ทันทีที่มาถึงเรือน ก็เห็นองครักษ์ยืนอยู่
“เจ้าไปพักเถอะ”
องครักษ์มองพระองค์พบว่าสีหน้าของท่านอ๋องดูไม่ดี จึงคิดว่าคงอยากพักผ่อน เขาจึงตอบรับ
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหันหลังให้ เยว่ไท่จงก็เอ่ยขึ้นก่อน
“ช้าก่อน”
“ขอรับท่านอ๋อง” องครักษ์พลันหันกายกลับมามองผู้เป็นนายอย่างสงสัย
“หากภรรยาเจ้าเสียใจ เจ้าจะทำอย่างไร”
“ข้าหรือ”
“ช่างเถอะๆ ข้าถามเพราะแค่นึกสงสัย พอดีว่าข้าเห็นมารดาหลุนเฟิงดูเศร้าสร้อย จึงอยากให้นางมีความสุขบ้าง”
องครักษ์ไม่ได้โง่ หลายวันมานี้ตั้งแต่วันแรกที่เยว่ไท่จงเจอเซี่ยหลุนเฟิงจนถึงขั้นเก็บมาถามตนก็แปลกแล้ว เพราะท่านอ๋องไม่เคยสนใจใคร ตนเองทราบดีว่าต้องมีวันนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้
“ขึ้นอยู่กับเรื่องที่นางเสียใจพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องที่นางเสียใจ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างไร”
องครักษ์เก็บอาการ ถึงตอนนี้ท่านอ๋องจะใส่หน้ากาก แต่องครักษ์เช่นตนรู้จักพระองค์มานานมากเสียจนต่อให้สวมหน้ากาก ตนก็เดาสีหน้าของพระองค์ออก
ตอนนี้ท่านอ๋องสนใจเซี่ยหลุนเฟิงมากจนปิดไม่มิด
“หากเสียใจน้อยก็ซื้อของชิ้นเล็ก หากเสียใจมากก็ซื้อของชิ้นใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าหมายถึงเสียใจเรื่องครอบครัว เจ้าก็รู้ดีว่ามารดาของเซี่ยหลุนเฟิงเสียใจเรื่องครอบครัว”
ตลกร้ายจริง ท่านอ๋องผู้ไม่สนใจใคร กลับกลายเป็นผู้ที่ใส่ใจผู้อื่นมากขนาดนี้ ซ้ำร้ายยังทำเป็นว่าจะซื้อของให้มารดาของเซี่ยหลุนเฟิง
“คราวก่อนพระองค์ทำกระบี่ของเซี่ยหลุนเฟิงหัก พระองค์ไม่มอบกระบี่เล่มใหม่ให้เซี่ยหลุนเฟิงเล่า”
“ความคิดดี อย่างน้อยก็น่าจ...”
เยว่ไท่จงพลาดท่าเสียแล้ว องครักษ์ยิ้มให้ท่านอ๋องก่อนจะยกมือประสานหนีเข้าเรือนพัก ทิ้งให้เยว่ไท่จงรู้สึกอับอายเพราะพลาดท่า ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ท่านอ๋องยกมือของตนเองขึ้นมา กุมบริเวณหน้าอก
“ความรู้สึกแปลกเช่นนี้คืออะไรกัน”
วันต่อมา เยว่ไท่จงตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เขารีบสางผม เปลี่ยนอาภรณ์ แล้วตรงมาที่เรือนของเซี่ยหลุนเฟิง เมื่อมาถึงก็พบว่าสาวใช้กำลังยกยาต้มและอาภรณ์เข้าไปในเรือน เขาเดินตามเข้าไป สาวใช้เห็นเยว่ไท่จงก็ไม่ทำความเคารพ พวกนางรีบหนีออกจากเรือน
“ใคร” เซี่ยหลุนเฟิงลุกขึ้นนั่ง เสียงแหบของบุรุษที่กำลังป่วยเอ่ยขึ้น ฟังแล้วไม่มีความอ่อนหวานแต่กลับทำให้เยว่ไท่จงใจสั่นไหว
นี่ข้าป่วยหรือ
เยว่ไท่จงกระแอมเพื่อเรียกกำลังใจก่อนเอ่ย
“ข้าเอง”
“ท่านอ๋องหรือ”
“อืม”
ว่าแล้วเยว่ไท่จงก็มองโต๊ะอาหาร เห็นว่ามีอาหารเช้าเรียงรายเต็มโต๊ะ ก็เดินตรงไปพยุงเซี่ยหลุนเฟิงขึ้นจากเตียง
“เจ้าอยากล้างหน้าก่อนทานอาหารไหม”
“ข้าไม่อยากต้องน้ำ หากเป็นช่วงสายข้าถึงสะดวก”
เยว่ไท่จงพยักหน้าเข้าใจ เวลานี้เซี่ยหลุนเฟิงคงรู้ตนดีที่สุด หากป่วยไปมากกว่านี้คงจะแย่ลง
เมื่อนั้นเยว่ไท่จงก็คอยดูแล ป้อนข้าวป้อนยา เนื่องจากเขาทำเช่นนี้ตั้งแต่ตอนที่เซี่ยหลุนเฟิงป่วยแรกๆ มาวันนี้จึงคล่องแคล่วมากขึ้น
ในขณะที่เยว่ไท่จงมีความรู้สึกดีๆ ก่อตัวขึ้นมา เซี่ยหลุนเฟินก็มีความรู้สึกอื่นเช่นกัน ความรู้สึกอยากทดแทนบุญคุณ แก้แค้นไม่ได้ แต่บุญคุณทดแทนได้
ล่วงเข้ายามบ่าย หิมะยังคงโปรยปรายไม่มีหยุดหย่อน เซี่ยหลุนเฟิงปลดผ้าปิดตาออกก็พบว่ามองเห็นได้แล้ว แต่ตนต้องระวังการตากลมให้มากเพื่อให้หายดียิ่งขึ้น เซี่ยหลุนเฟิงพลิกมือตนขึ้นมาก็เห็นรอยแผลจางๆ ที่เคยสาบานโลหิตร่วมเยว่ไท่จง
“ชีวิตย่อมแลกด้วยชีวิต ท่านขุดข้าและมารดาขึ้นมาจากหลุมศพคนเป็น ข้าจักไม่ลืมบุญคุณครานี้”
เมื่อเอ่ยจบเขานึกอยากอาบน้ำอุ่นสักนิด จำได้ว่าจวนกุ่ยอ๋องมีบ่อน้ำพุร้อน จึงว่าจะไปขออนุญาตก่อน
เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็ตัดสินใจพาตนเองออกจากเรือน หวังไปพบเยว่ไท่จง
เซี่ยหลุนเฟิงเดินอยู่ที่โถงทางเดิน เมื่อทอดมองออกไปก็เห็นเรือนของมารดา
‘ช่วงนี้ข้าไม่ว่างไปเยี่ยมท่านหวังว่าท่านจะไม่โกรธเคือง’
คิดเสร็จก็ตรงไปที่โถงหลักจวนกุ่ยอ๋อง มองเข้าไปก็พบเพียงพ่อบ้านไป๋อวี๋เท่านั้น
“ท่านอ๋องอยู่ที่ใด”
“พระองค์ออกไปข้างนอก คงพลบค่ำถึงจะกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยหลุนเฟิงเหนียวตัวจนต้องเอ่ยปากขอจริงๆ
“ข้าอยากใช้บ่อน้ำพุร้อน”
ว่าจบไป๋อวี๋ก็คิดอยู่นาน เพราะท่านอ๋องไม่ให้ใครไปยุ่งเนื่องจากบ่อน้ำพุร้อนเป็นพื้นที่หวงแหนของพระองค์ เกรงว่าท่านอ๋องอาจไม่ต้องการให้ผู้อื่นใช้
เมื่อนั้นสายตาของไป๋อวี๋ก็เหลือบมองไปยังโต๊ะเขียนอักษร เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนด้วยพู่กันหมึกดำวางอยู่บนโต๊ะ โดยมีหินทับไว้กันปลิว เขารีบตรงไปที่โต๊ะในทันที เซี่ยหลุนเฟิงคิดว่าคงไม่ได้แน่จึงเอ่ยปาก
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ให้สาวใช้เตรียมแค่น้ำร้อนให้ข้าก็ได้”
“พระชายา เหมือนท่านอ๋องจะทราบอยู่ก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ว่าจบไป๋อวี๋ก็รีบตรงมาทางเซี่ยหลุนเฟิง ยื่นกระดาษแผ่นขนาดเท่าฝ่ามือแต่มีอักษรเขียนด้วยลายมือบรรจง
‘หากอยากอาบน้ำก็ใช้บ่อน้ำพุร้อนหลังจวนเสีย อย่าลืมดื่มยาก่อนลงแช่ เมื่อเวียนหัวให้รีบขึ้นมา น้ำพุร้อนจัดมากในช่วงหน้าหนาว เกรงว่าเจ้าจะเป็นลมเพราะไอร้อน’
เซี่ยหลุนเฟิงซาบซึ้งจนอยากเก็บกระดาษแผ่นนี้ไว้ ถึงแม้เป็นแค่คำสั่งทั่วไป แต่ตนกลับรู้สึกแปลกประหลาด
‘ท่านช่างจิตใจงดงามยิ่ง ทั้งที่ข้าไม่ได้มีคุณค่าอะไรกับท่านสักนิด’
เมื่อมาถึงบ่อน้ำพุร้อน เซี่ยหลุนเฟิงก็ถอดอาภรณ์ชั้นนอกเหลือเพียงอาภรณ์ชั้นในสีขาวบางเท่านั้น ยามที่ร่างกายต้องน้ำอุ่นก็ทำให้โลหิตหมุนเวียนดียิ่ง
เซี่ยหลุนเฟิงทิ้งตัวนั่งในบ่อน้ำพุ
เพราะบรรยากาศข้างนอกบ่อนั้นหนาวจัด ทำให้ตนไม่อยากขึ้นจากน้ำ เอาแต่แช่อยู่เช่นนั้นจนลืมเวลา
เซี่ยหลุนเฟิงหลับตาลง หวังงีบชั่วครู่ค่อยลุกขึ้นมา ทว่าการหลับในครั้งนั้นทำให้ตนจมดิ่งลงไปกับภวังค์ความฝัน
เมื่อเยว่ไท่จงกลับมาที่จวน ก็ถามถึงคนที่เขาห่วงใยทันที
“หลุนเฟิงอยู่ที่ใด” เยว่ไท่จงถามพ่อบ้าน
วันนี้เขาเดินทางไปซื้อเหล็กกล้าด้วยตัวเขาเอง ถึงเขาถอดหน้ากากออก แต่สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าทั้งหมด ทั้งยังสวมหมวกผ้าไหมสีดำคลุมอีกชั้น แล้วให้องครักษ์เป็นคนเดินเรื่องทั้งหมด ที่เขาไปเพียงแค่อยากเลือกกระบี่ที่มีด้ามคล้ายคลึงกับเล่มเก่าของเซี่ยหลุนเฟิง
“ท่านอ๋อง แย่แล้ว! ข้าน้อยลืมไปเสียสนิท พระชายาไปแช่น้ำพุร้อน นี่ก็ผ่านมาหลายชั่วยามยังไม่เห็นขึ้นมา” เยว่ไท่จงขมวดคิ้วเรียว เดินตรงไปทางบ่อน้ำพุร้อน
เมื่อไปถึงก็เห็นว่าเซี่ยหลุนเฟิงหลับอยู่ในสระ เขาปลุกอีกฝ่ายแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ จึงยื่นมือออกไปสัมผัสชีพจร พบว่าเต้นแรงเกินปกติและร่างกายร้อนจัด พลันรีบอุ้มขึ้นจากสระ
เยว่ไท่จงพาเซี่ยหลุนเฟิงมาถึงเรือนก็จัดแจงปลดอาภรณ์ที่เปียกชื้นนั้นออก เป็นบุรุษเช่นกันไม่มีอะไรต้องเขินอาย! เขาคิดเช่นนั้นแต่ในใจกลับปั่นปวน
มีอะไรน่าอายกัน
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่ใบหน้ากลับเห่อแดง เยว่ไท่จงรีบจัดแจงสวมชั้นในและอาภรณ์สีขาวข้างใน ตามด้วยผ้าไหมอีกสองชั้น เมื่อสวมเสร็จ เยว่ไท่จงเกิดรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
นี่ข้าทำเพื่อเจ้ามากเกินไปแล้ว
นี่เจ้ามาเป็นผู้ติดตามข้า หรือข้าเป็นผู้ติดตามเจ้ากันแน่
ถึงจะคิดเช่นนั้น แต่เยว่ไท่จงก็ยังอุตส่าห์ไปรินยาสมุนไพรมาป้อนเซี่ยหลุนเฟิง อีกฝ่ายไม่ฟื้นจึงดื่มลำบาก
“เหล่าไป๋”
ทันทีที่สิ้นเสียง ไป๋อวี๋ก็รีบเข้ามา
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะป้อนยา ท่านมาช่วยที”
ว่าแล้วพ่อบ้านก็เข้ามาประคองให้เซี่ยหลุนเฟิงนั่ง เยว่ไท่จงเอ่ยปากสั่ง
“บีบจมูก” ไป๋อวี๋ทำตามทันใด เซี่ยหลุนเฟิงที่ไม่ได้สติพอไม่ได้หายใจร่างกายก็ทำงานทันที ปากนั้นเปิดออกเพื่อหายใจ เยว่ไท่จงอาศัยจังหวะนั้นป้อนยา
เซี่ยหลุนเฟิงกลืนลงคอทันทีที่ไป๋อวี๋เอามือออกจากจมูก
“เสร็จแล้ว ท่านออกไปได้”
ไป๋อวี๋รับคำสั่งแล้วออกไป ตามจริงเขาอยากให้มารดาของเซี่ยหลุนเฟิงมา แต่ตัวเขาไม่รู้เลยว่าเซี่ยหลุนเฟิงจะตื่นมามองเห็นปกติหรือไม่ ยามนี้คงต้องเป็นเขา
ทว่า ในใจลึกๆ เยว่ไท่จงทราบดีว่าเซี่ยหลุนเฟิงไม่ได้ป่วยเพราะไอเย็นไม่มีทางที่จะมองไม่เห็น เขาเพียงแค่...อยากเป็นผู้เฝ้าไข้เสียเอง
เยว่ไท่จงล้มตัวลงไปนอนข้างๆ อีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเหนื่อยมาจากไหนถึงง่วงเช่นนี้ ไม่นานเยว่ไท่จงก็หลับตาลงข้างๆ อีกคน
หิมะนอกจวนตกหนักยิ่งขึ้น
สีของหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา สาวใช้ต่างพากันกายห่มกาย นอนกอดกันแล้วเอาผ้าห่มมาทับ จุดถ่านใต้เรือนบ้าง เพื่อให้หลับอย่างอบอุ่น
แต่สำหรับเซี่ยหลุนเฟิง ถึงจะครบไปด้วยเครื่องนอนและถ่านใต้เรือน ทว่าตนช่างหนาวเหน็บ หนาวจนร่างกายต้องควานหาสิ่งอบอุ่น มือเรียวจับได้แขนที่แสนอบอุ่นของเยว่ไท่จง เซี่ยหลุนเฟิงไม่รอช้าขยับตัวเข้ากอดร่างเยว่ไท่จงไว้แน่น ทำให้เขารู้สึกตัว
เขาหายใจติดขัด พอหันมองข้างๆ ก็เห็นว่าใบหน้าเซี่ยหลุนเฟิงอยู่ใกล้ตนจนได้กลิ่นลมหายใจ
เพราะดื่มสมุนไพรติดกันมาหลายวัน แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังมีกลิ่นสมุนไพร...
เมื่อนั้นพลันเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้น
ขนาดลมหายใจยังมีกลิ่นเช่นนี้แล้วในริมฝีปากเจ้าเล่า...
คิดได้ก็ลืมไตร่ตรอง เยว่ไท่จงขยับใบหน้าไปเพียงนิด ริมฝีปากตนก็ทาบทับเซี่ยหลุนเฟิงไปเสียแล้ว
เยว่ไท่จงหลับตาลงแล้วออกแรงกดริมฝีปากแน่นขึ้นไปอีก ลิ้นเรียวละเลียริมฝีปาก เมื่อสอดเข้าไปเกี่ยวกระหวัดก็พบว่า
เป็นกลิ่นสมุนไพรจริงๆ
ฉับพลันเยว่ไท่จงได้สติก็ผละออกอย่างตกใจ เขารีบลุกจากเตียง หันกายกลับมามองบุรุษร่างกำยำผู้หลับไม่รู้เรื่องก็เกิดหัวใจเต้นโครมคราม คิดว่าตนเป็นบ้าอะไรกัน
เยว่ไท่จงรีบตรงกลับเรือนของตนเอง
ในขณะที่
เซี่ยหลุนเฟิง...
ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าขาวซีดแดงระเรื่อ ริมฝีปากที่พึ่งถูกฉกฉวย ขบเม้มเข้าหากัน ความรู้สึกอบอุ่นที่เยว่ไท่จงกวาดต้อนเข้ามาในปากตน เขายังรู้สึกชัดเจน ยากจะข่มตาหลับในคืนนี้...