทบจรดใบหู
"มีนายทุนใหญ่รอเสียบอยู่ถ้านายกับเสี่ยวไป๋ยอมรับเล่นหนังเรื่องนี้ แม้แต่ตัวแทนจำหน่ายก็มีแล้ว ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ เขาว่าแค่เอ่ยเรื่องโปรเจคนี้ ก็รับโทรศัพท์จากพวกซื้อหนังแทบไม่หวาดไม่ไหวแล้ว นายก็รู้ สร้างหนังมันไม่มีข้อกำหนดเรื่องเนื้อหามากมายหยุมหยิมเท่าสร้างละคร" เกาหานพูดแทบไม่หยุดหายใจ
"นายลองคุยกับเสี่ยวไป๋ดูนะ" เกาหานไม่กล้าคุยกับไป๋อวี่โดยตรง เพราะไป๋อวี่ยังเคืองเขาอยู่ ตั้งแต่เขาปรักปรำไป๋เทียนจ้าวเรื่องที่จูอี้หลงถูกแฟนคลับแทง
"ผมขอเก็บบทนี้ไว้ก่อนก็แล้วกันนะครับ ขอผมอ่านดูก่อน" จูอี้หลงสรุป ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้มกระจ่างใสที่ทำให้เขาดูอ่อนวัยลงกว่าอายุจริง
บทหนังที่ดัดแปลงจากนิยายวายขายดี ปกติมักจะมีปัญหา สร้างความไม่พอใจให้แฟนคลับดั้งเดิมของนักเขียนเสมอ เขาจึงต้องรอบคอบเป็นพิเศษ
"ได้ได้ได้ได้" เกาหานพยักหน้ารัวๆก่อนจะพยุงกายลุกขึ้นยืน เอ่ยปากลา
.....
.....
.....
ปัจฉิมบท
เอ... หรือว่ามันจะเป็น ปฐมบท กันแน่นะ....
"หยินหลาง เจ้าจะเอาแต่หลบลี้หนีหน้าข้าไม่ได้นะ.... จะยังไงก็ออกมาคุยกันก่อน" หนุ่มน้อยในชุดผ้าแพรไหมสีดำขลับพยายามจะผลักประตูเปิด
"เจ้าไปให้พ้นหน้าข้า ข้าจะถือเสียว่าข้าไม่เคยมีสหายเช่นเจ้า" น้ำเสียงเบาหวิวเล็ดลอดออกมาจากหลังประตูไม้หนา
"ข้าผิดไปแล้ว เจ้าออกมาเถิด" ชายหนุ่มยังไม่ยอมเลิกรา สีหน้าวิตกกังวล สองคิ้วขมวดมุ่น
เขาไม่น่าขาดการยับยั้งชั่งใจ ฉกฉวยโอกาสในตอนที่เพื่อนรักอยู่ในอารมณ์กำหนัด ปล้นคร่าเอาน้ำวิสุทธิ์แรกแห่งความเป็นชาย.... แต่มันก็เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกันมิใช่หรือ...
"บางทีสวรรค์อาจจะมิได้กำหนดให้เราเป็นเพียงสหายกันตั้งแต่แรก...." เขาเว้นระยะก่อนเอ่ยถามอีก
"เจ้าว่าไหม....?" แต่น้ำเสียงคล้ายดั่งรำพึงกับตนเอง ร่างสูงโปร่งที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อเอนแนบลงบนประตู เขาตะแคงหูลงฟังเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง
"เสี่ยวหยินหลาง เจ้าออกมาเถิด จะฆ่าฟันข้าอย่างใด ข้าก็ยินยอมแล้ว" เขาเกลือกกลิ้งใบหน้ากับบานประตู หากคิดจะพังประตูเข้าไปก็ง่ายดายยิ่งนัก บานประตูไม้ของมนุษย์อ่อนแอเหล่านั้นจะทานแรงของอสรูแห่งป่าน้ำแข็งเยี่ยงเขาได้อย่างไรกัน แต่ที่เขายังรั้งรออยู่ก็เพราะไม่อยากหักหาญน้ำใจของผู้ที่อยู่เบื้องหลังบานประตูนี้อีก....
.... หยินหลาง เจ้าช่างงดงามนัก ทั่วทั้งป่าน้ำแข็งที่อยู่เหนือขึ้นไปนี้ไม่มีผู้ใดงดงามเช่นเจ้าอีกแล้ว ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีใดก็ไม่อาจครอบครองใจข้าได้เช่นเจ้า ....ข้ารักเจ้าดั่งมิตร ข้ารักเจ้าดั่งพี่น้อง ข้ารักเจ้าดั่งคู่ครอง เหนือสิ่งอื่นใด ข้ารักเจ้ายิ่งกว่าชีวิตของข้า...
".... หยินหลางได้โปรดอภัยให้แก่ความวู่วามของข้าด้วยเถิด..." เขาคร่ำครวญอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
... ทั้งหมดเป็นเพราะความวู่วามอย่างนั้นหรือ .... หยินหลางทรุดลงคุกเข่าข้างตั่งไม้
"ข้าไม่ถือโทษเจ้า..." เขาเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า.... ไม่ได้คาดหวังว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องนอกจะได้ยิน
"จะอย่างไร เจ้าก็มิได้ตั้งใจ..." ... จะทำอย่างไรได้เล่า... หยินหลางเอนฟุบลงบนตั่ง ซบหน้ากับท่อนแขน ...
.... ในเมื่อสวรรค์กำหนดให้เผ่าพันธุ์อสูรสุนัขป่าเยี่ยงพวกเขายังต้องตกอยู่ภายใต้อารมณ์ของสัตว์เดรัจฉาน เมื่อถึงยามที่ร่างกายต้องการก็ใช่ว่าจะทัดทานมันได้.... เพียงแต่.... เป็นข้าเองที่ผิด ... ข้าไม่ควรอยู่ข้างๆเจ้า ในยามที่... ในยามที่ข้ามีความต้องการเยี่ยงนั้น ... ครึ่งหนึ่งมันคือความเรียกร้องของธรรมชาติที่มิอาจฝืนได้ แต่ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกครึ่งหนึ่งนั้นมันคือความต้องการของข้าที่อยากจะอยู่ข้างๆเจ้า ให้เจ้าได้กลิ่นไออันกำหนัดจากตัวข้า ให้เจ้าได้เห็นข้าบิดเร่าด้วยแรงปรารถนา ให้เจ้าได้เห็นข้าครวญครางเชื้อชวนโก่งแอ่นลูบไล้เรือนกายนี้... เพียงเพื่อให้เจ้าปรารถนาข้าบ้าง... เหิงซิง** ....
"หากเจ้ารู้ว่าในใจข้าคิดอะไรอยู่ เจ้าจะต้องรังเกียจข้ายิ่งนัก ... ตัวข้าเองยังรังเกียจจิตใจอันโสโครกนี้ ... จะมีสหายคนไหนที่มีใจโสมมปานนั้นต่อสหายของตนดั่งข้านี้...... ไม่มีอีกแล้ว" หยินหลางพึมพำพลางเอื้อมมือปลดกริชที่เสียบซ่อนไว้ในรองเท้าหนังหุ้มข้อสูง
...ยิ่งเจ้ารู้สึกผิด ข้ามิยิ่งรู้สึกผิดกว่าหรือ... ที่ใช้ธรรมชาติในตัวข้าล่อลวงเจ้าอย่างนั้น
"ข้าคงไม่มีหน้ากลับขึ้นไปยังป่าน้ำแข็งกับเจ้าอีกแล้ว... ข้าหวัง... ข้าหวังเพียงแต่อยากจะพบเจ้าอีกในชาติภพหน้า ... อย่างมนุษย์ ... อย่างคนที่เจริญไปด้วยธรรม มีความรัก มีความปรารถนาที่หลั่งไหลออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ มิใช่แรงปรารถนาอันสะกดกลั้นมิได้เพราะดำฤษณาแห่งสัตว์เดรัจฉาน ...."
"เหิงซิง .... หยินหลางผู้บาปหนานี้รักเจ้า.... แล้วก็จะรักตลอดไป" หยินหลางจบคำพูดที่คล้ายดั่งบทสวดมนต์ด้วยการเสียบแทงกริชคมเข้าสู่ทรวงอก ใบมีดที่เป็นเหมือนดั่งคลื่นอันซับซ้อนของขุนเขาน้ำแข็งเคลื่อนผ่านทรวงอกเข้าไปจนมิดด้าม หยินหลางกระแทกพลังลมปราณสุดท้ายตามลำมีดลงไป แรงสะท้อนทำให้เขากระอักเลือดพรวดใหญ่ ก่อนจะฟุบลำตัวลงกับตั่ง
...แค่นี้ เจ้าก็จะยื้อชีวิตข้ากลับมามิได้อีกแล้ว... สะบั้นหมดสิ้นแล้ว พลังชีวิตของข้า..... ขอเพียง... ขอเพียงวิณญาณนี้ยังคงอยู่... ข้าจะต้องตามหาเจ้าเจอแน่ๆ.. เหิงซิง... ไม่ว่าเจ้าจะส่องสว่างอยู่ที่ใด... ข้าจะตามเจ้าไป จนกว่าเจ้าจะรักข้า... รักข้าจากใจของเจ้า..
....
....
เหิงซิงสะดุ้ง แม้เขาจะไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆจากภายในห้อง แต่จู่ๆในใจของเขาก็กระตุกวาบคล้ายดั่งใครล้วงมือเข้ามาคว้ากระชากเอาหัวใจของเขาออกมา
เขาตระหวัดฝ่ามือทั้งสองซัดประตูเปิดออกแล้วดึงพลังกลับคืนเพื่อมิให้ฝ่ามือนั้นทำร้ายผู้ที่อยู่ภายในห้อง ก่อนพุ่งตัวพรวดเข้าไป
ท่ามกลางแพรพรรณสีขาวที่กองอยู่ข้างตั่งนอน ร่างกำยำของสุนัขป่าขนสีเงินนอนขดอยู่
เหิงซิงอ้าปากร้องเรียก แต่ทั้งเสียงและลมหายใจกลับถูดดูดจากร่างเขาไปจนสิ้น .... สายตาจับจ้องที่สีแดงของเลือดที่ค่อยๆซึมแผ่กระจายบนผ้าแพรขาว
เหิงซิงทรุดฮวบลง แขนขาอ่อนแรงจนแม้แต่จะคลานเข้าหาร่างของสุนัขป่าตนนั้นก็ยังทำได้ยากลำบาก
"เจ้า เจ้า เจ้า...แค้นข้าถึงเพียงนี้... หยินหลาง..." เหิงซิงคร่ำครวญ กัดฟันคืบคลานเข้าหาร่างสุนัขป่าขนยาวสลวย เขาโอบกอดร่างนั้นเข้ามา แผ่พุ่งพลังลมปราณผ่านสองวงแขน พยายามยื้อยุดวิญญาณที่ปลิดปลงจากร่างให้ย้อนกลับคืน.... อย่างสิ้นหวัง
เหิงซิงยังไม่ยอมหยุด เขาเกร็งพลังทั้งหมดที่มี....ถึงแม้ว่ามันจะไร้ผล
จนท้ายที่สุด เขาก็ทำได้แต่เพียงแหงนหน้ากู่ก้องโหยหวน... ก่อนจะใช้พลังที่เหลือเพียงน้อยนิด แผดเผาจนไฟลุกโชนท่วมสองร่างสุนัขป่า.... หนึ่งดำ หนึ่งขาว... จนกลายเป็นเถา ลอยขึ้นตามเปลวเพลิงที่ลามเลียเผาผลาญอาคารทั้งหลังลง
.....
.....
.....
เสี่ยวไป๋ นายอยากจะเป็นใคร... หยินหลาง หรือว่าเหิงซิง...??
*หยินหลาง สุนัขป่าสีเงิน
**เหิงซิง ดาวฤกษ์
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น