เยอึนผู้ไม่เคยมีสติที่จะจดจำกระทั่งเนื้อหาซีรี่ย์ เพราะทำห้องหัวใจเอาไว้หลายห้อง แล้วก็เชิญคนมาหลายคนจนไม่มีเวลาว่าง ดังนั้นจึงได้กินมะเขือเทศอย่างหน้าไม่อายเหมือนถามว่าแล้วจะทำไมเหรอ แล้วแสดงท่าทางเสียดายมะเขือเทศที่เหลือเพียงไม่กี่ลูก คุณลุงคิมมยองมินขอโทษด้วยนะคะ
ถ้าเรื่องราวการเป็นฮีโร่ของหัวหน้าทีมพัคแทมยองถึงขนาดเทียบเท่าแม่ทัพอีซุนชิน สิ่งที่ฮีแจสามารถทำได้คือ แค่แอบแสดงความคิดเห็นให้กับคำชื่นชนที่ไม่จบไม่สิ้นของทั้งสองคน พลางตำหนิตัวเองที่เมื่อวานไม่ไปร่วมกินเลี้ยง แต่เทพพระเจ้ายังเหลือตำแหน่งในการทานมื้อเย็นกับหัวหน้าทีมพัคแทมยองไว้ให้ ผ่อนคลาย เฮ้อ ผ่อนคลายสิ
“ว่าแต่คาอึล นายต้องกินข้าวปั้นไปจนถึงเมื่อไหร่กัน จะซื้อรองเท้าผ้าใบราคาแพงขนาดไหนกันแน่ คาอึลก็เอาแต่พึ่งร้านสะดวกซื้อทุกวัน ส่วนเยอึนก็กินแต่มะเขือเทศ จะให้ฉันไปกินข้าวกับใครล่ะ”
“จนถึงอาทิตย์นี้ ผมใช้เงินได้แค่วันละห้าพันวอนเองครับ! ยังไงก็ต้องพึ่งร้านสะดวกซื้อไปก่อน แล้วก็คุณผู้ช่วยไม่รู้เหรอว่า เราต้องเรียนรู้การกินข้าวคนเดียวถึงจะกลายเป็นผู้ใหญ่ได้น่ะครับ ผมน่ะถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วเพราะเคยไปกินเนื้อย่างคนเดียวที่ร้านแถวบ้าน คุณผู้ช่วยเนี่ยยังเป็นเด็กอยู่สินะ เด็กน้อย”
เห็นคาอึลที่หัวเราะพร้อมพูดว่า ‘คุณผู้ช่วยเป็นเด็กอยู่สินะ’ ด้วยหน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มนั่น ฮีแจก็ได้แต่หลุดหัวเราะฮ่าๆ ออกมา สภาพที่กัดจุกนมข่มขู่ก็ยังดูกลมกลืนนั่น ตอนนี้ ใครกันแน่ที่เป็นเด็กน้อย
ก่อนที่เครื่องรับออเดอร์บนโต๊ะจะสั่นเตือน ประตูของห้องสัมมนาก็ถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฎตัวของจีฮอนที่ถือถาดเอาไว้ บนถาดมีเครื่องดื่มที่ทั้งสามคนสั่งไว้ กับแซนวิชน่าทานที่ฮีแจสั่งเพิ่ม
“คุณจีฮอน! เอามาให้ด้วยตัวเองเลยเหรอคะ ส่งสัญญาณเรียกสิคะ ฉันตั้งใจจะไปรับเองอยู่แล้วนะ”
ในกรณีปกตินั้น หากสัญญาณดัง คาอึลที่เป็นน้องเล็กจะต้องลุกไป แต่ถ้าอยู่กันสามคนที่นี่ ทั้งสั่งเครื่องดื่มและออกไปรับล้วนเป็นหน้าที่ของเยอึนทั้งหมด เพราะสำเนียง ‘ช’ ของจีฮอนเวลาที่พูดว่า ‘รับกลับใช่ไหมครับ’ คล้ายสำเนียงแบบนิวยอร์กที่ฟังดูเซ็กซี่ ถึงจะหลงใหลในเรื่องราวการเป็นฮีโร่ของแทมยอง หากพอจีฮอนโผล่มา เยอึนก็เปลี่ยนท่าทีในทันใด มันช่างน่าทึ่ง
“มันเป็นช่วงเที่ยงลูกค้าเลยไม่ค่อยเยอะ แล้วก็เป็นเซอร์วิสด้วยครับ”
สายตาของฮีแจจดจ่อที่การกระทำช้าเนิบนาบของจีฮอนที่วางถาดสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ
“จีฮันนี่ มาเพราะอยากเห็นหน้าพี่สินะ”
“เปล่าครับ”
คาอึลพี่ชายที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันของจีฮอนถึงกับหัวเราะคิกคักอย่างขบขันที่จีฮอนปฏิเสธออกมาอย่างเด็ดขาด กับเยอึนที่ซาบซึ้งใจที่มีคาเฟ่ใจดีในป่าคอนกรีตที่เย็นชาแบบนี้ ส่วนฮีแจนั้นนั่งแยกตัวออกมา สับสนไม่รู้ว่าจะต้องทักทายหรือถามไถ่ว่าเมื่อวานกลับถึงบ้านเรียบร้อยดีหรือไม่ จีฮอนแอบย่นจมูกให้เห็นแล้วออกจากห้องสัมมนาไป ฮีแจที่ยังสับสนถึงขนาดนั้น กินแซนด์วิชเข้าไปด้วยความรู้สึกมึนงง เศษผักกาดแก้วที่ใส่มาจนเยอะกว่าปกติจึงหลุดหล่นลง เยอึนยื่นทิชชูส่งให้ พร้อมพูดว่า “เอาเถอะไม่ได้เลอะอะไร” ก่อนจะอ้าปากค้างด้วยนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้
“ว่าแต่เรื่องจริงเหรอที่ทีมเรามีเอ้าท์ติ้งอาทิตย์หน้าน่ะ หนาวขนาดนี้เนี่ยนะ”
“ก็นั่นน่ะสิครับ! เอ้าท์ติ้งน่ะคือการออกไปต่างจังหวัดที่อากาศดี แล้วก็ดื่มสังสรรค์กันไม่ใช่เหรอครับ ถ้าสั่งให้เล่นเกมสันทนาการจะทำยังไงล่ะ”
“ทำอะไรล่ะ ถ้าได้อยู่กับหัวหน้าทีม ถึงสั่งให้ไปนรก แล้วเล่นเกมกระดานไปเป็นห้าสิบปีก็ยอม ขอชมเชยหัวหน้าแผนกนะ ที่จัดเอ้าท์ติ้งตอนหัวหน้าทีมพัคอยู่น่ะ”
“เฮ้ย พี่เยอึน ผมเห็นด้วยครับ นานแล้วที่ใจเราไม่ได้ตรงกันแบบนี้นะครับ”
การเอ้าท์ติ้งของบริษัทที่ไปกันปีละสองครั้ง ถูกจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า ในฤดูหนาวที่ลมเย็นกระทบแก้มและใบหูกลับจัดเอ้าท์ติ้งงั้นเหรอ เหล่าพนักงานลุกขึ้นค้านว่าปกติแล้วการเอ้าท์ติ้งมันควรจะเป็นช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมไม่ใช่หรอกเหรอ แต่หัวหน้าแผนกยังคงแน่วแน่ การเป็นพนักงานที่เอาชนะฤดูหนาวอันเยือกเย็นเช่นนี้ได้ ไม่ใช่จิตวิญญาณแห่งผู้เชี่ยวชาญ จิตวิญญาณแห่งคนเกาหลีหรอกหรือ หากเมาขึ้นมา หัวหน้าแผนกก็คงจะพูดพล่ามจนเช้าว่า ฉันคือลูกหลานผู้มีจิตวิญญาณแห่งกองทหารนาวิกโยธิน จิตวิญญาณแห่งคนเกาหลี ขณะที่พูดเป็นหนที่สองก็แทบแข็งตาย แต่หนึ่งสิ่งน่าโล่งใจอย่างไม่เคยมีคือการมีอยู่ของหัวหน้าทีมพัคแทมยอง หัวหน้าแผนกเองก็เป็นคน จึงไม่ใช่จะไม่รู้ เพียงต้องมีหัวหน้าทีมพัคแทมยอง ทั้งความรู้สึกร่วมในกิจกรรมบริษัทของเหล่าพนักงานหญิงและประสิทธิภาพต่างๆ ก็จะเพิ่มพรวดขึ้น
“จำได้ไหมที่เอาวิดีโอแปลกๆ มาเปิดในชั่วโมงสันทนาการตอนเอ้าท์ติ้งปีที่แล้วน่ะ”
“ใช่ที่เอากบใส่หม้อ แล้วก็ต้มน้ำหรือเปล่า แล้วก็บอกว่าอะไรนะ ‘อันตรายของจริตนิยม[1]’ ใช่ไหมนะ”
“โอ้โฮ! คุณผู้ช่วยจำได้ด้วยนะครับ”
“แต่จำได้ถึงแค่นั้นแหละ พอเห็นกบถูกต้มแล้ว ก็วูบหลับไปเลย ไม่มีความทรงจำหลังจากนั้นแล้วล่ะ”
“โหดร้าย! ดูนั่นแล้วยังหลับได้อีกเหรอครับ”
“จนถึงช่วงกลางกบมันก็ทำสีหน้าอย่างกับแช่ตัวในบ่อน้ำร้อน!”
เพื่อเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ ในชั่วโมงสันทนาการจึงได้เปิดวิดีโออันหนึ่งให้ดู หากสั่งให้เตรียมใจ แล้วหารือเรื่องรายได้ประจำปีอีกครั้งก็ได้ แต่ก็ไม่เข้าใจเลยว่าจะให้ดูวิดีโอกบไปทำไม อย่างไรเสียมันก็เป็นวิดีโอที่โหดร้ายมาก วิดีโดนั้นนำกบใส่ลงไปในหม้อที่มีน้ำเย็นอยู่ แล้วต้มน้ำอย่างช้าๆ เมื่อค่อยๆ คุ้นชินกับอุณหภูมิน้ำเย็นในครั้งแรก จึงไม่รู้ว่ามันอุ่นขึ้น สุดท้ายแล้วก็ถูกทำให้ตายในน้ำเดือด ไอ้ที่เรียกว่าจริตนิยมได้แฝงความหมายลึกซึ้งยากจะเข้าใจว่ามันคืบคลานเข้ามาใกล้ ทำให้ฉันเผลอเคยชินกับสภาพแวดล้อมจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็ถูกคัดสรรออกไป ฮีแจที่ขบคิดเรื่องนั้นในตอนนั้น ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
ทว่าพอลองมาคิดดูในตอนนี้ เหมือนว่าสิ่งนั้นมันต้องเกี่ยวพันกับคำยากๆ แบบนั้น ความรักเองก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกหรือ ไม่คิดว่าฝนปรอยๆ จะทำให้เสื้อเปียก จนเมื่อชุ่มโชกไปแล้ว ไม่คิดว่าความรักที่อบอุ่นได้ร้อนระอุขึ้น จึงได้เจ็บปวดอย่างที่สุด ความรักที่เนิ่นนาน ความตื่นเต้นที่จางหาย ความเคยชินระหว่างกัน จนกล้าแสดงอาการเรอหรือผายลมออกมาโดยไม่นึกกระดากใจ นำไปสู่ความเบื่อหน่ายโดยไม่รู้ตัว นั่นคือจริตนิยมล่ะ
ฮีแจลองคาดเดาวุ่นวายถึงความเกี่ยวข้องของความน่าเบื่อหน่ายกับจริตนิยมและกบ ขณะเหม่อมองออกไปนอกห้องสัมมนา มองเห็นจีฮอนที่ยกยิ้มสดใสให้กับเหล่าพนักงานบริษัทที่ผลักประตูคาเฟ่เข้ามา
* * *
[คลื่นความหนาวยังคงต่อเนื่องถึงวันนี้ อุณหภูมิจะลดต่ำลงถึงสิบแปดองศา และจะมีสัญญาณหิมะตกทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงบ่ายค่ะ เลิกงานแล้วอย่างลืมร่มนะคะ]
ทีวีที่แขวนอยู่บนรถบัสกำลังประกาศว่าในช่วงเวลาที่อยู่มาจนถึงตอนนี้ของปีนี้ วันนี้คือ ‘วันที่นอกผ้าห่มอันตรายที่สุด’ ถึงอย่างนั้นพวกพนักงานหญิงที่นั่งอยู่ด้านหน้า ไม่รู้ว่าสนุกอะไรขนาดนั้นถึงได้ทำเสียงเล็กเสียงน้อยอยู่หลายครั้งแล้วก็หัวเราะคิกคัก
“อ้า นั่นไง! แพ้เกมที่รู้อยู่แล้วซะได้!”
“ว้าว ยัยจิ้งจอกแพคนี่จริงๆ เลย ก็ว่าแล้วว่าทำไมไม่ขึ้นรถ มัวแต่คอยืดคอยาวไปด้านนอก พลาดเรื่องนั้นจนได้สิ”
คาอึลกับเยอึนกระซิบกระซาบกันท่ามกลางเสียงความถี่สูงของโลมาของพวกพนักงานสาวๆ ในรถ
“อีฮีแจ ทำไมเธอทำหน้าไม่หือไม่อือล่ะ”
“ก็นั่นสิครับ คุณผู้ช่วยอี ถึงเมืองยางพยองจะอยู่ไม่ไกลก็เถอะ แต่นั่งรถก็ตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่งเลยนะครับ ดูหนังได้เรื่องหนึ่งเลย สงสัยต้องหาหนังสยองขวัญมาดูเสียแล้วสิ”
ไม่ใช่ว่าฮีแจไม่หือไม่อืออะไร หากพอไปเอ้าท์ติ้งแล้ว จะลองสานสัมพันธ์กับแทมยองด้วยวิธีไหนดี ตัวเองที่คิดขนาดนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าการกระซิบกระซาบความน่าอายเกี่ยวกับอดีตที่เคยอวดอ้างว่าเคยมีความรักมาบ้าง ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าสงครามความรักครั้งที่สาม ‘ภาคเอ้าท์ติ้ง’ มันจะเริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่ในรถบัส
“หัวหน้าทีมคะ ฉันชงชาส้มมาด้วย ดื่มหน่อยไหมคะ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
“อ้า ฉันชงเองเลย ยังไงก็ลองชิมสักแก้วนะคะ ร่างกายอ่อนแอทำให้เป็นหวัดบ่อย พอหน้าหนาวก็เลยทำชาส้มด้วยตัวเองน่ะค่ะ”
ด้านข้างที่นั่งของแทมยองที่นั่งติดหน้าต่างซึ่งอยู่ด้านหน้าที่นั่งของฮีแจ เยอึน และคาอึลไปอีกสามแถวนั้น ชัดเจนว่าเป็นยัยจิ้งจอกแพคที่กำลังแสดงเสน่ห์ความเป็นผู้หญิงด้วยการทำชาส้มด้วยตัวเอง อากาศนอกรถบัสหนาวระดับที่หากยืนเฉยๆ ลมหายใจที่ออกมาระหว่างหน้ากากอนามัยก็ทำให้ขนตาแข็งได้แล้ว ดังนั้นพอมาถึงฮีแจก็ก้าวเข้ามาในรถบัสทันที ทว่ายัยจิ้งจอกแพคกลับยืนชะเง้อชะแง้ระหว่างตัวตึกเหมือนจะฝึกทนกับความหนาวจัด คิดว่า ‘คงลืมอะไรไว้ที่บ้านมั้ง’ แล้วก็เลิกสนใจ แต่ทันทีที่แทมยองที่มาถึงก่อนออกเดินทางขึ้นมาบนรถบัส ก็มายึดที่นั่งด้านข้างไป เป็นวินาทีที่ฮีแจกับคาอึลที่เคี้ยวมะเขือเทศที่เยอึนซื้อมาอย่างสนิทสนมอุทาน ‘นั่นไง’ ขึ้นมา แพคจูยอนที่บังคับให้แทมยองรับชาส้มเอาไว้ ไม่รู้สึกร้อนหลังบ้างหรือไงนะ มีเพียงดวงตาสามคู่ที่เห็นฉากอันน่ากลัวยิ่งกว่าหนังสยองขวัญ
“ฉันไม่คุ้นกับการทำกิจกรรมส่วนรวมแบบนี้ อันที่จริงก็กลัวและกังวลนิดหน่อยน่ะค่ะ หัวหน้าทีมล่ะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ชินแล้ว”
แม้บรรยากาศที่ฟุ้งจากคำตอบสั้นๆ คือการปฏิเสธการสนทนา หากยัยจิ้งจอกแพคก็ยังแกว่งหางอย่างมุ่งมั่น ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ถูกโกรธเพราะส่งข้อความส่วนตัวไปดึกๆ ดื่นๆ หรอกเหรอ แพคจูยอนที่จู่โจมอย่างไม่เว้นช่องว่าง ดูไปแล้วก็อยากจะชื่นชม แต่ดันเหลือบไปเห็นรูปปากที่อ้าเป็นวงกลมของเยอึนที่จ้องด้านหลังของสองคนนั้นเสียก่อน ดูเหมือนว่าจะกำลังคิดเหมือนกัน
“กิจกรรมส่วนรวมอะไรกันเชยชะมัด ต้องเรียกเอ้าท์ติ้งต่างหาก จะกิจกรรมส่วนรวมอะไรก็ช่าง แต่แต่งหน้าจัดตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้ได้ สุดๆ ไปเลย”
ยกเว้นแค่ฮันคาอึลที่เอ่ยตำหนิสบายๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
[1] จริตนิยม หมายถึงทฤษฎีที่กล่าวถึงการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของบุคคล