.
.
.
.
ตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นทารก...พ่อผมเคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่พ่อเป็นเด็ก พ่อมักจะชอบไปยืนที่หน้าผา ชะโงกหน้าก้มลงมองไปยังหลุมมืดที่อยู่ใต้ดิน
เฝ้าคิดถึงปีศาจที่อยู่ในขุมนรก กลัวว่าวันนึงพวกมันจะขึ้นมายึดครองโลกเรา
...
แต่ดูเหมือนว่าพ่อผมจะมองหาพวกมันผิดที่ไป
พวกอสูรพันธ์มันบุกมาหาพวกเราผ่านทางประตูมิติ พวกมันผ่านเข้ามาในโลกเราผ่านทางแดนสงคราม พวกมันอาศัยพลังงานจากวิญญาณของคนตายนับล้านคนที่เคยตายในสงครามในอดีตกาลมาใช้เป็นพลังงานให้พวกมันสามารถที่จะใช้อสูรพันธ์นักเวทย์ของพวกมันเปิดประตูมิติแล้วเดินทางมาหาเรา
พวกมันบุกโจมตีเราครั้งแรกในปี ค.ศ. xxx ตอนนั้นเป็นช่วงที่แม่พึ่งคลอดผมออกมา พวกมันเตรียมแผนเอาไว้แต่แรกแล้ว พวกมันรู้ว่าควรบุกเมืองไหนเป็นเมืองแรก เมืองที่มันบุกคือ jetro city เป็นเมืองที่มีวิทยาการด้านอาวุธสูงสุดเป็นอันดับต้นๆ
อสูรพันธ์ตนแรกที่ถูกปล่อยออกมานั้นอ่อนแอมาก หนำซ้ำยังยกพวกมาแค่ไม่เกินสิบตัวด้วยซ้ำ ทหารของเมือง jetro สามารถจัดการพวกมันหมดได้ด้วยปืนใหญ่ 3 กระบอก และทหาร 12 นาย มีทหารบาดเจ็บสาหัส 2 อีก 4 คนพิการขาขาดแขนขาด
อสูรกลุ่มแรกที่ถูกส่งมา
แต่ในภายหลังเราก็รู้ ว่าแท้จริงแล้ว ระลอกแรกมันเป็นแค่การทดสอบเรา
พวกมันต้องการดูประสิทธิภาพอาวุธของเราก่อน แล้วมันก็เริ่มเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
จาก level 10 ไปสู่ level 21 อสูรพันธ์อีกกลุ่มนึงก็ถูกส่งมาอีก คราวนี้พวกมันลดจำนวนลงเป็นเพียงจำนวน 5 ตัว แต่กลับสามารถทำให้มีทหารตายได้ 8 นาย และมันยังทำลายปืนใหญ่ของเมือง jetro ได้สองกระบอก
อสูรรุ่นต่อมาที่ถูกส่งมา
และการโจมตีก็มาอีกเรื่อยๆ
พวกเราได้ตั้งระดับเลเวลของพวกมันขึ้น นับวันพวกมันก็โจมตีเราหนักมากขึ้น และกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว
หลายคนพากันหนีแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่รอด ที่เหลือสูญหายไปอย่างปริศนา
ยิ่งเวลาผ่านไป มนุษย์ยิ่งอ่อนแอลงและหวาดกลัวพวกมันมากขึ้น ในขณะที่พวกอสูรพันธ์เหิมเกริมมากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ระดับ level พลังของพวกมันสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ใน ค.ศ. xxx พวกมันก็ได้เริ่มส่งอสูรพันธ์ที่บินได้และมีอาวุธออกมา
สงครามได้อุบัติขึ้น เกิดการสูญเสียนับล้านชีวิตแต่สุดท้ายชัยชนะก็ไม่ตกมาอยู่ในมือของมนุษย์อย่างที่ควร
มนุษย์อย่างเราได้กลายเป็นทาสรองมือรองเท้าพวกมัน ผมมาเป็นทาสพวกมันครั้งแรกตอนอายุ 5 ขวบย่าง 6 ขวบ
แม่และพ่อผมถูกจับเป็นทาสและถูกแยกตัวไปทำงานที่อื่น ทิ้งไว้ให้ผมต้องทำงานรับใช้มันอยู่แค่คนเดียว
แน่นอนว่าผมยอมจำนนพวกมันเพราะผมมองเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว
พระราชาของมนุษย์ถูกชิงบรรลังค์ อสูรพันธ์ยึดครองโลกโดยสมบูรณ์ มนุษย์กลายเป็นทาสของพวกมัน
และเหตุการณ์ก็ได้ล่วงเลยมา..
จนกระทั่งผมอายุ 12 ปี
เพียะ!!
เสียงฟาดแส้ของอสูรพันธ์ที่เฆี่ยนใส่พวกทาสมนุษย์เราดังขึ้นเพื่อเร่งให้เรารีบทำงานให้เสร็จโดยไม่สนใจว่าพวกเราจะมีสภาพโทรมขนาดไหน
"ทำงานเข้าไปไอ้พวกทาส!! อย่ามัวแต่พิลีพิไลอยู่!!"
เพียะ!!
เสียงฟาดแส้ที่ดังขึ้นแม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นจากการฟาดแส้โดนตัวคนโดยตรงแต่เป็นการฟาดใส่หินที่อยู่ใกล้ๆ แต่มันก็ทำให้พวกเรารีบเร่งมือทำงานก่อนที่มันจะเฆี่ยนโดนเนื้อเราจริงๆ
"อะ..อื้ก~"
ในตอนนั้นเองชายชราคนนึงที่เป็นทาส ร่างกายของเขาซูบผอม ขอบตาดำคล้ำเหมือนคนไม่ได้พักผ่อน เขาได้ล้มลงกับพื้นเพราะไม่สามารถแบกก้อนอิฐไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
เมื่ออสูรพันธ์ตนนั้นเห็นดังนั้นก็รีบออกคำสั่งพร้อมฟาดแส้ใส่ก้อนหินใกล้ๆทันที
"กลับไปทำงาน!!"
อสูรพันธ์ตัวนั้นฟาดแส้ใส่ก้อนหินใกล้ๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายชราคนนั้นก็ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้น ในเมื่อชายชราคนนั้นยังไม่ยอมลุกขึ้น มันก็ไม่มีเวลาจะมาปราณีใครแล้ว
"ก็บอกให้ไปทำงานไง!!"
และอสูรพันธ์ตนนั้นก็ได้สะบัดแส้พุ่งตรงมาหาชายชราคนนั้นแต่แล้ว
ฟุบ~
เพียะ!!
ก็ได้มีใครคนนึงกระโดดมาอุ้มร่างชายชราคนนั้นกลิ้งหลบแส้ได้ทัน แส้ฟาดโดนพื้นอสูรพันธ์ตัวนั้นหัวเสียทันที
"ทำอะไรของแกวะ!!?"
คนที่ช่วยชราคนนั้นเป็นเด็กชายอายุ 12 ผมของเขาเป็นสีชมพูเหมือนแม่ นัยตาสีชมพู หน้าตาที่ดูน่ารักและดูสวยจนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิง สวมเสื้อผ้ามอมแมมสีน้ำตาลแขนกุดได้หันมาหาปีศาจตนนั้น
ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปแบกก้อนหินที่ชายชราคนนั้นทำตกเอาไว้ตอนแรกขึ้นมาให้แทน
"ผมทำแทนเองครับ"
คนๆนั้นคือผมเอง ผมมีชื่อว่าฮาซุย เป็นหนึ่งในแรงงานทาสของที่นี่ หน้าที่ของผมส่วนใหญ่จะเป็นการเข็นรถเข็นที่อัดแน่นไปด้วยทรัพยากร เห็นร่างกายผมดูผอมและไม่มีกล้ามเนื้อแบบนี้แต่ผมก็มีแรงจากการโดนใช้แรงงานมานานนะ
มือของผมหยาบและด้านไปหมดเพราะการใช้งานที่มากเกินไป ทุกวันผมต้องเสียเหงื่อและแรงเป็นจำนวนมากให้กับอสูรพันธ์พวกนี้เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนที่แสนจะเล็กน้อย
ก็รู้สึกเจ็บใจแหละแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้ ทาสอย่างเราจะไปต่อกรอะไรกับพวกปีศาจได้
หลังจากที่ผมทำงานมาเหนื่อยๆ แน่นอนว่าอสูรพันธ์พวกนี้ต้องให้เวลาพวกเราพักกัน ในวันนึงพวกเราได้พักแค่ตอนเที่ยงเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเท่านั้น
เพราะถ้าหากมันให้เราทำงานตลอดทั้งวันมีหวังแรงงานได้ตายกันเพราะไม่มีแรงไปกว่าครึ่งแน่ พวกอสูรพันธ์มันไม่ต้องการแบบนั้นเพราะจะเป็นพวกมันที่เสียประโยชน์
มีทาสมนุษย์หลายคนถูกขายไปที่อื่น บางคนที่เป็นผู้หญิงถูกเปลี่ยนหน้าที่จากทาสกลายเป็นแม่พันธ์คอยสนองความใคร่พวกอสูรและให้กำเนิดทายาทพวกมัน
ผมชินกับภาพเหตุการณ์พวกนี้แล้วแต่ไม่เคยมีเลยซักครั้งที่ผมจะอยากอยู่ดูมัน
เวลาเลิกงานของเราคือเวลา 6 โมงเย็นเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน
ตอนนั้นแหละคือเวลาที่มนุษย์เรามีอิสระมากที่สุด
"หมดเวลาแล้ว! กลับบ้านไปพักได้!"
อสูรพันธ์ที่ทำหน้าที่คุมงานเราพูดพร้อมเดินจากไป พวกมนุษย์เราก็พากันวางอุปกรณ์ในมือและออกตัวเดินกลับบ้าน
บ้านของพวกเราแต่ละคนนั้นไม่ต่างอะไรกับพวกยากไร้ บ้านเราทั้งผุพังเสียหาย เป็นบ้านชั้นเดียวที่โทรมสุดๆ บางคนไม่มีบ้านต้องอาศัยอยู่ในตรอกมืดกัน
บางคนมีครอบครัว บางคนตัวคนเดียว
"กลับมาแล้วครับ"
บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้านที่มีคนไร้บ้านแบบผมมาอาศัยอยู่รวมกัน มีสมาชิกสี่คน
คนแรกคือผม
คนต่อมาคือเกรด้า เธอเป็นเหมือนน้องสาวผม เป็นแม่ครัวและเป็นคนทำหน้าที่ดูแลสมาชิกอีกสองคนในบ้านเรา เธอเป็นเด็กผู้หญิงอายุน้อยกว่าผม ผมบลอนด์เป็นลอนๆ ตาสีฟ้าสดใส สวมชุดแม่บ้านที่ได้รับการทำความสะอาดทำให้เธอดูเป็นคนที่มีเนื้อตัวสะอาดที่สุดในบ้าน
ส่วนอีกคนนึงคือเด็กชายพิการ เขาไม่มีแขนสองข้าง ทำให้เขามักจะใช้เท้าทั้งสองข้างของเขาในการทำกิจกรรมต่างๆอย่างชำนาญการ เขามีชื่อจิมมี่
ส่วนอีกคนเป็นหญิงแก่ชราที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรมากที่สุดมีชื่อว่า คุณนายราเม็น
เกรด้า : ยินดีต้อนรับกลับจ๊ะฮาซุยนั่งก่อนซิ ชั้นพึ่งต้มซุปเสร็จเมื่อกี้เลย
เกรด้ากล่าวต้อนรับผมด้วยรอยยิ้มสดใส ผมก็ยิ้มตอบกลับไป
บางคนอาจสงสัยว่าทำไมเกรด้าถึงไม่ถูกเอาตัวไปเป็นทาส สาเหตุนั้นก็เพราะว่าอสูรพันธ์หลายตนนั้นไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเกรด้า
มนุษย์บางกลุ่มใช้ชีวิตหลบซ่อนจากอสูรพันธ์ คอยหาอาหารและใช้ชีวิตหลบอยู่ในความมืด คนพวกนี้ถูกเรียกว่าไฮเดอร์ ( hider ) เกรด้าเป็นพวกนั้น แต่สิ่งที่คนพวกนี้ไม่ค่อยรู้กันคือการที่พวกเขาไร้ตัวตนสำหรับพวกอสูรพันธ์ก็เหมือนกับพวกเธอตายไปแล้ว
เกรด้า
จิมมี่
ราเม็น
ผมมานั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับเพื่อนสนิทของผมจิมมี่ที่เดินกะมานั่งข้างๆ ส่วนคุณนายราเม็นนั้นแก่มากแล้ว มีปัญหาด้านกระดูกสันหลังและขาทำให้เดินลำบาก เกรด้าจึงต้องถือจานน้ำซุปไปให้เธอที่โซฟา
ราเม็น : ขอบใจจ๊ะ
ราเม็นเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มเหมือนคุณยายผู้เป็นมิตร
อาหารมื้อนี้ก็เป็นต้มจืดกะหล่ำปลี มีเนื้อหมูอยู่สองสามชิ้นคนละถ้วยกับข้าวเพียงหยิบมือ
อาหารพวกนี้มันดูน้อยมากๆแต่สำหรับคนชนชั้นแบบเรา อาหารแค่นี้ก็อยู่ท้องแล้ว
เกรด้า : ชั้นได้ใส่น้ำสมสายชูกับเครื่องปรุงสูตรพิเศษของชั้นไปด้วย รสชาติเป็นยังไงหละ ?
ผมลองตักน้ำซุปชิมดู ส่วนจิมมี่เพื่อนผมที่ไม่มีแขนใช้จับช้อน เขาจึงต้องใช้หลอดูดน้ำซุปเอาก่อนที่ผมจะยกยิ้มแล้วพูดกลับไป
ฮาซุย : อร่อยเหมือนเดิมเลย ^_^
เกรด้า : ^_^ ฮึๆ
จิมมี่ : เกรด้านี่ทำอาหารอร่อยชะมัด ถ้าหากเธอไปเปิดร้านอาหารคงจะดีไม่ใช่น้อยเลย ^_^
จิมมี่เพื่อนผมช่วยพูดเสริมทั้งๆที่รู้อยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเกรด้าไปสมัครงานอาชีพที่เธอได้คงเป็นเด็กทิ้งขยะ เพราะอาชีพแม่ครัวเป็นอาชีพที่สูงเกินกว่าทาสแบบเราจะเอื้อมถึง
เกรด้านั่งลงและตักน้ำซุปราดข้าวก่อนลงมือกิน คุณยายราเม็นได้หยิบรีโมทขึ้นมาแล้วเล็งกดไปที่โทรทัศน์เพื่อเปิดเครื่อง
ทันใดนั้นภาพโทรทัศน์ก็ฉายภาพของช่องข่าวที่มีผู้ประกาศข่าวเป็นปีศาจที่มีหัวเป็นกิ้งก่าตนนึงพูด
"สวัสดีคุณผู้ชมอสูรทุกท่านและเหล่าทาสมนุษย์ผู้ต้อยต่ำ ผมนายชวน หลีกข้างทาง เมื่อเย็นวานนี้การแข่งขัน killing ได้ผลสรุปมาแล้ว ผลที่ออกมาคือชัยชนะตกเป็นของฝั่งเซนทอลัสตามเคยนะครับ โดยเซนทอลัสทำคะแนน 4 - 0 เรียกได้ว่าชนะขาดลอยเลยหละครับท่านผู้ชม~!"
โอ้ เกือบลืมบอกไป ในโลกนี้พวกอสูรพันธ์มันได้จัดตั้งเกมการแข่งมาเกมนึงมีชื่อว่า killing กติกาของเกมคือพวกอสูรพันธ์จะต้องนำทาสที่เป็นมนุษย์ไปลงแข่งในสนาม มนุษย์จะเป็นเหมือนไก่ชนที่ต้องนำชัยชนะมาให้นายมันให้ได้ โดยในสนามนั้นจะมีกับดักอยู่มาก ถ้าหากทาสของอสูรพันธ์ฝ่ายไหนชนะ ชัยชนะจะเป็นของอสูรพันธ์ที่เป็นนายมนุษย์ตนนั้น
โดยเดิมพันของชัยชนะนี้โดยส่วนใหญ่จะเป็นสตรีเพศที่มีความสวยงามและอยู่ในวัยเจริญพันธ์
สุดท้ายแล้วการแข่งนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องใต้สะดือสำหรับพวกอสูรพันธ์อีกเช่นเคยนั่นแหละ
การแข่งนี้เป็นการแข่งที่โหดมาก เพราะผู้แพ้ในเกมนี้จะต้องเจอกับความตาย และเป็นการเอาชีวิตทาสมาเดิมพันทำให้ในการแข่งนี้นอกจากทาสจะต้องสู้กับกับดักในเกมแล้วยังต้องสู้กันเองเพื่อเอาตัวเองรอดอีก พวกอสูรพันธ์ที่ดูการแข่งก็จะดูผ่านทีวีก็พากันสุนทลีและสนุกกันใหญ่
และซักพักนึงภาพบนโทรทัศน์ก็ฉายภาพการแข่งที่แสนโหดร้าย มนุษย์พากันฆ่ากันเองด้วยอาวุธที่เป็นชะแลงหรือดาบขึ้นสนิมที่หัก
เลือดสาดกระจายแขนขาดขาขาดสยดสยองสุดๆ
จิมมี่ส่ายหัวให้กับภาพที่ฉายอยู่และก้มหน้าก้มตากินต่อเพราะกลัวว่าถ้าดูมากกว่านี้ตัวเองจะกินข้าวไม่ลง
เวลาผ่านไปผู้ประกาศข่าวก็ประกาศข่าวใหม่
"ต่อไปจะเป็นข่าวเรื่องงานวันเกิดอายุครบ 18 ปีของราชินีคิซูกินะครับ หลังจากที่พระบิดาและพระมารดาของเธอได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ ดูเหมือนว่าท่านคิซูกิก็จะไม่มีความสุขกับงานวันเกิดเลย นับเป็นเหตุการณ์แสนเศร้าสลดจริงๆ ต้องขอเสียใจให้กับการจากไปของทั้งสองท่านแด่ท่านคิซูกิด้วยนะครับ"
อาณาจักรที่พวกผมอยู่เป็นอาณาจักรของนางมารที่มีชื่อ คิซูกิ ผมไม่รู้ว่าเธอมีหน้าตาเป็นยังไงแต่เคยได้ยินคำบอกเล่าของพวกอสูรพันธ์ที่เคยพูดถึงเธอว่าเป็นอสูรพันธ์ที่แข็งแกร่งและมีเสน่ห์มาก ใบหน้าสวยสดงดงาม เธอสวยงามมากจนถึงขั้นที่ว่าต้องมีผ้าปิดหน้าตัวเองครึ่งนึงเอาไว้เพื่อไม่ให้มีชายใดจะสูญเสียการหักห้ามชั่งใจแล้วทำสิ่งโง่เขลากับร่างกายเธอ
ผมก็แอบสงสัยว่าเธอสวยระดับนั้นเลยเหรอแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น
ซึ่งในตอนนั้นเองที่ผู้ประกาศข่าวก็ได้พูดต่อ
"ซึ่งตอนนี้ท่านคิซูกิก็มีอายุครบ 18 ปีแล้ว นั่นหมายความว่าเธออยู่ในช่วงที่พร้อมจะแต่งงาน และตามธรรมเนียมของผู้เป็นเจ้าอสูรพันธ์ ท่านคิซูกิจะต้องหาผู้ที่จะมาเป็นพระสวามีโดยเร็วที่สุด และท่านคิซูกิจะมีวิธีอะไรและใครจะเป็นชายชาตรีผู้โชคดีคนนั้น ?"
ผู้ประกาศข่าวอสูรพูดเหมือนต้องการจะยุให้คนดูที่เป็นอสูรเกิดความลุ้นว่าตัวเองจะโชคดีเป็นคนๆนั้น
หลังจากที่ผมช่วยป้อนเนื้อหมูเข้าปากจิมมี่ให้อยู่แล้วจิมมี่ได้ยินประโยคของนักข่าวเขาก็พูดออกมา
จิมมี่ : เฮ้อ~ จะเอาเรื่องนี้มาออกข่าวทำไมวะ ? รู้ทั้งรู้อยู่ว่าท่านคิซูกิไม่มีทางเลือกผู้ชายง่ายๆแบบพวกซัคคิวบัสในเมืองเราหรอก เอามาออกข่าวล่อปีศาจตัวผู้เพื่อเรียกยอดคนดูอะดิ
จิมมี่บ่นออกมาเชิงแขวะนักข่าว แต่คำบ่นของเขามันกลัยทำให้ผมแอบอมยิ้มพร้อมเหลือบตามองไปที่เกรด้าเธอก็อมยิ้มเหมือนกัน เพราะเราทั้งคู่รู้ดีว่าที่จิมมี่บ่นแบบนี้เพราะจิมมี่เป็นชายโสดในบ้านที่เฝ้าฝันอยากจะมีแฟน
ฮาซุย : พอมาเจอข่าวแบบนี้เลยแทงใจดำหละซี่
จิมมี่ : แทงใจดงใจดำอะไร ? ไม่มี๊
( เสียงสูงจังนะจิมมี่ ) ผมแอบคิดก่อนจะลงมือกินต่อพร้อมป้อนข้าวจิมมี่ไปด้วยพลางๆ
แป๊บเดียวอาหารก็หมดลง เกรด้าอาสาไปล้างจานเองตามเคยและบอกให้ทุกคนไปพักผ่อน ผมได้ไปอาบน้ำและทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเพื่อที่จะพักเอาเพราะพรุ่งนี้ต้องออกไปทำงานแต่เช้าตรู่
เพียงชั่วครู่ผมก็อ้าปากหาว จิมมี่เพื่อนผมเขาเดินไปนอนเตียงอีกตัวที่อยู่ห่างออกไป ป้าราเม็นชอบนอนบนโซฟา ส่วนเกรด้าจะเป็นคนที่นอนดึกสุดในบ้าน
จิมมี่ : ชั้นอาจจะดีใจที่ตัวเองไม่ต้องไปเป็นทาสเพราะว่าพิการไม่มีแขนแบบนี้อะนะ...แต่ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามนายนะ ฮาซุย นายเหนื่อยกับเรื่องพวกนี้บ้างไหม ?
ฮาซุย : ...เหนื่อยซิ แต่การเอาชีวิตรอดมันก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่รึยังไงกัน ?
ผมหันไปพูดกับจิมมี่ด้วยรอยยิ้ม แค่การที่เรากลายเป็นทาสพวกปีศาจก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องสิ้นหวังซักหน่อย
จิมมี่ : ชั้นหวังว่ามันจะจบ ไม่จำเป็นต้องให้อสูรพันธ์ถูกกำจัดหรอก ขอแค่ให้อสูรพันธ์กับมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติก็พอ
ฮาซุย : ...ชั้นก็หวังอยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน...แต่ถ้าตราบใดที่จอมมารมีนิสัยแบบนี้ต่อไป มันก็เป็นได้แค่ความฝันลมๆแล้งๆหนะแหละ
จิมมี่ : เฮ้อ~ จริงของนาย ราตรีสวัสดิ์นะฮาซุย
ฮาซุย : ราตรีสวัสดิ์จิมมี่
เราทั้งคู่บอกลากันก่อนที่สองคนจะตะแคงตัวแล้วเข้าสู่ภวังค์
แต่ผมก็ยังไม่หลับ ผมนอนมองดูวิวด้านนอกหน้าต่างใกล้ที่นอนผมต่อไปเรื่อยๆ ซักพักนึงได้มีผีเสื้อกลางคืนลายสีปีกของมันสวยมากจนผมอยากจะจดจำมันเอาไว้ ทำให้ผมหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายมันเอาไว้
แฉะ!
ซักพักนึงภาพแผ่นฟิล์มสีดำได้ออกมา ผมรอดูภาพมันแห้งก่อนที่จะปรากฏภาพของผีเสื้อกลาวคืนตัวเมื่อกี้มาเก็บเอาไว้
ผมเก็บกล้องถ่ายรูปลงไปใต้หมอนตัวเองจนกระทั่งเมื่อเริ่มง่วงผมถึงได้หลับไปเอง
ฮา~ฮา~ฮา~ซุย~ซุย~ซุย~
เสียงที่ดังขึ้นนี้เป็นเสียงที่ผมได้ยินมาเดือนนึงแล้ว มันคงเป็นเสียงของมอนเสตอร์ในป่าใกล้บ้าน ผมก็ไม่ได้คิดอะไรและหลับตานอนต่อ
บางคนอาจสงสัยว่าในยุคที่แสนมืดมนขนาดนี้ไม่มีใครลุกขึ้นต่อต้านเลยเหรอ จะมีใครมาให้ต่อต้านหละ ? ทั้งผู้กล้าและอัศวินหลายคนปัจจุบันถูกทำลายสูญสิ้น ถ้าหากเป็นนิยายแฟนตาซีนี่คงเรียกว่าเป็นการจบแบบ bad ending
แต่ความจริงแล้ว...จุดจบ bad ending นี้หนะ...มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นต่างหาก
ฮาซุย พระเอกของเรื่อง