“แม้แต่ยามรักษาการณ์ในจวนเจ้ายังสู้ไม่ได้ แล้วยังจะไปช่วยพ่อแม่อีก ข้าว่าเจ้าโง่จริงๆ” ลู่ซิงหัวโบกมือทำท่าให้ยามรักษาการณ์ปล่อยตัวเหออันโหรว
เหออันโหรวทั้งโกรธทั้งเศร้าใจอยู่แล้ว พอได้ยินลู่ซิงหัวพูดเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ แต่มันเป็นเรื่องจริง ระดับของตนเวลานี้ถ้าออกไปคงถูกจับ พอถึงตอนนั้นแม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ยังรักษาไม่อยู่แล้วยังจะพัวพันไปถึงครอบครัวด้วย
“ฟังนะ ถ้าเจ้ายังสร้างร่างให้ข้าไม่ได้ เจ้าจะไปจากข้าไม่ได้” ลู่ซิงหัวส่งเสียงหึในลำคอ ทันใดนั้นก็กัดนิ้วตัวเอง เอานิ้วที่มีหยดเลือดวาดสัญลักษณ์ที่คอของเหออันโหรว “นี่คือสัญญา”
สมองของเหออันโหรวมีเสียงดังวิ๊ง นางปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร นางก้าวเข้าไปชักกระบี่จากยามรักษาการณ์ที่อยู่ข้างๆ ตวัดเข้าที่คอของลู่ซิงหัว
กระบี่ส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าใส่คอของลู่ซิงหัวอย่างรุนแรง ลู่ซิงหัวเลิกคิ้วเอียงตัวหลบ เหออันโหรวพุ่งไปข้างหน้าต่ออย่างไม่ลดละ กระบี่ในมือตวัดขึ้น นางขอบตาแดงก่ำเม้มปากแน่นเหมือนลูกแมวที่ถูกยั่วให้โกรธ
ลู่ซิงหัวหรี่ตาเล็กน้อย เริ่มแรกยังรู้สึกสนุกกับการหลบหลีกการจู่โจมของเหออันโหรว แต่พอนานเข้าก็เริ่มรำคาญจึงยื่นนิ้วออกมาเสียงดังชิ้ง ปลายกระบี่ถูกดึงเข้ามาในมือ “เล่นพอหรือยัง”
“ปล่อยข้า” เหออันโหรวคำรามใส่ลู่ซิงหัว ขณะที่เตรียมจะดึงกระบี่กลับแล้วแทงอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าลู่ซิงหัวจะส่งสายตาเยือกเย็นออกแรงเพียงปลายนิ้วก็มีเสียงดังเพล้ง กระบี่หักเป็นสองท่อนทันที!
ลู่ซิงหัวมองเหออันโหรวเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา เขาเดินรุกเข้ามาทีละก้าว
เหออันโหรวรู้สึกว่าข้างหน้าเหมือนมีเขาลูกใหญ่กดทับลงมาอดรู้สึกกระวนกระวายใจไม่ได้ แต่พอนึกถึงท่านพ่อท่านแม่ที่ไม่รู้อยู่ไหน นางก็สะกดความรู้สึกไว้บังคับตัวเองให้จ้องหน้าลู่ซิงหัว
“เจ้าอย่าลืมสภาพของตัวเอง” ลู่ซิงหัวพูดอย่างเย็นชา “เจ้าตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าไว้ ป่านนี้เจ้าคงตายโดยไม่ได้ฝังไปนานแล้ว แล้วยังบอกว่าจะตามหาท่านพ่อท่านแม่หรือ ตั้งแต่โบราณบุญคุณที่ช่วยเหลือกับบุญคุณการเลี้ยงดูยิ่งใหญ่พอกัน เจ้าพูดแต่ว่าเป็นห่วงพ่อแม่แต่ไม่ใส่ใจบุญคุณที่ข้าช่วยเจ้า เช่นนี้แล้วเจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะบอกว่าตัวเองกตัญญู!”
“ข้า...” เหออันโหรวไม่รู้จะตอบอย่างไร ในใจรู้ว่าลู่ซิงหัวพูดไม่ผิด แต่นางจะทอดทิ้งท่านพ่อท่านแม่ได้อย่างไร
“เจ้าอย่าลืมว่าในเมื่อข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ ข้าย่อมเอาชีวิตเจ้าคืนได้ทุกเมื่อ ถ้าเจ้ายอมเชื่อฟัง ทำตามข้อตกลงระหว่างเรา ข้าก็จะคิดๆ ดูเรื่องช่วยเจ้าตามหาพ่อแม่ ถ้าเจ้ายังไม่เข้าใจสภาพของตัวเอง เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อไปเอาเจ้าไปมอบให้แม่ทัพเซี่ยบางทีเขาอาจจะขอบใจข้า”
ลู่ซิงหัวพูดพลางโบกมือให้ทหารรักษาการณ์ที่ยื่นมือออกมาขวางเหออันโหรว ยามรักษาการณ์เห็นก็ปล่อยตัวนาง แล้วกลับไปยืนตำแหน่งเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะขวางทางไว้
ลู่ซิงหัวกลับไปนั่งยังตำแหน่งเดิมไม่พูดอะไรอีก แต่เหออันโหรวรู้ดีว่าถ้าตนขืนไม่เชื่อฟังเขา พอพ้นประตูใหญ่คงถูกคนของแม่ทัพเซี่ยจับไปแน่ หลังจากถูกลอบสังหารหลายครั้งเหออันโหรวก็เริ่มรู้ว่าเวลานี้ตนตกอยู่ในสภาพเช่นไร เหตุการณ์เมื่อครู่ยิ่งทำให้นางเข้าใจชัดเจนขึ้นว่าเวลานี้ตนยังอ่อนแอมาก
ตอนนี้หากตนพบท่านพ่อท่านแม่ แต่จะช่วยออกมาได้หรือ...
ในใจของเหออันโหรวรู้สึกสับสน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่ลู่ซิงหัวลุกจากเก้าอี้เตรียมจะออกไป ในที่สุดเหออันโหรวก็ก้าวเข้าไปหา ยื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อของลู่ซิงหัวไว้
“ข้าไม่ไปแล้ว”
ลู่ซิงหัวก้มหน้ามองเหออันโหรวตรงหน้า เขาเห็นใบหน้าเล็กๆ ของนางเผยความรู้สึกผิดราวกับว่าทำอะไรพลาดไป ทั้งยังมีความเด็ดเดี่ยว
“คิดดีแล้วหรือ” ลู่ซิงหัวถาม
เหออันโหรวพยักหน้าอย่างแรง “เมื่อครู่ข้าใจร้อนไม่ได้คิดให้ดี เวลานี้ข้ายังไม่มีความสามารถต้านทานคนพวกนั้น เว้นแต่ว่าจะเอาพลังในตัวออกมาได้ ข้าไม่อาจตายเปล่าอย่างนี้ ข้าต้องไปสำนักศึกษาที่เจ้าบอกทำให้ตัวเองแข็งแกร่งจึงจะช่วยพวกเขาได้”
ลู่ซิงหัวยกมุมปากยิ้มบางๆ พูดขึ้น “ในเมื่อรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร ก็อย่าเสียใจภายหลัง ถ้าขืนทำเช่นนี้อีก ข้าจะไม่ช่วยเจ้าแล้ว คนที่ทำตามคำขอร้องของข้าได้มีมากมาย ไม่ใช่เฉพาะเจ้าคนเดียวแต่ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าคงไม่มีโอกาสอีก”
เหออันโหรวเม้มปาก “ข้ารู้แล้ว”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งเดือนสำนักศึกษาชิงเฟิงก็จะเปิดภาคเรียน ลู่ซิงหัวพาเหออัน โหรวออกไปจากจวน
ครั้งนี้ทั้งสองไม่ให้ใครรู้ เลือกเวลาดึกเดินทางอย่างเงียบๆ
ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน เหออันโหรวยอมให้ลู่ซิงหัวโอบอยู่ในวงแขนแต่โดยดีแล้วเหาะไปข้างหน้า ภาพทิวทัศน์สองข้างเคลื่อนถอยหลังอย่างรวดเร็ว เหออันโหรวอดสงสัยไม่ได้เขาจะพานางเหาะไปจนถึงสำนักศึกษาหรือ
จนกระทั่งพ้นจากเมืองหลวงไปถึงชานเมือง ขณะเหออันโหรวกำลังเคลิ้มหลับ จู่ๆ ลู่ซิงหัวก็หยุดกะทันหันแล้วรีบร่อนลงบนยอดเขา
ลมหนาวพัดโชยมาวูบหนึ่ง เหออันโหรวรู้สึกตัวตื่นขึ้นจึงมองไปรอบๆ
ต้นไม้รกทึบเป็นบริเวณกว้าง แต่สถานที่ที่ทั้งสองยืนอยู่กลับเป็นพื้นเปล่า
“ทำไมหยุดตรงนี้” เหออันโหรวถามด้วยความสงสัย
ลู่ซิงหัวไม่ตอบ แต่ชูฝ่ามือขึ้น มีแสงนวลแผ่ออกจากฝ่ามือราวกับแสงจันทร์ เหออันโหรวตะลึง มอง ขณะกำลังจะคลำ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าลมพัดแรงขึ้น
เหออันโหรวรีบหดมือกลับมากอดอกไว้แน่น รู้สึกอย่างเลือนรางว่าข้างหลังมีอะไรบางอย่างเข้ามาใกล้ พอหันไปมองชั่วขณะนางก็ตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า!
นั่นคือนกยักษ์น่าเกรงขาม เท้ามีขนาดใหญ่เท่ากับเรือ รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนนกอินทรี แต่ขนเป็นสีขาวล้วน ดวงตาเหมือนมีปัญญากำลังจ้องมองลู่ซิงหัว
“ไปกันเถอะ” ลู่ซิงหัววางมือลง โอบเหออันโหรวไว้แล้วร่อนลงบนหลังนกยักษ์อย่างมั่นคง
พอทั้งสองนั่งเรียบร้อยแล้วนกยักษ์ก็กางปีกบินไปสู่ดินแดนห่างไกล
นกยักษ์เหาะด้วยความเร็วสูง แต่คนที่นั่งบนหลังนกแม้จะหลับตากลับรู้สึกปลอดภัย นางนึกไม่ถึงว่าเวลานี้ตนอยู่กลางอากาศเป็นเวลานานถึงเก้าวัน
ตั้งแต่เริ่มบินลู่ซิงหัวก็ยกมือขึ้นสร้างวงอาคมไว้แล้ว ดังนั้นไม่ว่านกยักษ์จะเหาะเร็วเพียงไร ไม่ว่าลมข้างนอกวงอาคมจะเหน็บหนาวเพียงไร เหออันโหรวก็ไม่รู้สึกแม้แต่น้อย