หากไร้วาสนา เจอกันสิบครั้ง ก็เมินเฉยสิบครั้ง
หากมีวาสนา พบพานเพียงครั้ง ก็ตรึงใจเหลือคณา
องค์ชายแปด
รัตติกาลคล้อยดึกทุกขณะ ดวงจันทร์ซีดจางลอยคว้างกลางฟ้า หมู่มวลดาราหลบหายใต้หมอกเมฆ ลมเหมันต์โบกพัด จนใบไม้รอบข้างสั่นระริกเป็นระลอกคลื่น
แววตาที่เคยดุดันแน่วแน่ บัดนี้กลับมีแต่หยาดน้ำตาไหลเอ่อล้น เซี่ยหลุนเฟิงใช้สายตาโศกระคนปนคับแค้นมองมารดาของตนที่กอดร่างไร้วิญญาณของน้องหกไว้แนบอก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ท่านแม่กอดร่างของน้องหกไว้จนตนเองต้องเข้าไปโอบนางมาแนบกาย
“น้องหกจากไปแล้ว ไม่ต้องทุกข์ทรมานในจวนแห่งนี้...น้องจักไปเกิดใหม่ในภพชาติอื่นเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ไม่ต้องลำบากเช่นนี้อีก ท่านแม่คิดเสียว่ามันเป็นเรื่องดีเถิด”
“แม่ขอโทษ...แม่ไปรักคนที่ไม่สมควรรัก จนทำให้พวกเจ้ามาลำบากในภายหลัง”
คุณชายห้าได้ยินมารดากล่าวเช่นนั้นก็ขมขื่น แววตาหมายมั่นเป็นปรปักษ์กับผู้เป็นบิดาอย่างรุนแรง อาฆาตแค้นจนอยากจะสังหาร แต่กรรมจากการฆ่าบิดาช่างบาปหนักหนา จนไม่สามารถบรรลุเป็นเซียนได้ ทำให้ตนต้องข่มจิตใจด้านมารไว้ในอก
ไร้เงาบิดา น้องข้าสิ้นใจโดยไม่มีผู้ใดในตระกูลเซี่ยมาเหลียวแล…ราวกับว่าพวกตนนั้นหาได้มีโลหิตของตระกูลเซี่ยไหลวนในกายไม่ ทั้งๆ ที่น้องหกถูกพวกมันส่งไปอภิเษกกับกุ่ยอ๋อง ผู้อัปลักษณ์…
หนึ่งเดือนก่อน
ภายในห้องทรงพระอักษรขององค์ฮ่องเต้ มีเพียงเยว่ไท่จงและผู้เป็นบิดา บรรยากาศแสนอึดอัดใจ หากในตำหนักตอนนี้มีนางกำนัลสักคน...นางคงไม่กล้าแม้จะหายใจ...
เยว่ไท่จงผู้นี้โง่เขลาเอาการ เพราะเคยป่วยเมื่อตอนอายุได้เพียงเก้าขวบ ทำให้มีรอยแผลเป็นจนต้องใส่หน้ากากปิดไว้ครึ่งหน้า บริเวณส่วนนั้นช่างน่ารังเกียจ
องค์ฮ่องเต้ปรายพระเนตรมองลงมายังโอรสของตน ผู้ที่บัดนี้ก้มหน้าไม่ยอมสบพระเนตรของพระองค์
“ตอนนี้เสนาบดีกรมพระคลังตระกูลเซี่ย เผยท่าทีว่าจะย้ายฐานอำนาจในวังหลวงให้กับทางอำมาตย์ตระกูลถัง เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร” องค์ฮ่องเต้ตรัสกับเยว่ไท่จงเพราะอยากได้ยินคำตอบอันชาญฉลาดจากโอรสผู้นี้สักครั้ง!
เยว่ไท่จงทำสายตาเลิ่กลั่ก เหงื่อผุดขึ้นภายใต้หน้ากากทองที่ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ เพราะมีใบหน้าแสนอัปลักษณ์เป็นอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
คำครหาจากราษฎรเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าใบหน้านั้นไม่อาจปกครองผู้ใดได้ ใบหน้าต้องคำสาปซึ่งมาพร้อมกับสติปัญญาอันต่ำต้อย จนไม่สามารถรับตำแหน่งใดๆ สืบทอดจากฝ่าบาทได้แน่แท้
“ลูกโง่เขลา ขอเสด็จพ่อได้โปรดชี้แนะ”
เยว่ไท่จงเอ่ยเช่นนั้น ทำให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก
“ในบรรดาโอรสข้า เจ้าเป็นผู้ที่ขลาดเขลา ไร้ความสามารถมากที่สุด”
สุระเสียงของพระองค์นั้นเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอำนาจบารมี คำตัดพ้อต่อว่าดังกึกก้องไปทั่วห้องทรงอักษร เยว่ไท่จงเก็บอาการใต้หน้ากาก ก่อนจะเอ่ยวาจาที่พูดมาตั้งแต่เด็ก
“ลูกผิดไปแล้วเสด็จพ่อ” เยว่ไท่จงเอ่ยขึ้น แต่ไม่ได้เจ็บปวด หัวใจของเยว่ไท่จงนั้นเยือกเย็นราวกับว่ามีหิมะกลบทับเอาไว้จนท่วม ทั้งยังไม่มีสิ่งใดจะทำให้เกล็ดน้ำแข็งซึ่งเกาะกุมหัวใจหลอมละลายไปได้ ถึงแม้เสด็จพ่อจะด่าว่าจนไร้ศักดิ์ศรีในวังหลวง ด่าว่าจนไม่เป็นที่นับหน้าถือตาของขุนนาง
เยว่ไท่จงก็หาได้เจ็บปวดไม่...
ขณะนี้ห้องทรงอักษรเงียบงัน สร้างความอึดอัดจนเยว่ไท่จงไม่กล้าหายใจ เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หยดเหงื่อรวมกันเป็นหยาดน้ำหนึ่งหยด ตกกระทบลงบนพื้น
เมื่อนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นอีกครั้ง
“หากเรื่องแค่นี้คิดไม่ได้ ก็กลับจวนของเจ้าไป...รอรับราชโองการของข้า เมื่อกงกงนำราชโองการไปให้ เจ้าจักรู้เองว่าข้าจะให้ทำอะไร” ฮ่องเต้ตรัสโดยไม่ทอดพระเนตรมองใบหน้าของเยว่ไท่จง
ในห้องทรงพระอักษรเงียบไปเพียงอึดใจ เยว่ไท่จงเงยหน้าขึ้นมาสบพระเนตรกับฝ่าบาท ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ณ ตำหนักคุนหนิง
เสียงพิณแว่วผ่านสายลมออกมาจากตำหนัก แสงแดดอ่อนลอดตามระเบียงที่ทอดยาวไปจนถึงตำหนัก
นางกำนัลนางหนึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์สีส้มอ่อนที่บ่งบอกว่าเป็นนางกำนัลของฝ่าบาท แต่ที่นางเดินมาจนถึงตำหนักคุนหนิงนั้น ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นอย่างใดได้ นอกเสียว่านางเป็นคนของฮองเฮาที่ไปสอดส่องดูการเคลื่อนไหวของฮ่องเต้
“ฮองเฮาเพคะ”
เสียงนางกำนัลเอ่ยหน้าประตูตำหนัก ฮองเฮาที่กำลังจิบชาปี้หลัวชุน จึงวางถ้วยน้ำชาลง
“ให้นางเข้ามา”
เมื่อฮองเฮาตรัสเช่นนั้นประตูตำหนักก็เลื่อนเปิดออกให้นางกำนัลผู้นั้นเข้ามาในตำหนัก นางกำนัลนางนั้นเมื่อเห็นว่าฮองเฮาทรงดื่มชาอยู่กับองค์ชายใหญ่ เยว่หลี่ไถ่ ที่ขณะนี้ถือบรรดาศักดิ์เป็นเหว่ยอ๋อง นางรีบก็ย่อกายถวายบังคม ก่อนที่จะตรงเข้าหาฮองเฮาเพื่อถวายรายงานตามรับสั่ง
“กุ่ยอ๋องตอบคำถามของฝ่าบาทมิได้ ทำให้ท่านอ๋องถูกฝ่าบาทไล่กลับจวนแล้วเพคะ”
ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็แย้มพระโอษฐ์ยิ้มให้บุตรชายของตน
เยว่หลี่ไถ่เข้าใจความหมายของรอยยิ้มนั้นได้ทันทีโดยที่ฮองเฮาไม่ต้องเอ่ยอะไรให้มากความ
รู้กันดีอยู่แล้ว ว่ารอยยิ้มนั้น มีความหมายว่า
ตำแหน่งฮ่องเต้ ต้องเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย…
ณ จวนกุ่ยอ๋อง
“เตรียมรอรับราชโองการ” ทันทีที่กลับมาถึงจวน เยว่ไท่จงก็เอ่ยกับพ่อบ้านประจำจวนทันใด ก่อนจะเดินตรงไปทางลานฝึก
“ราชโองการอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านประจำจวนเอ่ยถาม
เยว่ไท่จงหยิบเอากระบี่เหล็กขึ้นมาถือไว้
“ราชโองการ พระราชทานงานอภิเษกสมรสกับตระกูลเซี่ย เพื่อรักษาสมดุลอำนาจของราชวงศ์และเหล่าตระกูลใหญ่ไม่ให้เหลื่อมล้ำกัน”
ทันทีที่กล่าวจบ เยว่ไท่จงก็สะบัดกระบี่ด้วยท่วงท่าที่งดงาม แสงอาทิตย์สะท้อนบนปลายกระบี่ กลีบดอกเหมยที่กำลังร่วงหล่นลงจากต้นถูกฟันขาดกลางอากาศ ด้วยคมกระบี่เพียงครั้งเดียว...
“ข้าต้องแกล้งโง่เขลาไปอีกนานเท่าไรหรือ เสด็จแม่”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างตัดพ้อต่อโชคชะตา หากอยากให้ท่านแม่มีลมหายใจอยู่ในวังหลวงต่อไป มีเพียงทางเดียวคือ...เขาต้องไม่เป็นคนที่โดดเด่นเกินหน้าใคร...
ลำพังเพียงเขา ไม่มีอะไรให้หวาดกลัว แต่ท่านแม่ของเขายังอยู่หลังกำแพงวังหลวง...ลมหายใจของมารดาเขาเป็นของฮองเฮา!
หนึ่งเดือนต่อมา
จวนขุนนางตระกูลเซี่ย
ขุนนางเสนาบดีกรมพระคลังเซี่ยอู๋ฮ่วน สั่งให้นางกำนัลเข้ามารินน้ำชาให้เยว่ไท่จง
“ข้าเสียใจที่บุตรสาวของข้าป่วยตายอย่างกะทันหัน” เซี่ยอู๋ฮ่วนเอ่ยอย่างผู้ชนะ สายตาของจิ้งจอกเฒ่ามองเยว่ไท่จงอย่างกินขาด รู้ในตาเดียวว่าเยว่ไท่จงนั้นไม่ใช่คนขลาดเขลาอย่างที่ใครๆ ว่ากัน
เยว่ไท่จงคิ้วกระตุก
’ข้าก็คิดไว้แล้วว่าจิ้งจอกเฒ่ามันไม่ยอมให้ราชวงศ์ชักจูงอำนาจของมันได้ง่ายๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะวางยาบุตรีได้ลงคอ หากข้าไม่เกิดสงสัยและให้องครักษ์ไปตามสืบจนทราบความจริง คงคิดสงสารแล้วยกเลิกราชโองการเพื่อไว้ทุกข์ แต่...เมื่อรู้ว่ามันโหดเหี้ยม เห็นการกบฏสำคัญกว่าบุตรีเช่นนี้ การไว้ทุกข์คงมิจำเป็น’
“การตายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าเองขอแสดงความเสียใจกับบุตรีของท่าน แต่โทษของการขัดราชโองการเท่ากับประหารชีวิต”
เซี่ยอู๋ฮ่วนกระตุกยิ้มขึ้น
“ท่านอ๋องคิดจะอภิเษกกับบุตรีวัยสามขวบของข้าหรือ” เซี่ยอู๋ฮ่วนวางแผนไว้ตั้งแต่แรก หากตระกูลเซี่ยไร้สตรีที่มีอายุเหมาะสมออกเรือน อย่างไรเยว่ไท่จงคงไม่คิดจะแต่งกับสตรีวัยสามขวบ เพราะรังแต่จะถูกประณามจากราษฎร แล้วราชโองการนั้นจะถูกยกเลิกไป
ทว่า คำตอบของกุ่ยอ๋องกับไม่เป็นตามที่เซี่ยอู๋ฮ่วนหวัง
“ข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”
“ท่านอ๋อง...” เซี่ยอู๋ฮ่วนกัดฟันกรอด บุตรีของตนเพิ่งอายุได้สามขวบ เกิดจากฮูหยินใหญ่ หาใช่บุตรีของเมียนอกสมรสแต่อย่างใด หากเรื่องนี้ถึงหูฮูหยินใหญ่ มีหวังจวนแตกเป็นแน่แท้
“ข้าลาล่ะ” เยว่ไท่จงเอ่ยแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มตัว แต่ยังคงทิ้งท้ายวาจาไว้ให้เซี่ยอู๋ฮ่วนได้คิดมากตามไปด้วย “บุตรีที่ถูกวางยาช่างน่าสงสารยิ่ง”
“ทะ...ท่าน...” เซี่ยอู๋ฮ่วนลุกขึ้นยืนเต็มกายพลันขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถลึงตาจนแทบถลนเพราะความโกรธที่ถูกเยว่ไท่จงสืบรู้ “เชิญ! ข้าไม่ส่ง”
เสนาบดีกรมพระคลังไม่ทำความเคารพต่อเยว่ไท่จง และไม่มีขุนนางน้อยใหญ่คนใดทำความเคารพเขา เยว่ไท่จงเป็นเพียงมาร ตัวนำหายนะเข้าสู่แคว้น
แต่เซี่ยอู๋ฮ่วนไม่คิดเช่นนั้น เขาพยายามบอกเรื่องของเยว่ไท่จงแก่ฮองเฮาหลายครั้ง แต่ด้วยอำนาจเพียงหยิบมือของเขา จึงทำอะไรไม่ได้ เขามีหน้าที่เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น