“ข้าทำเพื่อช่วยเจ้า” ลู่ซิงหัวนั่งลงถือถ้วยชาเล่นบนโต๊ะ “เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกนั้นต้องการอะไรแน่”
เหออันโหรวได้ยินคำพูดคลุมเครือเช่นนี้ ก็งุนงง ไม่เข้าใจ นางเดินมาที่โต๊ะ นั่งตรงกันข้ามกับลู่ซิงหัว มองหน้าเขาไม่พูดไม่จาต้องการจะสื่อว่าวันนี้ต้องอธิบายให้ข้าเข้าใจ
“จู่ๆ คนในจวนแม่ทัพเหอก็หายไปหมด เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ได้ทำให้คนทั้งเมืองหลวงตื่นตระหนก เจ้าคิดว่าใครเป็นคนปิดข่าว” คำพูดของลู่ซิงหัวทำให้เหออันโหรวตะลึง
เหออันโหรวเอามือนวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจ ลู่ซิงหัวพูดต่อ “แม่ทัพเซี่ยเข้าไปยึดจวนแม่ทัพเหออย่างเปิดเผย เจ้าคิดว่าใครเป็นคนหนุนหลัง ฝ่าบาทจะให้เจ้าเข้าสำนักศึกษาจิ่วโจวซึ่งเป็นสำนักสำหรับองค์ชายองค์หญิง เจ้าว่าไม่แปลกหรือ”
พอพูดขึ้นมาเช่นนี้ เหออันโหรวก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ใช่สิ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นปริศนา พอคิดใคร่ครวญก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ฮ่องเต้ไม่เคยมีพระทัยเมตตาอย่างนี้มาก่อน ทำไมพระองค์จึงนึกถึงเรื่องจะช่วยเหลือลูกขุนนางที่เสียชีวิตไปแล้ว นางเกรงว่าจะเป็นวิธีการตบตาเพื่อเฝ้าดูความเคลื่อนไหวเสียมากกว่า
“ข้าไม่ยืนยันว่าเสด็จพ่อเป็นคนอย่างไร แต่ข้าจะบอกว่าโลกนี้ไม่มีใครไว้ใจได้ เจ้าต้องระวังไว้ เข้าใจไหม” ลู่ซิงหัวจ้องหน้าเหออันโหรวมองดูดวงตาที่สะท้อนแสงสลัวจากหน้าต่างท่ามกลางความมืด แล้วเขาก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก
ผู้ชายคนนี้เป็นคนเงียบขรึม แต่พอจะพูดก็พูดออกมามากมาย ทำให้หัวใจของเหออันโหรวรู้สึกอ่อนยวบขึ้นมาทันที ดูแล้วเขาเป็นห่วงนางจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้น ข้าไว้ใจเจ้าได้ไหม” พอนางพูดออกไปแล้วกลับไร้เสียงตอบกลับ บรรยากาศในห้องนิ่งเงียบทันที
ลู่ซิงหัวมองดูดวงตาของเหออันโหรว นางมองดูใบหน้าของเขา ดวงตาของทั้งสองสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง
“ไม่ได้” ลู่ซิงหัวยิ้มเจื่อนๆ ก้มลงดื่มน้ำในถ้วย ใบหน้าฝังอยู่ในเงามืดไม่เห็นสีหน้าชัดเจน “โลกนี้ เชื่อได้แต่ใจเจ้าเอง คนอื่นเจ้าต้องระวังไว้”
โลกนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เหออันโหรวอยากถามแต่นางไม่พูดออกมา ได้แต่มองดูลู่ซิงหัวรินน้ำมาวางไว้ให้ข้างหน้าแล้วมองดูเขาลุกเดินออกไป “นอนเถอะ เจ้าพักผ่อนซะ แล้วข้าจะพาเจ้าไปซื้อของไว้ใช้ระหว่างทาง อีกสองสามวันเราจะออกเดินทาง”
ออกเดินทาง? ไปไหน? เหออันโหรวอยากถาม แต่เงาของลู่ซิงหัวหายลับไปจากประตูแล้ว วงอาคมที่สะกดไว้ก็หายไปชั่วพริบตา นอกหน้าต่างมีเสียงลมพัดใบไม้ไหว เสียงซุบซิบของบรรดาสาวใช้ รวมทั้งเสียงอึงอลในโลกใบนี้ล้วนสะท้อนเข้ามาในหูของเหออันโหรว นางเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที
เหออันโหรวนวดขมับปิดหน้าต่างนอนหลับตาบนเตียง นิ้วมืออดลูบรอยประทับสีเลือดที่หน้าอกไม่ได้ จนบัดนี้เหมือนกับว่ารอยประทับยังร้อนอยู่ นางลืมตาขึ้นพร้อมถอนหายใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเข้ามาทางหน้าต่าง
เหออันโหรวรู้สึกเครียดทันที นางพลิกตัวลุกขึ้นหันไปมองรอบๆ แต่กลับไม่พบของที่จะใช้ป้องกันตัวจึงได้แต่นั่งยองๆ อยู่หลังประตู มองดูเงาคนเคลื่อนไหวตรงนอกหน้าต่าง
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้ที่ลู่ซิงหัวส่งมาด้วยความตกใจตามด้วยเสียงสะอื้นแล้วไม่มีเสียงอีกเลย
พอถึงตอนนี้เหออันโหรวยิ่งตึงเครียด แสดงว่ามีคนภายนอกบุกรุกเข้ามาในจวนองค์ชาย
ทันทีที่ลู่ซิงหัวออกไปคนพวกนี้ก็เข้ามา เหออันโหรวถอนหายใจอย่างระวัง ย่องไปยังโต๊ะเบาๆ หยิบเทียนไขแล้วเดินมาตรงข้างประตูตามเดิม
คนข้างนอกถีบประตูเข้ามาอย่างกะทันหัน นางเห็นแต่คนชุดดำสองสามคนถือดาบในมือ เปล่งแสงอำมหิตใต้แสงจันทร์
“พวกเจ้าเป็นคนของใครถึงกล้าบุกเข้ามาในจวนองค์ชาย! หรือว่าไม่อยากมีชีวิตแล้ว!” เหออันโหรวพูดเสียงดังหวังจะให้คนรอบข้างได้ยิน
พวกชุดดำมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูเหมือนจะมั่นใจแล้วว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องการ ทั้งหมดมองหน้ากันแล้วกรูเข้ามาทันที
เหออันโหรวตกใจเซถอยหลังไปสองก้าว พอเห็นดาบในมือพวกนั้นต่างแทงมาที่ตนก็รีบหลบ
ร่างกายนางคล่องแคล่วจริงๆ ทั้งยังมีพลังพรฟ้าประทานที่แข็งแกร่งจึงพอรับมือได้ แต่ถึงอย่างนั้นความเร็วก็ลดลง
หลังจากสู้กันอยู่หลายรอบ เหออันโหรวก็เหงื่อโชก เหนื่อยหอบ นางเช็ดเหงื่อบนหน้าผากรู้สึกแสบร้อนไปทั่วตัวเลือดแดงสดซึมออกมาหลายที่
ดูเหมือนว่าพวกนี้ไม่คิดจะสังหารนาง เพียงแต่ต้องการจับตัวนางให้เร็วที่สุด
เหออันโหรวรับมือพร้อมกับหาทางหนี แต่ในใจกลับคิดว่าทำไมพอลู่ซิงหัวออกไปก็มีคนชุดดำปรากฏตัวขึ้น อีกอย่างคนชุดดำก็ต่อสู้กับตนนานขนาดนี้ แต่คนของลู่ซิงหัวกลับไม่โผล่มา
นางนึกถึงครั้งแรกตอนเจอลู่ซิงหัวในใจก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นอีก ทุกครั้งที่ต่อสู้กับคนชุดดำมักจะมีลู่ซิงหัวอยู่ หรือว่าเขาเกี่ยวข้องกับคนชุดดำ? หรือว่าความจริงแล้วลู่ซิงหัวเป็น...ของคนชุดดำพวกนี้
ขณะที่คิดอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงก้าวเท้าของคนจำนวนมากดังเข้ามา เหออันโหรวอดเงยหน้ามองออกไปไม่ได้ คนชุดดำซึ่งอยู่ข้างหน้ารีบยื่นมือมาคว้าคอนางเข้าหาทันที เอามีดสั้นจ่อตรงคอหอยนาง “อย่าขยับ ไม่เช่นนั้นข้าจะสังหารเจ้าที่นี่”
เหออันโหรวเหนื่อยล้าจนไม่มีแรงขัดขืน ได้แต่ปล่อยให้คนชุดดำซึ่งอยู่ข้างหลังจับตัวไป
จากนั้นก็มีคนจากข้างนอกเข้ามาล้อมอย่างรวดเร็ว เหออันโหรวมองออกไปเห็นแค่แสงไฟอยู่ด้านนอกตามด้วยเสียงร้องโหยหวนสองสามครั้งแล้วเงียบลง
เหออันโหรวได้แต่มองผ่านกระดาษปิดหน้าต่างซึ่งเห็นแต่เงาของใครคนหนึ่งเดินมาที่หน้าห้อง ผลักประตูเข้ามาอย่างแรง
ลู่ซิงหัวยืนท่ามกลางคนจำนวนมากแล้วยิ้มมุมปากมองนาง “เจ้าไม่บาดเจ็บใช่ไหม”
พอเห็นลู่ซิงหัวเข้ามา เหออันโหรวก็โกรธจัดทั้งยังนึกถึงเรื่องในหัว ทำให้นางระแวงลู่ซิงหัวทันที นางจึงเม้มปากแน่นไม่พูดไม่จา
พอเห็นสีหน้าท่าทางของเหออันโหรว ลู่ซิงหัวก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ เขาชักกระบี่ออกจากฝัก ปลายเท้ายันพื้นทะยานเข้าไปหานาง ชั่วพริบตาก็เฉียดมาอยู่เบื้องหน้าเหออันโหรวแล้ว
คนชุดดำตกใจเซถอยหลังก้าวหนึ่ง มีดสั้นในมือกรีดถูกคอของเหออันโหรวทำให้หยดเลือดไหลลงไปตามคอ
“อย่าขยับ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่านาง!” คนชุดดำพูดเสียงกร้าว เหออันโหรวเอียงหน้ามองออกไปนอกประตู เห็นลานนอกเรือนเต็มไปด้วยผู้คนทั้งหลังคา กำแพง ลานบ้าน แสงไฟสว่างไสวอย่างไร้สุ้มเสียง
คำขู่ของคนชุดดำไม่มีผลต่อลู่ซิงหัวเขาใช้ปลายนิ้วกดกระบี่ที่คาดเอวเบาๆ ปรากฏแสงพลังวิเศษค่อยๆ สว่างขึ้นตรงปลายนิ้ว ทำให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวปีศาจได้อย่างชัดเจน เขาก้าวเข้ามาช้าๆ แผ่พลังออกมาทั่วตัวทำให้คนชุดดำที่ยืนอยู่ข้างหลังเหออันโหรวขาสั่นแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น
ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งเพียงไร! เหออันโหรวรู้สึกตกใจกลัว นางสัมผัสได้ว่าคนชุดดำซึ่งอยู่ข้างหลังตัวสั่นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดมีดสั้นในมือก็เริ่มสั่นแม้แต่เหออันโหรวก็ยังรู้สึกถึงรังสีและพลังอำนาจในตัวของลู่ซิงหัว